ตำนานเงินตรา (2474)
(กรมหลวงสมรรัตนศิริเชษฐ์)
พระรูปฉายในรัชชกาลที่ ๔ เมื่อพระชันษาราว ๘ ปี
(กรมหลวงสมรรัตนศิริเชษฐ์)
พระรูปฉายเมื่อโสกันต์ในรัชชกาลที่ ๔ ปีจอ พ.ศ. ๒๔๐๕
(กรมหลวงสมรรัตนศิริเชษฐ์)
พระรูปฉายในรัชชกาลที่ ๔ เมื่อพระชันษาราว ๑๔ ปี
ราชบัณฑิตยสภาเลือกหนังสือสำหรับพิมพ์พระราชทานในงานบำเพ็ญพระราชกุศลหน้าพระศพพระเจ้าบรมวงศเธอ กรมหลวงสมรรัตนศิริเชษฐ์ ครบสัตตมวาร มีเวลาน้อย จึงได้เลือกหนังสือ เรื่อง ตำนานเงินตรา ซึ่งข้าพเจ้าได้แต่งไว้นานแล้วเพื่อจะพิมพ์เป็นตอนหนึ่งในหนังสือเรื่องอื่น และได้ให้พระพินิจวรรณการช่วยแต่งต่อตอนท้ายหน่อยหนึ่ง เอามาพิมพ์ให้ทันงาน หวังใจว่า หนังสือเรื่องนี้จะพอประดับสติปัญญาความรู้ท่านทั้งหลายได้บ้าง และหวังว่า จะพอใจอ่านทั่วกัน
เมื่อรัชชกาลที่ ๔ กรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการเปลี่ยนแปลงแบบอย่างเงินตราที่ใช้ในประเทศสยามนี้ นับว่า เป็นการสำคัญในพงศาวดารเรื่องหนึ่ง จึงได้ตรวจเก็บเนื้อความเรื่องเปลี่ยนแบบเงินตราในครั้งนั้นอันมีปรากฏอยู่ในหนังสือต่าง ๆ คือ ประกาศ เป็นต้น มาเรียบเรียงอธิบายให้ผู้อ่านรู้เรื่องและเหตุการณ์ที่มีมา
ในประเทศสยามนี้ ใช้เงินกับเบี้ย (หอย) เป็นเครื่องแลกในการซื้อขายมาแต่สมัยกรุงสุโขทัย เงินนั้นหาตัวโลหะมาแต่ต่างประเทศเอามาหล่อหลอมทำเป็นเงินตราในประเทศสยามนี้เอง แต่ส่วนเบี้ยนั้นอาศัยพวกชาวต่างประเทศเที่ยวเสาะหาตามชายทะเลแล้วพามาขายในประเทศนี้รับซื้อไว้ใช้สรอยเป็นเครื่องแลกในการซื้อขาย ประเพณีเช่นนั้นคงใช้มาจนตลอดสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี มีเหตุปรากฏในปูมครั้งหนึ่งเมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๒๘๗ ในรัชชกาลพระเจ้าบรมโกศว่า "ใช้ประกับต่างเบี้ย" ดังนี้ เดิมไม่ทราบว่า ประกับนั้นเป็นอย่างไร จนพระยาโบราณราชธานินทร์ขุดตรวจที่ในพระราชวังหลวงที่กรุงศรีอยุธยา พบดินเผาตีตราต่าง ๆ ขนาดเท่าเงินเหรียญ ๕๐ สตางค์ฝังไว้เป็นอันมาก จึงเข้าใจว่า นั่นเองที่เรียกว่า ประกับ คงจะเป็นด้วยขาดคราวชาวต่างประเทศเอาเบี้ยเข้ามาขาย จึงนำประกับขึ้นใช้แทนชั่วคราว พอมีเบี้ยเข้ามาขาย ก็เลิก จึงมิได้ใช้ประกับต่อมา
เงินตราครั้งกรุงศรีอยุธยาทำเป็นเงินพดด้วง (คือ รูปสัณฐานกลม) ประทับตราเป็นสำคัญ ๒ ดวง ดวงหนึ่งมักเป็นรูปจักร คงจะหมายความว่า กรุงศรีอยุธยาอันเป็นที่สถิตของสมเด็จพระรามาธิบดี อีกดวงหนึ่งมีใช้รูปแปลก ๆ กัน เป็นสังข์บ้าง เป็นตรีบ้าง เป็นเครื่องหมายรัชชกาล (แต่พิเคราะห์ดู เห็นดวงตราที่ต่างกันมีน้อยกว่าจำนวนพระเจ้าแผ่นดินที่ครองกรุงศรีอยุธยามากนัก จึงสันนิษฐานอีกนัยหนึ่งว่า จะไม่เปลี่ยนตราทุกรัชชกาล ใช้ตราอย่างเดียวกันเรื่อยไปจนมีเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เกิดเงินปลอมมากขึ้น เป็นต้น พระเจ้าแผ่นดินจึงมีพระราชดำรัสสั่งให้เปลี่ยนตราเสียครั้งหนึ่ง) เงินตราครั้งกรุงศรีอยุธยามี ๔ ขนาด คือ
ขนาดบาท ๑
ขนาดครึ่งบาท (เรียกว่า ๒ สลึง อย่างนี้ชะรอยคนจะไม่ใคร่ชอบใช้ จึงมีน้อย)
ขนาด ๑๔ ของบาท เรียกว่า สลึง ๑
ขนาด ๑๘ ของบาท เรียกว่า เฟื้อง ๑
รองนั้นลงมาถึงเบี้ย มีอัตรา ๔๐๐ เบี้ยเป็นราคาเฟื้อง ๑ แต่ว่าไม่เป็นราคาตามกฎหมาย สุดแต่มีเบี้ยเข้ามาขายในท้องตลาดมากหรือน้อย ในเวลาเบี้ยในท้องตลาดมีมาก ราคาเบี้ยตกถึง ๑๐๐๐ เบี้ยต่อเฟื้องก็มี แต่ราษฎรซื้อขายเครื่องบริโภคกันในท้องตลาดมักใช้เบี้ยเป็นพื้น
ถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตอนก่อนรัชชกาลที่ ๔ คงใช้เงินตรามาตามแบบอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นแต่เปลี่ยนตราตามรัชชกาล รัชชกาลที่ ๑ ใช้ตราบัวอุณณาโลม รัชชกาลที่ ๒ ใช้ตราครุฑ รัชชกาลที่ ๓ ใช้ตราปราสาท รัชชกาลที่ ๔ ใช้ตราพระมหามงกุฎ ส่วนตราอีกดวง ๑ ซึ่งบอกนามประเทศ คงใช้ตราจักรเหมือนกันทั้ง ๔ รัชชกาล เป็นเช่นนั้นมาจนในรัชชกาลที่ ๔ ตั้งต้นทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีเปิดการค้าขายกับฝรั่งต่างประเทศเมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๘ การค้าขายในกรุงเทพฯ เจริญรวดเร็วเกินคาดหมาย เช่น แต่ก่อนมา มีเรือกำปั่นฝรั่งเข้ามาค้าขายในกรุงเทพฯ เพียงราวปีละ ๑๒ ลำ ตั้งแต่ทำหนังสือสัญญาแล้ว ก็มีเรือกำปั่นฝรั่งเข้ามาค้าขายถึงปีละ ๒๐๐ ลำ[1] พวกพ่อค้าก็เอาเงินเหรียญดอลลาร์ซึ่งใช้ในการซื้อขายทางเมืองจีนเข้ามาซื้อสินค้า ราษฎรไทยไม่ยอมรับ ฝรั่งจึงต้องเอาเงินเหรียญดอลลาร์มาขอแลกเงินบาทจากรัฐบาล ก็เงินบาทพดด้วงนั้นช่างหลวงทำที่พระคลังมหาสมบัติ เตาหนึ่งทำได้ราววันละสอง ๒๔๐ บาท เพราะทำแต่ด้วยเครื่องมือ มิได้ใช้เครื่องจักร เตาหลวงมี ๑๐ เตา ระดมกันทำเงินพดด้วงได้แต่วันละ ๒,๔๐๐ บาทเป็นอย่างมาก ไม่พอให้ฝรั่งแลกตามปรารถนา พวกกงสุลพากันร้องทุกข์ว่า เป็นการเสียประโยชน์ของพวกชาวต่างประเทศที่มาค้าขาย พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระราชดำริจะเปลี่ยนรูปเงินตราสยามจากเงินพดด้วงเป็นเงินเหรียญ (เรียกในครั้งนั้นว่า "เงินแป") ให้ทำได้มากด้วยใช้เครื่องจักร และในเมื่อกำลังสั่งเครื่องจักรนั้น โปรดฯ ให้ประกาศพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ราษฎรรับเงินเหรียญดอลลาร์จากชาวต่างประเทศ แล้วเอามาแลกเงินบาทที่พระคลังมหาสมบัติได้ โดยอัตรา ๓ เหรียญดอลลาร์ต่อ ๕ บาท ราษฎรก็ยังไม่พอใจจะรับเงินดอลลาร์ จึงทรงพระราชดำริแก้ไขให้เอาตราพระมหามงกุฎและตราจักรซึ่งสำหรับตีเงินพดด้วงตีลงเป็นสำคัญในเหรียญดอลลาร์ให้ใช้ไปพลาง[2] ราษฎรก็ยังมิใคร่พอใจจะใช้ ครั้นถึงปีวอก พ.ศ. ๒๔๐๓ การสร้างโรงกระษาปณ์สำเร็จ[3] ทำเงินตราสยามเป็นเหรียญ มีตราพระมหามงกุฎกับฉัตรตั้งสองข้างหมายรัชชกาลด้านหนึ่ง ตราช้างเผือกอยู่ในวงจักรหมายประเทศด้านหนึ่ง เป็นเหรียญเงิน ๔ ขนาด คือ บาทหนึ่ง กึ่งบาท สลึงหนึ่ง[4] และโปรดฯ ให้ทำเหรียญทองคำราคาเหรียญละ ๑๐ สลึง (ตรงกับตำลึงจีน) ด้วยอีกอย่างหนึ่ง เมื่อประกาศให้ใช้เงินตราอย่างเหรียญแล้ว เงินพดด้วงก็ยังโปรดฯ อนุญาตให้ใช้อยู่ เป็นแต่ไม่ทำเพิ่มเติมขึ้น
ต่อมาอีก ๒ ปี ถึงปีจอ พ.ศ. ๒๔๐๕ โปรดฯ ให้โรงกระษาปณ์ทำเหรียญดีบุกขึ้นเป็นเครื่องแลกใช้แทนเบี้ยหอย เหรียญดีบุกนั้นก็มีตราพระมหามงกุฎกับฉัตรและตราช้างในวงจักร ทำนองเดียวกับตราเงินเหรียญ ทำเป็น ๒ ขนาด ขนาดใหญ่ให้เรียกว่า "อัฐ" ราคา ๘ อันเฟื้อง เท่ากับอันละ ๑๐๐ เบี้ย ขนาดเล็กให้เรียกว่า "โสฬศ" ราคา ๑๖ อันเฟื้อง เท่ากับอันละ ๕๐ เบี้ย การใช้เบี้ยหอยก็เป็นอันเลิกแต่นั้นมา
ถึงปีกุน พ.ศ. ๒๔๐๖ พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริให้สร้างเหรียญทองคำมีตราทำนองเดียวกับเงินเหรียญขึ้น สำหรับใช้เป็นเครื่องแลก ๓ ขนาด ขนาดใหญ่ให้เรียกว่า "ทศ" ราคา ๑๐ อันต่อชั่งหนึ่ง คือ อันละ ๘ บาท (เท่าราคาทองปอนด์อังกฤษในสมัยนั้น) ขนาดกลางให้เรียกว่า "พิศ" ราคาอันละ ๔ บาท ขนาดเล็ก (คือ เหรียญทองที่ได้สร้างขึ้นแต่แรก) ให้เรียกว่า "พัดดึงส์" ราคาอันละ ๑๐ สลึงเท่ากับตำลึงจีน ดูเหมือนจะเป็นคราวเดียวกับที่ทรงสร้างเหรียญทองเป็นเครื่องแลกนี้เอง พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริสร้าง (ธนบัตร) เครื่องแลกทำด้วยกระดาษ มีตัวอักษรพิมพ์ และประทับพระราชลัญจกร ๓ ดวงเป็นสำคัญทุกใบขึ้นอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่า "หมาย" มีราคาต่าง ๆ กันตั้งแต่ใบละบาท ๑ เป็นลำดับลงมาจนใบละเฟื้อง ๑ แลทรงพระราชดำริสร้าง (เชค) ใบ "พระราชทานเงินตรา" อีกอย่าง ๑ ขนาดแผ่นกระดาษใหญ่กว่า "หมาย" มีตัวอักษรพิมพ์และประทับพระราชลัญจกรด้วยชาด ๒ ดวง ด้วยครามดวง ๑ เป็นลายดุนดวง ๑ เป็นสำคัญทุกใบ มีราคาต่างกัน (ว่าตามตัวอย่างที่มีอยู่เมื่อแต่งหนังสือนี้) ตั้งแต่ "พระราชทานเงินตราชั่งสิบตำลึง" ลงมาจนใบละ ๗ ตำลึง (สันนิษฐานว่า เห็นจะมีต่อลงไปจนใบละตำลึงหนึ่งเป็นอย่างต่ำ) กระดาษทั้ง ๒ อย่างนี้ ใครได้ก็เห็นจะเอาไปขึ้นเงินที่พระคลังมหาสมบัติในไม่ช้า เพราะยังไม่แลเห็นประโยชน์ในการใช้กระดาษเป็นเครื่องแลก ในสมัยนั้นจึงมิได้แพร่หลาย
ครั้นถึงปีฉลู พ.ศ. ๒๔๐๘ พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดฯ ให้โรงกระษาปณ์สร้างเหรียญทองแดง มีตราทำนองเดียวกับเหรียญดีบุก เป็นเครื่องแลกอีก ๒ ขนาด มีราคาในระวางเหรียญเงินกับเหรียญดีบุก ขนาดใหญ่ให้เรียกว่า "ซีก" ราคา ๒ อันเฟื้อง ขนาดเล็กให้เรียกว่า "เสี้ยว" ราคา ๔ อันเฟื้อง[5]
เงินตราสยามซึ่งพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชดำริสร้างขึ้นเป็นเหรียญนั้น ที่เป็นเงินและทองแดงใช้ได้ต่อมาดังพระราชประสงค์ แต่ที่เป็นทองคำและเป็นดีบุกเกิดเหตุขัดข้อง ด้วยเหรียญทองคำนั้น ชาวเมืองชอบเอาไปเก็บเสียอย่างทองรูปพรรณ หรือมิฉะนั้น ก็เอาไปทำเครื่องแต่งตัวเสีย ไม่ชอบใช้เป็นเครื่องแลกในการซื้อขาย เหรียญทองเป็นของมีน้อย ก็เลยหมดไป ส่วนเหรียญดีบุกนั้น เมื่อแรกสร้างขึ้น ก็ได้ทรงพระราชปรารภว่า เป็นของอาจสึกหรอและทำปลอมง่าย จึงโปรดฯ ให้เจือทองแดงและดีบุกดำลงในเนื้อดีบุกที่ทำเหรียญให้แข็งผิดกับดีบุกสามัญ ถึงกระนั้น พอใช้เหรียญดีบุกกันแพร่หลาย ไม่ช้าก็มีพวกจีนคิดทำปลอม ครั้นตรวจจับในกรุงเทพฯ แข็งแรง พวกผู้ร้ายก็หลบลงไปซ่อนทำทางหัวเมืองปักษ์ใต้ แล้วลอบส่งเข้ามาจำหน่ายในกรุงเทพฯ เกิดมีเหรียญดีบุกปลอมในท้องตลาดมากขึ้นทุกที จนราษฎรรังเกียจการที่จะรับใช้เหรียญดีบุก ด้วยไม่รู้จะเลือกว่า ไหนเป็นของหลวง และไหนเป็นของปลอม จะกลับใช้เบี้ยหอยก็หาไม่ได้ ด้วยเลิกใช้มาเสียหลายปีแล้ว
เมื่อเริ่มรัชชกาลที่ ๕ เป็นเวลากำลังเกิดการปั่นป่วน ด้วยราษฎรไม่พอใจรับเหรียญดีบุก นัยว่า ถึงตลาดในกรุงเทพฯ แทบจะหยุดการซื้อขายอยู่หลายวัน รัฐบาลจึงต้องรีบวินิจฉัย แล้วออกประกาศเมื่อเดือน ๑๑ แรม ๑๒ ค่ำ ปีมะโรง พ.ศ. ๒๔๑๑ (เป็นวันที่ ๑๓ ในรัชชกาลที่ ๕) สั่งให้คนทั้งหลายนำเหรียญทองแดงและเหรียญดีบุกของหลวงมาขึ้นเอาเงิน จะยอมให้เต็มราคาภายใน ๑๕ วัน เมื่อพ้นกำหนดนั้นไปแล้ว ให้ใช้ลดราคาลง เหรียญทองแดงอย่างซีกคงราคาแต่อันละอัฐ ๑ (๘ อันเฟื้อง) อย่างเสี้ยวคงราคาแต่อันละโสฬศ ๑ (๑๖ อันเฟื้อง) เหรียญดีบุกให้ลดราคาลง เหรียญอัฐคงราคาแต่อันละ ๒๐ เบี้ย (๔๐ อันเฟื้อง) อย่างโสฬศคงราคาแต่อันละ ๑๐ เบี้ย (๘๐ อันเฟื้อง) แม้เมื่อรัฐบาลประกาศอัตราราคาอย่างนั้นแล้ว ราษฎรก็ยังลดราคากันโดยลำพังต่อลงไปอีก ใช้อัฐดีบุกเดิมในท้องตลาดเพียงราคาอันละ ๑๐ เบี้ย (๘๐ อันเฟื้อง) โสฬศดีบุกก็ลดราคาลงไปตามกันเป็นอันละ ๕ เบี้ย (๑๖๐ อันต่อเฟื้อง) คำซึ่งเคยเรียกว่า อัฐ และ โสฬศ ก็เรียกกันว่า "เก๊" แต่ใช้กันต่อมาอีกหลายปี
เพราะเกิดลำบากด้วยเรื่องเงินตราดังกล่าวมา รัฐบาลจึงได้ตกลงแต่แรกขึ้นรัชชกาลที่ ๕ ว่า จะสร้างโรงกระษาปณ์ใหม่ให้ใหญ่โตและดีขึ้นกว่าเก่า[6] แต่การที่สร้าง กว่าจะสำเร็จหลายปี ในชั้นแรก จะต้องทำเงินตราประจำรัชชกาลที่ ๕ ขึ้นตามประเพณีเปลี่ยนรัชชกาลใหม่ จึงให้ทำที่โรงกระษาปณ์เดิมไปพลาง เงินเหรียญตรารัชชกาลที่ ๕ ซึ่งสร้างขึ้นชั้นแรกนั้น ด้านหนึ่งเป็นตราพระเกี้ยวยอดมีพานรองสองชั้นและฉัตรตั้งสองข้าง อีกด้านหนึ่งคงใช้รูปช้างเผือกอยู่ในวงจักรเหมือนรัชชกาลที่ ๔ แต่ทำเพียง ๓ ขนาดที่คนทั้งหลายชอบใช้ คือ เหรียญบาท เหรียญสลึง และเหรียญเฟื้อง ในคราวนั้น ยังไม่ได้ทำเหรียญทองแดงสำหรับรัชชกาลที่ ๕ (ด้วยรัฐบาลทราบว่า สั่งให้ทำให้ทำในประเทศอื่นถูกกว่าทำเอง แต่จะให้ทำในอินเดียหรือในยุโรปยังไม่ตกลงเป็นยุติ) ทำแต่เหรียญดีบุกขึ้นใหม่อย่างหนึ่ง ดวงตราทำนองเดียวกับเหรียญเงิน ขนาดขนาดเขื่องกว่าอัฐดีบุกรัชชกาลที่ ๔ สักหน่อยหนึ่ง แต่ให้ใช้ราคาเพียงโสฬศ ๑ คือ ๑๖ อันเฟื้อง เรื่องเงินตราก็เป็นอันเรียบร้อยไปได้คราวหนึ่ง
แต่ต่อมาเมื่อราคาทองแดงและดีบุกสูงขึ้น มีผู้รู้ว่า ราคาเหรียญทองแดงและเหรียญดีบุกที่ใช้กันที่ท้องตลาดในกรุงเทพฯ ต่ำกว่าราคาเนื้อทองแดงและดีบุกซึ่งซื้อขายกันในประเทศอื่น ก็พากันเอาเหรียญทองแดงและเหรียญดีบุกหลอมส่งไปขายเสียประเทศอื่นเป็นอันมาก เป็นเหตุให้มีเหรียญทอง⟨แดง⟩และดีบุกมีใช้ในท้องตลาดน้อยลง ก็เกิดการใช้ปี้กระเบื้องกันขึ้นแพร่หลาย ปี้กระเบื้องนั้น เดิมเป็นแต่คะแนนสำหรับเล่นเบี้ยในโรงบ่อน จีนเจ้าของบ่อนคิดทำขึ้นเพื่อให้ใช้ขอลากบนเสื่อสะดวกกว่าเงินตรา เวลาคนไปเล่นเบี้ย ให้เอาเงินแลกปี้มาเล่น ครั้นเลิกแล้ว ก็ให้คืนปี้แลกเอาเงินกลับไป เป็นประเพณีดังนี้ ใครเป็นนายอากรบ่อนเบี้ยตำบลไหน ก็คิดทำปี้มีเครื่องหมายของตนเป็นคะแนนราคาต่าง ๆ สำหรับเล่นเบี้ยในบ่อนตำบลนั้น การที่เกิดใช้ปี้เป็นเครื่องแลกแทนเงินตราเดิมเกิดขึ้นแต่นักเลงเล่นเบี้ยที่มักง่าย เอาปี้ซื้อของกินตามร้านที่หน้าโรงบ่อน ผู้ขายก็ยอมรับ ด้วยอาจจะเอากลับเข้าไปแลกเป็นเงินได้ที่ในโรงบ่อนโดยง่าย จึงใช้ปี้กระเบื้องกันในบริเวณโรงบ่อนขึ้นก่อน ครั้นเมื่อหาเหรียญทองแดงเหรียญดีบุกของหลวงใช้ยากเข้า ก็ใช้ปี้เป็นเครื่องแลกแพร่หลายห่างบ่อนออกไปทุกที เพราะคนเชื่อว่า อาจจะเอาไปขึ้นเป็นเงินเมื่อใดก็ได้ ฝ่ายนายบ่อนเบี้ย เมื่อจำหน่ายปี้ได้เงินมากขึ้น เห็นได้เปรียบ ก็คิดสั่งปี้กระเบื้องจากเมืองจีนเข้ามาเพิ่มเติม ทำเป็นรูปและราคาต่าง ๆ ให้คนชอบ ตั้งแต่อันละโสฬศ อันละไพสองไพ[7] จนถึงอันละเฟื้อง สลึง สองสลึง เป็นอย่างสูง มีทุกบ่อนไป ก็แต่ลักษณอากรบ่อนเบี้ยนั้นต้องว่า ประมูลกันใหม่ทุกปี เมื่อสิ้นปีลง นายอากรคนไหนไม่ได้ทำอากรต่อไป ก็กำหนดเวลาให้คนเอาปี้บ่อนของตนไปแลกเงินคืนภายใน ๑๕ วัน พ้นกำหนดไป ไม่ยอมรับ การอันนี้กลายเป็นทางที่เกิดกำไรเพิ่มผลประโยชน์แก่นายอากรบ่อนเบี้ยอีกทางหนึ่ง ฝ่ายราษฎรถึงเสียเปรียบก็มิสู้รู้สึกเดือดร้อน ด้วยได้ใช้ปี้เป็นเครื่องแลกกันในการซื้อขายแทนเหรียญทองแดงและดีบุกซึ่งหายาก ก็ไม่มีใครร้องทุกข์ เป็นเช่นนี้มาปีกุน พ.ศ. ๒๔๑๘ รัฐบาลจึงต้องประกาศห้ามมิให้นายอากรบ่อนเบี้ยทำปี้[8] แต่ในเวลานั้น เหรียญทองแดงซึ่งสั่งให้ทำในยุโรปยังไม่สำเร็จ ต้องออกธนบัตรราคาใบละอัฐ ๑ ให้ใช้กันในท้องตลาดอยู่คราวหนึ่ง จึงได้จำหน่ายเหรียญทองแดงประจำรัชชกาลที่ ๕ ให้ใช้กันในบ้านเมือง ทำเป็น ๓ ขนาด คือ เสี้ยว อัฐ โสฬศ มีตราพระจุลมงกุฎอยู่บนอักษรพระนาม จ.ป.ร. ด้าน ๑ อักษรบอกราคาด้าน ๑ เหมือนกันหมดทุกขนาด[9]
ส่วนเงินเหรียญนั้น เมื่อได้สั่งเครื่องจักรจากเมืองอังกฤษตั้งเป็นโรงกระษาปณ์ขึ้นใหม่แล้ว ก็ได้เริ่มทำเงินเหรียญออกจำหน่ายเมื่อปีชวด พ.ศ. ๒๔๑๙ เงินเหรียญที่ทำคราวนี้ทำเป็น ๓ ขนาด คือ เหรียญบาท เหรียญสลึง เหรียญเฟื้อง พิกัตอัตราอย่างเดียวกับที่ได้ทำมาแต่ก่อน แต่ดวงตราที่ประจำเงินนั้น ด้านหนึ่งเป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครึ่งพระองค์ มีหนังสืออยู่รอบพระบรมรูปนั้นว่า "สมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" ด้านหนึ่งมีตราอาร์มแผ่นดินซึ่งคิดผูกขึ้นในรัชชกาลที่ ๕ มีหนังสือในพื้นเงินดวงตราว่า "กรุงสยาม รัชชกาลที่ ๕" และบอก "ราคา ๑ บาท" เหรียญสลึงและเหรียญเฟื้องก็มีลักษณอย่างเดียวกัน แต่ตราแผ่นดินนั้นเป็นอย่างย่อขนาดน้อย มีบอกราคา ๑ สลึง ๑ เฟื้อง เงินตรา ๓ ขนาดนี้ได้ใช้ต่อมา
ในปีชวด พ.ศ. ๒๔๑๙ นั้น โปรดฯ ให้สร้างเหรียญทองแดงซีกขึ้นอีกอย่าง ๑ ด้วยขุนพัฒน์ นายบ่อน ร้องว่า ทองแดง เสี้ยว อัฐ โสฬศ เล็กบางให้ขอเกี่ยวไม่ถนัด ลักษณทองแดงซีกก็เหมือนกับทองแดง เสี้ยว อัฐ โสฬศ ที่ทำเมื่อปีกุน พ.ศ. ๒๔๑๘ นั้น เหรียญทองแดงชะนิดนี้จึงมี ๔ ขนาดด้วยกัน ใช้อยู่อย่างนี้จนถึงปีกุน พ.ศ. ๒๔๓๐ จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเหรียญทองแดง เสี้ยว อัฐ โสฬศ ขึ้นใหม่ พิกัตอัตราเท่ากับทองแดง เสี้ยว อัฐ โสฬศ เดิม เป็นแต่เปลี่ยนตราใหม่ คือ หน้าหนึ่ง ตรงกลาง มีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีอักษรโดยรอบว่า "จุฬาลงกรณ์ ป.ร. พระจุลจอมเกล้าเจ้ากรุงสยาม" อีกด้านหนึ่ง ตรงกลาง มีรูปพระสยามเทวาธิราชถือพระแสงธารพระกรนั่งบนโล่ห์วางบนแท่น โล่ห์นั้นกั้นเป็น ๓ ห้อง ห้องบนมีรูปช้าง ๓ เศียร ด้านขวารูปช้างยืน ด้านซ้ายรูปกริชไขว้กัน ๒ เล่ม มีอักษรบอกหนึ่งเสี้ยว หนึ่งอัฐ หนึ่งโสฬศ ตามขนาด เหรียญทองแดงทั้ง ๓ ขนาดนี้คงใช้กันมาควบกับเหรียญทองแดงอย่างเก่าตลอดมาจนถึงปีเถาะ พ.ศ. ๒๔๓๔ เหรียญทองแดงสูญหายเบาบางลง จึงโปรดฯ ให้สร้างเหรียญทองแดง เสี้ยว อัฐ โสฬศ เพิ่มเติมขึ้น ลักษณอย่างเดียวกับเหรียญทองแดง เสี้ยว อัฐ โสฬศ ซึ่งสร้างเมื่อปีกุน พ.ศ. ๒๔๓๐ แปลกแต่ตราพระบรมรูปและตราพระสยามเทวาธิราชไม่กลับกันอย่างของเดิม เบื้องบนและเบื้องล่างตรงไปทางเดียวกัน กับเปลี่ยนเลขประจำปีที่สร้างเท่านั้น.
ถึงปีจอ พ.ศ. ๒๔๔๑ รัฐบาลคิดเห็นกันว่า ลักษณการทำบัญชีเงินแต่เดิมนั้นมีช่องบอกว่า ชั่ง บาท อัฐ เมื่อพ้นชั่งขึ้นไปจึงนับเป็นเรือนร้อยเรือนพัน บัญชีมักไขว้กันไม่สะดวก จึงคิดทำเหรียญทองขาวขึ้นใช้เรียกว่า สตางค์ (ส่วนของร้อย) คือ ๑๐๐ สตางค์เป็น ๑ บาท เพื่อง่ายแก่การบัญชี มีช่องแต่เพียงบาทกับสตางค์เท่านั้น เงินจะมากน้อยเท่าใดก็ต่อตัวเลขขึ้นไปเป็นสิบเป็นร้อย ไม่ต้องหักต้องทอน เป็นการง่ายรวดเร็วกว่าของเดิม สตางค์ที่สร้างขึ้นคราวนี้สร้างด้วยทองขาวเป็น ๔ ขนาด ด้านหนึ่งมีรูปช้าง ๓ เศียร มีอักษรว่า "สยามราชอาณาจักร" เหมือนกันทั้ง ๔ ขนาด ๆ ที่ ๑ ด้านหนึ่งมีตัวอักษรว่า ยี่สิบสตางค์ และมีเลข ๒๐ ตัวใหญ่อยู่ตรงกลาง เป็นราคา ๒๐ สตางค์ ใช้ ๕ อันเป็น ๑ บาท ขนาดที่ ๒ มีตัวอักษรว่า สิบสตางค์ มีเลข ๑๐ ตัวใหญ่อยู่กลาง ราคา ๑๐ สตางค์ ใช้ ๑๐ อันเป็นหนึ่งบาท ขนาดที่ ๓ มีตัวอักษรว่า ห้าสตางค์ มีเลข ๕ ตัวใหญ่อยู่กลาง ราคา ๕ สตางค์ ใช้ ๒๐ อันเป็น ๑ บาท ขนาดที่ ๔ มีตัวอักษรว่า สองสตางค์กึ่ง มีเลข ๒ ๑๒ ตัวใหญ่อยู่กลาง ราคา ๒ สตางค์กึ่ง ใช้ ๔๐ อันเป็น ๑ บาท
สตางค์ทองขาวที่สร้างขึ้นใหม่นี้ใช้รวมไปกับเหรียญทองแดงเสี้ยว อัฐ และโสฬศเก่าทั้ง ๒ ชะนิด จนประกาศใช้พระราชบัญญัติมาตราทองคำเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ จึงเลิกใช้เปลี่ยนเป็นเหรียญกระษาปณ์ทองขาวและทองแดง ๓ ชะนิด คือ ทองขาวราคา ๑๐ สตางค์ ทองขาวราคา ๕ สตางค์ ทองแดงราคา ๑ สตางค์ ด้านหน้ามีอุณณาโลม อักษรจารึกว่า "สยามรัฐ" และราคา ด้านหลังมีรูปจักรและศักราช เจาะวงตรงกลาง อย่างที่ใช้กันอยู่ทุกวันนี้.
- ↑ ข้อนี้กล่าวไว้ในหนังสือบางกอกคาเลนดาของหมอบรัดเล เล่ม ค.ศ. ๑๘๖๙
- ↑ เหรียญดอลลาร์ตีตราพระมหามงกุฎกับตราจักรยังมีเหลืออยู่บ้าง แต่เดี๋ยวนี้หายาก
- ↑ โรงกระษาปณ์ที่กล่าวนี้ ตัวตึกยังอยู่ข้างฟากตะวันออกถนนประตูสุวรรณบริบาล เดี๋ยวนี้ใช้เป็นคลังชาวที่ สร้างขึ้นตรงโรงทำเงินพดด้วงของเดิม การสร้างโรงกระษาปณ์ มีเรื่องปรากฏว่า สั่งเครื่องจักรมาจากเมืองเบอมิงฮัม ประเทศอังกฤษ และเรียกช่างอังกฤษเข้ามาสำหรับตั้งเครื่องจักรด้วย แต่ช่างคนนั้นมาตายลงก่อนตั้งเครื่องจักร พระวิสูตรโยธามาตย์ (โหมด อมาตยกุล) รับอาสาตั้งเครื่องจักรโรงกระษาปณ์ได้โดยลำพัง จึงโปรดฯ ให้เป็นเจ้ากรมโรงกระษาปณ์ต่อมา
- ↑ ยังมีเงินเหรียญขนาดตำลึง (๔ บาท) ขนาดกึ่งตำลึง และขนาดกึ่งเฟื้อง แต่มิได้ใช้เป็นเครื่องแลก
- ↑ เหรียญซีกและเสี้ยวเดิมทำหนา พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรยทาน เหรียญซีกไปถูกศีร์ษะคนแตก จึงโปรดฯ ให้ทำให้บางลง
- ↑ คือ ตึกที่อยู่ทางตะวันตกแห่งประตูสุวรรณบริบาลบัดนี้
- ↑ คำว่า "ไพ" มาแต่คนจีนว่า "ไพปา" ราคาไพ ๑ เท่ากับ ๒ อัฐ
- ↑ มีผู้ได้ลองรวบรวมตัวอย่างปี้กระเบื้องต่าง ๆ ซึ่งพวกจีนนายบ่อนคิดทำขึ้น ได้กว่า ๒,๐๐๐ อย่าง
- ↑ ความต่อไปนี้ พระพินิจวรรณการ แต่งต่อ
งานนี้ ปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เพราะลิขสิทธิ์ได้หมดอายุตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งระบุว่า
- ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดา
- ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
- ถ้ามีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์หมดอายุ
- เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย หรือ
- เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เคยโฆษณางานนั้นเลยก่อนที่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายจะถึงแก่ความตาย
- ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้สร้างสรรค์
- ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
- แต่ถ้าได้โฆษณางานนั้นในระหว่าง 50 ปีข้างต้น ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก