ตำนานพระปริตรและพระปริตร/ตำนานที่ 10
๏สํสาเร สํสรนฺตานํ | สพฺพทุกฺขวินาสเน | |
สตฺต ธมฺเม จ โพชฺฌงฺเค | มารเสนปฺปมทฺทิโน | |
พุชฺฌิตฺวา เยปิเม สตฺตา | ติภวามุตฺตกุตฺตมา | |
อชาตึ อชราพฺยาธึ | อมตํ นิพฺภยํ คตา | |
เอวมาทิคุณูปเปตํ | อเนกคุณสงฺคหํ | |
โอสถญฺจ อิมํ มนฺตํ | โพชฺฌงฺคนฺตมฺภณาม เห. |
พระปริตรบทนี้มีเนื้อความตามในคาถาที่สวดนั้นเป็น ๓ ตำนานหรือ ๓ พระสูตรด้วยกัน แต่เอามารวมสวดเสียบทเดียวกัน ตำนานทั้ง ๓ นั้นมีเนื้อควมดังจะกล่าวต่อไปนี้:—
ความว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคสถิตณเวฬุวันมหาวิหารใกล้กรุงราชคฤห์มหานคร ครั้งนั้น พระมหากัสสปอาศัยอยู่ในปิปผลิคูหา บังเกิดโรคาพาธแรงกล้า อาการหนักลงทุกวัน ๆ พระผู้มีพระภาคได้พรงพระมหากรุณาแด่พระมหากัสสป เมื่อพระองค์เสด็จออกจากที่เร้น คือ ผลสมาบัติ ได้เสด็จไปประทานพระธรรมเทศนาโพชฌงค์ทั้ง ๗ แด่พระมหากัสสป เมื่อจบพระธรรมเทศนา พระมหากัสสปมีความโสมนัสในพระธรรมเทศนา ก็ลุกขึ้นได้ หายจากโรคาพาธ
ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จประทับอยู่ณเวฬุวันมหาวิหารใกล้กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้น พระมหาโมคคัลลาน์อาศัยอยู่ในเขาคิชฌกูฏ บังเกิดโรคาพาธ มีอาการหนักลงทุกวัน ๆ พระผู้มีพระภาคทรงพระมหากรุณาแด่พระมหาโมคคัลลาน์ เมื่อเสด็จออกจากที่เร้น คือ ผลสมาบัติ ได้เสด็จไปประทานพระธรรมเทศนาโพชฌงค์ทั้ง ๗ แด่พระมหาโมคคัลลาน์ เมื่อจบพระธรรมเทศนา พระมหาโมคคัลลาน์มีความโสมนัสในพระธรรมเทศนามาก ก็ลุกขึ้นได้ หายจากโรคาพาธ
ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเสด็จประทับอยู่ณเวฬุวันวนารามใกล้กรุงราชคฤห์ ทรงประชวรพระโรค ให้เจ็บพระนาภีเป็นกำลัง และอาพาธหนักลงทุกวัน ๆ ครั้งนั้น พระจุนทเถระผู้มีอายุออกจากที่เร้น คือ ผลสมาบัติ ก็ไปถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค พระองค์จึงมีพระพุทธฎีกาให้พระจุนทเถระแสดงโพชฌงค์ถวาย พระจุนทเถระจึงแสดงโพชฌงค์ทั้ง ๗ พร้อมด้วยอานิสงส์ว่า โพชฌงค์ทั้ง ๗ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเทศนาว่า เป็นไปเพื่อจะให้ตรัสรู้พระจตุราริยสัจทั้ง ๔ และยกตนออกจากตัณหา เมื่อพระจุนทเถระกล่าวซึ่งพระสูตรนี้จบลงแล้ว พระผู้มีพระภาคก็ทรงพระโสมนัส หายจากโรคาพาธ เสด็จลุกขึ้นจากที่พระบรรทมได้.
เนื้อความที่กล่าวมาแล้วนี้มีอยู่ในพระคาถาที่สวดโดยย่อ พระคาถาที่สวดมนต์และคำแปลดังต่อไปนี้:—
โพชฺฌงฺโค สติสงฺขาโต | โพชฌงค์ ๗ ประการ คือ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจยโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปิติสัมโพชฌงค์ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ สมาธิ สัมโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ เหล่านี้ อันพระมุนีเจ้าผู้เห็นธรรมทั้งสิ้นตรัสไว้ชอบแล้ว | |
ธมฺมานํ วิจโย ตถา | ||
วิริยมฺปีติปสฺสทฺธิ | ||
โพชฺฌงฺคา จ ตถาปเร | ||
สมาธุเปกฺขโพชฺฌงฺคา | ||
สตฺเตเต สพฺพทสฺสินา | ||
มุนินา สมฺมทกฺขาตา | ||
ภาวิตา พหุลีกตา | อันบุคคลมาเจริญทำให้มากแล้ว | |
สํวตฺตนฺติ อภิญฺญาย | ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง | |
นิพฺพานาย จ โพธิยา | เพื่อความดับกิเลส และเพื่อความตรัสรู้ | |
เอเตน สจฺจวชฺเชน | ด้วยความกล่าวสัตย์นี้ | |
โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา | ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ | |
เอกสฺมึ สมเย นาโถ | ในสมัยหนึ่ง พระโลกนาถเจ้า | |
โมคฺคลฺลานญฺจ กสฺสํป | ทอดพระเนตรพระโมคคัลนานะและพระกัสสปกำลังเป็นไข้ ถึงทุกขเวทนาแล้ว | |
คิลาเน ทุกฺขิเต ทิสฺวา | ||
โพชฺฌงฺเค สตฺต เทสสิ | ทรงแสดงโพชฌงค์เจ็ดประการ | |
เต จ ตํ อภินนฺทิตฺวา | ท่านทั้งสองนั้นก็เพลิดเพลินภาษิตนั้น | |
โรคา มุจฺจึสุ ตํขเณ | หายโรคในขณะนั้น | |
เอเตน สจฺจวชฺเชน | ด้วยความกล่าวสัตย์นี้ | |
โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา | ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ | |
เอกทา ธมฺมราชาปิ | ในกาลบางคราว แม้พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระราชาในธรรม | |
เคลญฺเญนาภิปีฬิโต | อันความประชวรเบียดเบียนแล้ว | |
จุนฺทตฺเถเรน ตญฺเญว | รับสั่งให้พระจุนทเถระแสดงโพชฌงค์นั่นแหละโดยเอื้อเฟื้อ | |
ภณาเปตฺวาน สาทรํ | ||
สมฺโมทิตฺวา จ อาพาธา | ก็ทรงบันเทิงพระทัย หายความประชวรนั้นไปโดยขณะนั้น | |
ตมฺหา วุฏฺฐาสิ ฐานโส | ||
เอเตน สจฺจวชฺเชน | ด้วยความกล่าวสัตย์นี้ | |
โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา | ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ | |
ปหินา เต จ อาพาธา | ก็อาพาธทั้งหลายนั้น อันพระอริยบุคคลผู้แสวงหาคุณธรรม อันใหญ่ แม้ทั้งสามละได้แล้ว | |
ติณฺณนฺนมฺปิ มเหสินํ | ||
มคฺคาหตกิเลสาว | ถึงแล้วซึ่งความเป็น คือ ความไม่บังเกิดเป็นธรรมดุจกิเลส อัน พระอริยเจ้ากำจัดเสียด้วยพระอริยมรรค | |
ปตฺตานุปฺปตฺติธมฺมตํ | ||
เอเตน สจฺจวชฺเชน | ด้วยความกล่าวสัตว์นี้ | |
โสตฺถิ เต โหตุ สพฺพทา | ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ |