นวโกวาท/ธรรมวิภาค
ทุกะ คือ หมวด ๒
แก้ไข- ธรรมมีอุปการะมาก ๒ อย่าง
- ๑. สติ ความระลึกได้.
- ๒. สัมปชัญญะ ความรู้ตัว.
- องฺ. ทุก. ๒๐/๑๑๙. ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๙๐.
- ธรรมเป็นโลกบาล คือ คุ้มครองโลก ๒ อย่าง
- ๑. หิริ ความละอายแก่ใจ.
- ๒. โอตตัปปะ ความเกรงกลัว.
- องฺ. ทุก. ๒๐/๖๕. ขุ. อิติ. ๒๕/๒๕๗.
- ธรรมอันทำให้งาม ๒ อย่าง
- ๑. ขันติ ความอดทน.
- ๒. โสรัจจะ ความเสงี่ยม.
- องฺ. ทุก. ๒๐/๑๑๘. วิ. มหา. ๕/๓๓๕.
- บุคคลหาได้ยาก ๒ อย่าง
- ๑. ปุพพการี บุคคลผู้ทำอุปการะก่อน.
- ๒. กตัญญูกตเวที บุคคลผู้รู้อุปการะที่ท่านทำแล้ว และ ตอบแทน.
- องฺ ทุก. ๒๐/๑๐๙.
ติกะ คือ หมวด ๓
แก้ไข- รตนะ ๓ อย่าง พระพุทธ ๑ พระธรรม ๑ พระสงฆ์ ๑.
- ๑. ท่านผู้สอนให้ประชุมชนประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ ตามพระธรรมวินัย ที่ท่านเรียกว่าพระพุทธศาสนา ชื่อพระพุทธเจ้า.
- ๒. พระธรรมวินัยที่เป็นคำสั่งสอนของท่าน ชื่อพระธรรม.
- ๓. หมู่ชนที่ฟังคำสั่งสอนของท่านแล้ว ปฏิบัติชอบตามพระธรรมวินัย ชื่อพระสงฆ์.
- ขุ. ขุ. ๒๕/๑.
- คุณของรตนะ ๓ อย่าง
- ๑. พระพุทธเจ้ารู้ดีรู้ชอบด้วยพระองค์เองก่อนแล้ว สอนผู้อื่นให้รู้ตามด้วย.
- ๒. ่พระธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติไม่ให้ตกไปในทีชั่ว.
- ๓. พระสงฆ์ปฏิบัติชอบตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว สอนผู้อื่นให้กระทำตามด้วย.
- อาการที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอน ๓ อย่าง
- ๑. ทรงสั่งสอน เพื่อจะให้ผู้ฟังรู้ยิ่งเห็นจริงในธรรมที่ควรรู้ควรเห็น.
- ๒. ทรงสั่งสอนมีเหตุที่ผู้ฟังอาจตรองตามให้เห็นจริงได้.
- ๓. ทรงสั่งสอนเป็นอัศจรรย์ คือผู้ปฏิบัติตามย่อมได้ประโยชน์โดยสมควรแก่ความปฏิบัติ.
- นัย. องฺ. ติก. ๒๐/๓๕๖.
- โอวาทของพระพุทธเจ้า ๓ อย่าง
- ๑. เว้นจากทุจริต คือประพฤติชั่วด้วย กาย วาจา ใจ.
- ๒. ประกอบสุจริต คือประพฤติชอบด้วย กาย วาจา ใจ.
- ๓. ทำใจของตนให้หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองใจ มีโลภ โกรธ หลง เป็นต้น.
- ที. มหา. ๑๐/๕๗.
- ทุจริต ๓ อย่าง
- ๑. ประพฤติชั่วด้วยกาย เรียกกายทุจริต.
- ๒. ประพฤติชั่วด้วยวาจา เรียกวจีทุจริต.
- ๓. ประพฤติชั่วด้วยใจ เรียกมโนทุจริต.
กายทุจริต ๓ อย่าง
- ฆ่าสัตว์ ๑
- ลักฉ้อ ๑
- ประพฤติผิดในกาม ๑.
วจีทุจริต ๔ อย่าง
- พูดเท็จ ๑
- พูดส่อเสียด ๑
- พูดคำหยาบ ๑
- พูดเพ้อเจ้อ ๑.
มโนทุจริต ๓ อย่าง
- โลภอยากได้ของเขา ๑
- พยาบาทปองร้ายเขา ๑
- เห็นผิดจากคลองธรรม ๑.
ทุจริต ๓ อย่างนี้ เป็นกิจไม่ควรทำ ควรจะละเสีย.
- องฺ. ทสก. ๒๔/๓๐๓.
- สุจริต ๓ อย่าง
- ๑. ประพฤติชอบด้วยกาย เรียกกายสุจริต.
- ๒. ประพฤติชอบด้วยวาจา เรียกวจีสุจริต.
- ๓. ประพฤติชอบด้วยใจ เรียกมโนสุจริต.
กายสุจริต ๓ อย่าง
- เว้นจากฆ่าสัตว์ ๑
- เว้นจากลักทรัพย์ ๑
- เว้นจากประพฤติผิดในกาม ๑.
วจีสุจริต ๔ อย่าง
- เว้นจากพูดเท็จ ๑
- เว้นจากพูดส่อเสียด ๑
- เว้นจากพูดคำหยาบ ๑
- เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ ๑.
มโนสุจริต ๓ อย่าง
- ไม่โลภอยากได้ของเขา ๑
- ไม่พยาบาทปองร้ายเขา ๑
- เห็นชอบตามคลองธรรม ๑.
สุจริต ๓ อย่างนี้ เป็นกิจควรทำ ควรประพฤติ.
- องฺ. ทสก. ๒๔/๓๐๓.
- อกุศลมูล ๓ อย่าง
รากเง่าของอกุศล เรียกอกุศลมูล มี ๓ อย่าง คือ
- โลภะ อยากได้ ๑
- โทสะ คิดประทุษร้ายเขา ๑
- โมหะ หลงไม่รู้จริง ๑.
เมื่ออกุศลมูลเหล่านี้ (๑) ก็ดี (๒) ก็ดี (๓) ก็ดี มีอยู่แล้ว อกุศลอื่นที่ยังไม่เกิด ก็เกิดขึ้น ที่เกิดแล้วก็เจริญมากขึ้น เหตุนั้นควรละเสีย.
- ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๙๑. ขุ. อิติ. ๒๕/๒๖๔.
- กุศลมูล ๓ อย่าง
รากเง่าของกุศล เรียกกุศลมูล มี ๓ อย่าง คือ
- อโลภะ ไม่อยากได้ ๑
- อโทสะ ไม่คิดประทุษร้ายเขา ๑
- อโมหะ ไม่หลง ๑
ถ้ากุศลมูลเหล่านี้ (๑) ก็ดี (๒) ก็ดี (๓) ก็ดี มีอยู่แล้ว กุศลอื่นที่ยังไม่เกิด ก็เกิดขึ้น ที่เกิดแล้วก็เจริญมากขึ้น เหตุนั้นควรให้เกิดมีในสันดาน.
- ที. ปาฏิ. ๑๑/๒๙๒.
- สัปปุริสบัญญัติ คือข้อที่ท่านสัตบุรุษตั้งไว้ ๓ อย่าง
- ๑. ทาน สละสิ่งของของตนเพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น.
- ๒. ปัพพัชชา คือบวช เป็นอุบายเว้นจากเบียดเบียนกันและกัน.
- ๓. มาตาปิตุอุปัฏฐาน ปฏิบัติมารดาบิดาของตนให้เป็นสุข.
- องฺ. ติก. ๒๐/๑๙๑.
- อปัณณกปฏิปทา คือปฏิบัติไม่ผิด ๓ อย่าง
- ๑. อินทรียสังวร สำรวมอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ยินดียินร้ายในเวลาเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ.
- ๒. โภชเน มัตตัญญุตา รู้จักประมาณในการกินอาหารแต่พอสมควร ไม่มากไม่น้อย.
- ๓. ชาคริยานุโยค ประกอบความเพียรเพื่อจะชำระใจให้หมดจด ไม่เห็นแก่นอนมากนัก.
- องฺ. ติก. ๒๐/๑๔๒.
- บุญกิริยาวัตถุ ๓ อย่าง
สิ่งเป็นที่ตั้งแห่งการบำเพ็ญบุญ เรียกบุญกิริยาวัตถุ โดยย่อมี ๓ อย่าง
- ๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน.
- ๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล.
- ๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา.
- ขุ. อิติ. ๒๕/๒๗๐. องฺ. อฏฺฐก. ๒๓/๑๔๕.
- สามัญญลักษณะ ๓ อย่าง
ลักษณะที่เสมอกันแก่สังขารทั้งปวง เรียกสามัญญลักษณะ ไตรลักษณะก็เรียก แจกเป็น ๓ อย่าง
- ๑. อนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง.
- ๒. ทุกขตา ความเป็นทุกข์.
- ๓. อนัตตตา ความเป็นของไม่ใช่ตน.
- สํ. สฬ. ๑๘/๑.
จตุกกะ คือ หมวด ๔
แก้ไข- วุฑฒิ คือธรรมเป็นเครื่องเจริญ ๔ อย่าง
- ๑. สัปปุริสสังเสวะ คบท่านผู้ประพฤติชอบด้วยกาย วาจา ใจ ที่เรียกว่าสัตบุรุษ.
- ๒. สัทธัมมัสสวนะ ฟังคำสั่งสอนของท่านโดยเคารพ.
- ๓. โยนิโสมนสิการ ตริตรองให้รู้จักสิ่งที่ดีหรือชั่วโดยอุบายที่ชอบ.
- ๔. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมซึ่งได้ตรองเห็นแล้ว.
- องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๓๓๒.
- จักร ๔
- ๑. ปฏิรูปเทสวาสะ อยู่ในประเทศอันสมควร.
- ๒. สัปปปุริสูปัสสยะ คบสัตบุรุษ.
- ๓. อัตตสัมมาปณิธิ ตั้งตนไว้ชอบ.
- ๔. ปุพเพกตปุญญตา ความเป็นผู้ได้ทำความดีไว้ในปางก่อน.
ธรรม ๔ อย่างนี้ ดุจล้อรถนำไปสู่ความเจริญ.
- องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๔๐.
- อคติ ๔
- ๑. ลำเอียงเพราะรักใคร่กัน เรียกฉันทาคติ.
- ๒. ลำเอียงเพราะไม่ชอบกัน เรียกโทสาคติ.
- ๓. ลำเอียงเพราะเขลา เรียกโมหาคติ.
- ๔. ลำเอียงเพราะกลัว เรียกภยาคติ.
อคติ ๔ ประการนี้ ไม่ควรประพฤติ.
- องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๒๓.
- อันตรายของภิกษุสามเณรผู้บวชใหม่ ๔ อย่าง
- ๑. อดทนต่อคำสอนไม่ได้ คือเบื่อต่อคำสั่งสอนขี้เกียจทำตาม.
- ๒. เป็นคนเห็นแก่ปากแก่ท้อง ทนความอดอยากไม่ได้.
- ๓. เพลิดเพลินในกามคุณ ทะยานอยากได้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป.
- ๔. รักผู้หญิง
ภิกษุสามเณรผู้หวังความเจริญแก่ตน ควรระวังอย่าให้อันตราย ๔ อย่างนี้ย่ำยีได้.
- องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๑๖๕.
- ปธาน คือความเพียร ๔ อย่าง
- ๑. สังวรปธาน เพียรระวังไม่ให้บาปเกิดขึ้นในสันดาน.
- ๒. ปหานปธาน เพียรละบาปที่เกิดขึ้นแล้ว.
- ๓. ภาวนาปธาน เพียรให้กุศลเกิดขึ้นในสันดาน.
- ๔. อนุรักขนาปธาน เพียรรักษากุศลที่เกิดขึ้นแล้วไม่ให้เสื่อม.
ความเพียร ๔ อย่างนี้ เป็นความเพียรชอบ ควรประกอบให้มีในตน.
- องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๒๐.
- อธิษฐานธรรม คือธรรมที่ควรตั้งไว้ในใจ ๔ อย่าง
- ๑. ปัญญา รอบรู้สิ่งที่ควรรู้.
- ๒. สัจจะ ความจริงใจ คือประพฤติสิ่งใดก็ให้ได้จริง.
- ๓. จาคะ สละสิ่งที่เป็นข้าศึกแก่ความจริงใจ.
- ๔. อุปสมะ สงบใจจากสิ่งเป็นข้าศึกแก่ความสงบ.
- ม. อุป. ๑๔/๔๓๗.
- อิทธิบาท คือคุณเครื่องให้สำเร็จความประสงค์ ๔ อย่าง
- ๑. ฉันทะ พอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น.
- ๒. วิริยะ เพียรประกอบสิ่งนั้น.
- ๓. จิตตะ เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้นไม่วางธุระ.
- ๔. วิมังสา หมั่นตริตรองพิจารณาเหตุผลในสิ่งนั้น.
คุณ ๔ อย่างนี้ มีบริบูรณ์แล้ว อาจชักนำบุคคลให้ถึงสิ่งที่ต้องประสงค์ซึ่งไม่เหลือวิสัย.
- อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๒๙๒.
- ควรทำความไม่ประมาทในที่ ๔ สถาน
- ๑. ในการละกายทุจริต ประพฤติกายสุจริต.
- ๒. ในการละวจีทุจริต ประพฤติวจีสุจริต.
- ๓. ในการละมโนทุจริต ประพฤติมโนสุจริต.
- ๔. ในการละความเห็นผิด ทำความเห็นให้ถูก.
อีกอย่างหนึ่ง
- ๑. ระวังใจไม่ให้กำหนัดในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด.
- ๒. ระวังใจไม่ให้ขัดเคืองในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความขัดเคือง.
- ๓. ระวังใจไม่ให้หลงในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความหลง.
- ๔. ระวังใจไม่ให้มัวเมาในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมา.
- องฺ. จตุกฺก. ๒๑/๑๖๑.
- ปาริสุทธิศีล ๔
- ๑. ปาติโมกขสังวร สำรวมในพระปาติโมกข์ เว้นข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ทำตามข้อที่พระองค์อนุญาต.
- ๒. อินทรียสังวร สำรวมอินทรีย์ ๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ยินดียินร้ายในเวลาเห็นรูป ฟังเสียง ดมกลิ่น ลิ้มรส ถูกต้องโผฏัฐพพะ รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ.
- ๓. ปาชีวปาริสุทธิ เลี้ยงชีวิตโดยทางที่ชอบ ไม่หลอกลวงเขาเลี้ยงชีวิต.
- ๔. ปัจจยปัจจเวกขณะ พิจารณาเสียก่อนจึงบริโภคปัจจัย ๔ คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัช ไม่บริโภคด้วยตัณหา.
- วิ. สีล. ปม. ๑๙.
- อารักขกัมมัฏฐาน ๔
- ๑. พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้าที่มีในพระองค์และทรงเกื้อกูลแก่ผู้อื่น.
- ๒. เมตตา แผ่ไม่ตรีจิตคิดจะให้สัตว์ทั้งปวงเป็นสุขทั่วหน้า.
- ๓. อสุภะ พิจารณาร่างกายตนและผู้อื่นให้เห็นเป็นไม่งาม.
- ๔. มรณัสสติ นึกถึงความตายอันจะมีแก่ตน.
กัมมัฏฐาน ๔ อย่างนี้ ควรเจริญเป็นนิตย์.
- พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ.
- พรหมวิหาร ๔
- ๑. เมตตา ความรักใคร่ ปรารถนาจะให้เป็นสุข.
- ๒. กรุณา ความสงสาร คิดจะช่วยให้พ้นทุกข์.
- ๓. มุทิตา ความพลอยยินดี เมื่อผู้อื่นได้ดี.
- ๔. อุเบกขา ความวางเฉย ไม่ดีใจไม่เสียใจเมื่อผู้อื่นถึงความวิบัติ.
๔ อย่างนี้ เป็นเครื่องอยู่ของท่านผู้ใหญ่.
- อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๓๖๙.
- สติปัฏฐาน ๔
๑. กายานุปัสสนา ๒. เวทนานุปัสสนา ๓. จิตตานุปัสสนา ๔. ธัมมานุปัสสนา.
สติกำหนดพิจารณากายเป็นอารมณ์ว่า กายนี้สักว่ากาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา เรียกกายานุปัสสนา.
สติกำหนดพิจารณาเวทนา คือ สุข ทุกข์ และไม่สุขไม่ทุกข์ เป็นอารมณ์ว่า เวทนานี้ก็สักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา เรียกเวทนานุปัสสนา.
สติกำหนดพิจารณาใจที่เศร้าหมอง หรือผ่องแล้ว เป็นอารมณ์ว่า ใจนี้ก็สักว่าใจ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา เรียกจิตตานุปัสสนา.
สติกำหนดพิจารณาธรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศล ที่บังเกิดกับใจ เป็นอารมณ์ว่า ธรรมนี้ก็สักว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา เรียกธัมมานุปัสสนา.
- ที. มหา. ๑๐/๓๒๕.
- ธาตุกัมมัฏฐาน ๔
ธาตุ ๔ คือ
- ธาตุดิน เรียกปฐวีธาตุ
- ธาตุน้ำ เรียกอาโปธาตุ
- ธาตุไฟ เรียกเตโชธาตุ
- ธาตุลม เรียกวาโยธาตุ.
ธาตุอันใดมีลักษณะแข้นแข็ง ธาตุนั้นเป็นปฐวีธาตุ ปฐวีธาตุนั้นที่เป็นภายใน คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า.
ธาตุอันใดมีลักษณะเอิบอาบ ธาตุนั้นเป็นอาโปธาตุ อาโปธาตุนั้นที่เป็นภายใน คือ ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร.
ธาตุอันใดมีลักษณะร้อน ธาตุนั้นเป็นเตโชธาตุ เตโชธาตุนั้นที่เป็นภายใน คือ ไฟที่ยังกายให้อบอุ่น ไฟที่ยังกายให้ทรุดโทรม ไฟที่ยังกายให้กระวนกระวาย ไฟที่เผาอาหารให้ย่อย.
ธาตุอันใดมีลักษณะพัดไปมา ธาตุนั้นเป็นวาโยธาตุ วาโยธาตุนั้นที่เป็นภายใน คือ ลมพัดขึ้นเบื้องบน ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในไส้ ลมพัดไปตามตัว ลมหายใจ.
ความกำหนดพิจารณากายนี้ ให้เห็นว่าเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประชุมกันอยู่ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เรียกว่าธาตุกัมมัฏฐาน.
- ม. อุป. ๑๔/๔๓๗.
- อริยสัจ ๔
- ๑. ทุกข์
- ๒. สมุทัย คือ เหตุให้ทุกข์เกิด
- ๓. นิโรธ คือความดับทุกข์
- ๔. มรรค คือข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์.
ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ได้ชื่อว่าทุกข์ เพราะเป็นของทานได้ยาก.
ตัณหาคือความทะยานอยาก ได้ชื่อว่าสมุทัย เพราะเป็นเหตุให้ทุกข์เกิด.
ตัณหานั้น มีประเภทเป็น ๓ คือตัณหาความอยากในอารมณ์ที่น่ารักใคร่ เรียกว่ากามตัณหาอย่าง ๑ ตัณหาความอยากเป็นโน่นเป็นนี่ เรียกว่าภวตัณหาอย่าง ๑ ตัณหาความอยากไม่เป็นโน่นเป็นนี่ เรียกว่าวิภวตัณหาอย่าง ๑.
ความดับตัณหาได้สิ้นเชิง ทุกข์ดับไปหมด ได้ชื่อว่านิโรธ เพราะเป็นความดับทุกข์.
ปัญญาอันชอบว่าสิ่งนี้ทุกข์ สิ่งนี้เหตุให้ทุกข์เกิด สิ่งนี้ความดับทุกข์ สิ่งนี้ทางให้ถึงความดับทุกข์ ได้ชื่อว่ามรรค เพราะเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์.
มรรคนั้นมีองค์ ๘ ประการ คือ ปัญญาอันเห็นชอบ ๑ ดำริชอบ ๑ เจรจาชอบ ๑ ทำการงานชอบ ๑ เลี้ยงชีวิตชอบ ๑ ทำความเพียรชอบ ๑ ตั้งสติชอบ ๑ ตั้งใจชอบ ๑.
- อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๑๒๗.
ปัญจกะ คือ หมวด ๕
แก้ไข- อนันตริยกรรม ๕
- ๑. มาตุฆาต ฆ่ามารดา.
- ๒. ปิตุฆาต ฆ่าบิดา.
- ๓. อรหันตฆาต ฆ่าพระอรหันต์.
- ๔. โลหิตุปบาท ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงยังพระโลหิตให้ห้อขึ้นไป.
- ๕. สังฆเภท ยังสงฆ์ให้แตกจากกัน.
กรรม ๕ อย่างนี้ เป็นบาปอันหนักที่สุด ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ตั้งอยู่ในฐานปาราชิกของผู้ถือพระพุทธศาสนา ห้ามไม่ให้ทำเป็นเด็ดขาด.
- องฺ. ปฺจก. ๒๒/๑๖๕.
- อภิณหปัจจเวกขณ์ ๕
- ๑. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้.
- ๒. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้.
- ๓. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้.
- ๔. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น.
- ๕. ควรพิจารณาทุกวัน ๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตัว เราทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว.
- องฺ. ปฺจก. ๒๒/๘๑.
- เวสารัชชกรณธรรม คือ ธรรมทำความกล้าหาญ ๕ อย่าง
- ๑. สัทธา เชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ.
- ๒. สีล รักษากายวาจาให้เรียบร้อย.
- ๓. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ศึกษามาก.
- ๔. วิริยารัมภะ ปรารภความเพียร.
- ๕. ปัญญา รอบรู้สิ่งที่ควรรู้.
- องฺ. ปฺจก. ๒๒/๑๔๔.
- องค์แห่งภิกษุใหม่ ๕ อย่าง
- ๑. สำรวมในพระปาติโมกข์ เว้นข้อที่พระพุทธเจ้าห้าม ทำตามข้อที่ทรงอนุญาต.
- ๒. สำรวมอินทรีย์ คือ ระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ความยินดียินร้ายครอบงำได้ ในเวลาที่เห็นรูปด้วยนัยน์ตาเป็นต้น.
- ๓. ความเป็นคนไม่เอิกเกริกเฮฮา.
- ๔. อยู่ในเสนาสนะอันสงัด.
- ๕. มีความเห็นชอบ.
ภิกษุใหม่ควรตั้งอยู่ในธรรม ๕ อย่างนี้.
- องฺ. ปฺจก. ๒๒/๑๕๕.
- องค์แห่งธรรมกถึก คือ นักเทศก์ ๕ อย่าง
- ๑. แสดงธรรมไปโดยลำดับ ไม่ตัดลัดให้ขาดความ.
- ๒. อ้างเหตุผลแนะนำให้ผู้ฟังเข้าใจ.
- ๓. ตั้งจิตเมตตาปรารถนาให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง.
- ๔. ไม่แสดงธรรมเพราะเห็นแก่ลาภ.
- ๕. ไม่แสดงธรรมกระทบตนและผู้อื่น คือว่า ไม่ยกตนเสียดสีผู้อื่น.
ภิกษุผู้เป็นธรรมกถึก พึงตั้งองค์ ๕ อย่างนี้ไว้ในตน.
- องฺ. ปฺจก. ๒๒/๒๐๖.
- ธัมมัสสวนานิสงส์ คือ อานิสงส์แห่งการฟังธรรม ๕ อย่าง
- ๑. ผู้ฟังธรรมย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง.
- ๒. สิ่งใดได้เคยฟังแล้ว แต่ไม่เข้าใจชัด ย่อมเข้าใจสิ่งนั้นชัด.
- ๓. บรรเทาความสงสัยเสียได้.
- ๔. ทำความเห็นให้ถูกต้องได้.
- ๕. จิตของผู้ฟังย่อมผ่องใส.
- องฺ. ปฺจก. ๒๒/๒๗๖.
- พละ คือธรรมเป็นกำลัง ๕ อย่าง
- ๑. สัทธา ความเชื่อ.
- ๒. วิริยะ ความเพียร.
- ๓. สติ ความระลึกได้.
- ๔. สมาธิ ความตั้งใจมั่น.
- ๕. ปัญญา ความรอบรู้.
อินทรีย์ ๕ ก็เรียก เพราะเป็นใหญ่ในกิจของตน.
- องฺ. ปฺจก. ๒๒/๑๑.
- นิวรณ์ ๕
ธรรมอันกั้นจิตไม่ให้บรรลุความดี เรียกนิวรณ์ มี ๕ อย่าง
- ๑. พอใจรักใคร่ในอารมณ์ที่ชอบใจมีรูปเป็นต้น เรียกกามฉันท์.
- ๒. ปองร้ายผู้อื่น เรียกพยาบาท.
- ๓. ความที่จิตหดหู่และเคลิบเคลิ้ม เรียกถีนมิทธะ.
- ๔. ฟุ้งซ่านและรำคาญ เรียกอุทธัจจกุกกุจจะ.
- ๕. ลังเลไม่ตกลงได้ เรียกวิจิกิจฉา.
- องฺ. ปฺจก. ๒๒/๗๒.
- ขันธ์ ๕
กายกับใจนี้ แบ่งออกเป็น ๕ กอง เรียกว่าขันธ์ ๕
๑. รูป ๒. เวทนา ๓. สัญญา ๔. สังขาร ๕. วิญญาณ.
ธาตุ ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประชุมกันเป็นกายนี้ เรียกว่ารูป.
ความรู้สึกอารมณ์ว่า เป็นสุข คือ สบายกายสบายใจ หรือเป็นทุกข์ คือไม่สบายกายไม่สบายใจ หรือเฉย ๆ คือไม่ทุกข์ไม่สุข เรียกว่าเวทนา.
ความจำได้หมายรู้ คือ จำรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อารมณ์ที่เกิดกับใจได้ เรียกว่าสัญญา.
เจตสิกธรรม คือ อารมณ์ที่เกิดกับใจ (๑) เป็นส่วนดี เรียกกุศล เป็นส่วนชั่ว เรียกอกุศล เป็นส่วนกลาง ๆ ไม่ดีไม่ชั่ว เรียกอัพยากฤต เรียกว่าสังขาร.
ความรู้อารมณ์ในเวลาเมื่อรูปมากระทบตาเป็นต้น เรียกว่าวิญญาณ.
ขันธ์ ๕ นี้ ย่นเรียกว่า นาม รูป. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รวมเข้าเป็นนาม รูปคงเป็นรูป.
อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๑.
๑. ความคิด หรือเรื่องราวที่เรียกว่าธรรมะหรือธรรมารมณ์ เรียกว่า สังขาร.
ฉักกะ คือ หมวด ๖
แก้ไข- คารวะ ๖ อย่าง
ความเอื้อเฟื้อ ในพระพุทธเจ้า ๑ ในพระธรรม ๑ ในพระสงฆ์ ๑ ในความศึกษา ๑ ในความไม่ประมาท ๑ ในปฏิสันถารคือต้อนรับปราศรัย ๑. ภิกษุควรทำคารวะ ๖ ประการนี้.
- องฺ. ฉกฺก. ๒๒/๓๖๙.
- สาราณิยธรรม ๖ อย่าง
ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความให้ระลึกถึง เรียกสาราณิยธรรม มี ๖ อย่าง คือ :-
- ๑. เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนภิกษุสามเณร ทั้งต่อหน้าและลับหลัง คือ ช่วยขวนขวายในกิจธุระของเพื่อนกันด้วยกาย มีพยาบาลภิกษุไข้เป็นต้น ด้วยจิตเมตตา.
- ๒. เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนภิกษุสามเณร ทั้งต่อหน้าและลับหลัง คือ ช่วยขวนขวายในกิจธุระของเพื่อนกันด้วยวาจา เช่นกล่าวสั่งสอนเป็นต้น ด้วยจิตเมตตา.
- ๓. เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนภิกษุสามเณร ทั้งต่อหน้าและลับหลัง คือ คิดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่เพื่อนกัน.
- ๔. แบ่งปันลาภที่ตนได้มาแล้วโดยชอบธรรม ให้แก่เพื่อนภิกษุสามเณร ไม่หวงไว้บริโภคจำเพาะผู้เดียว.
- ๕. รักษาศีลบริสุทธิ์เสมอกันกับเพื่อนภิกษุสามเณรอื่น ๆ ไม่ทำตนให้เป็นที่รังเกียจของผู้อื่น.
- ๖. มีความเห็นร่วมกันกับภิกษุสามเณรอื่น ๆ ไม่วิวาทกับใคร ๆ เพราะมีความเห็นผิดกัน.
ธรรม ๖ อย่างนี้ ทำผู้ประพฤติให้เป็นที่รักที่เคารพของผู้อื่น เป็นไปเพื่อความสงเคราะห์กันและกัน เป็นไปเพื่อความไม่วิวาทกันและกัน เป็นไปเพื่อความพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.
- องฺ. ฉกฺก. ๒๒/๓๒๒.
- อายตนะภายใน ๖
- ตา
- หู
- จมูก
- ลิ้น
- กาย
- ใจ.
อินทรีย์ ๖ ก็เรียก.
- ม. ม. ๑๒/๙๖. อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๘๕.
- อายตนะภายนอก ๖
- รูป
- เสียง
- กลิ่น
- รส
- โผฏฐัพพะ คืออารมณ์ที่มาถูกต้องกาย
- ธรรม คืออารมณ์เกิดกับใจ.
อารมณ์ ๖ ก็เรียก.
- ม. อุป. ๑๔/๔๐๑. อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๘๕.
- วิญญาณ ๖
- อาศัยรูปกระทบตา เกิดความรู้ขึ้น เรียกจักขุวิญญาณ
- อาศัยเสียงกระทบหู เกิดความรู้ขึ้น เรียกโสตวิญญาณ
- อาศัยกลิ่นกระทบจมูก เกิดความรู้ขึ้น เรียกฆานวิญญาณ
- อาศัยรสกระทบลิ้น เกิดความรู้ขึ้น เรียกชิวหาวิญญาณ
- อาศัยโผฏฐัพพะกระทบกาย เกิดความรู้ขึ้น เรียกกายวิญญาณ
- อาศัยธรรมเกิดกับใจ เกิดความรู้ขึ้น เรียกมโนวิญญาณ.
- ที. มหา. ๑๐/๓๔๔. อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๘๕.
- สัมผัส ๖
อายตนะภายในมีตาเป็นต้น อายตนะภายนอกมีรูปเป็นต้น วิญญาณ มีจักขุวิญญาณเป็นต้น กระทบกัน เรียกสัมผัส มีชื่อตามอายตนะภายในเป็น ๖ คือ :-
- จักขุสัมผัส.
- โสตสัมผัส.
- ฆานสัมผัส.
- ชิวหาสัมผัส.
- กายสัมผัส.
- มโนสัมผัส.
- ที. มหา. ๑๐/๓๔๔. สํ. นิ. ๑๖/๔.
- เวทนา ๖
สัมผัสนั้นเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เป็นสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ทุกข์ ไม่สุขบ้าง มีชื่อตามอายตนะภายในเป็น ๖ คือ :-
- จักขุสัมผัสสชาเวทนา
- โสตสัมผัสสชาเวทนา
- ฆานสัมผัสสชาเวทนา
- ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา
- กายสัมผัสสชาเวทนา
- มโนสัมผัสสชาเวทนา
- ที. มหา. ๑๐/๓๔๔. สํ. นิ. ๑๖/๔.
- ธาตุ ๖
- ๑. ปฐวีธาตุ คือ ธาตุดิน.
- ๒. อาโปธาตุ คือ ธาตุน้ำ.
- ๓. เตโชธาตุ คือ ธาตุไฟ.
- ๔. วาโยธาตุ คือ ธาตุลม.
- ๕. อากาสธาตุ คือ ช่องว่างมีในกาย.
- ๖. วิญญาณธาตุ คือ ความรู้อะไรได้.
ม. อุป. ๑๔/๑๒๕. อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๑๐๑.
สัตตกะ คือ หมวด ๗
แก้ไข- อปริหานิยธรรม ๗ อย่าง
ธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม เป็นไปเพื่อความเจริญฝ่ายเดียว ชื่อว่า อปริหานิยธรรม มี ๗ อย่าง คือ :-
- ๑. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์.
- ๒. เมื่อประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุม เมื่อเลิกประชุม ก็พร้อมเพรียงกันเลิก และพร้อมเพรียงกันช่วยทำกิจที่สงฆ์จะต้องทำ.
- ๓. ไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติขึ้น ไม่ถอนสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้แล้ว สาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบทตามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้.
- ๔. ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้ใหญ่เป็นประธานในสงฆ์ เคารพนับถือภิกษุเหล่านั้น เชื่อฟังถ้อยคำของท่าน.
- ๕. ไม่ลุอำนาจแก่ความอยากที่เกิดขึ้น.
- ๖. ยินดีในเสนาสนะป่า.
- ๗. ตั้งใจอยู่ว่า เพื่อนภิกษุสามเณรซึ่งเป็นผู้มีศีล ซึ่งยังไม่มาสู่อาวาส ขอให้มา ที่มาแล้ว ขอให้อยู่เป็นสุข.
ธรรม ๗ อย่างนี้ ตั้งอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นไม่มีความเสื่อมเลย มีแต่ความเจริญฝ่ายเดียว.
- องฺ. สตฺตก. ๒๓/๒๑.
- อริยทรัพย์ ๗
ทรัพย์ คือ คุณความดีที่มีในสันดานอย่างประเสริฐ เรียก อริยทรัพย์ มี ๗ อย่าง คือ :-
- ๑. สัทธา เชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ.
- ๒. สีล รักษา กาย วาจา ให้เรียบร้อย.
- ๓. หิริ ความละอายต่อบาปทุจริต.
- ๔. โอตตัปปะ สะดุ้งกลัวต่อบาป.
- ๕. พาหุสัจจะ ความเป็นคนเคยได้ยินได้ฟังมามาก คือจำทรงธรรมและรู้ศิลปวิทยามาก.
- ๖. จาคะ สละให้ปันสิ่งของของตนแก่คนที่ควรให้ปัน.
- ๗. ปัญญา รอบรู้สิ่งที่เป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์.
อริยทรัพย์ ๗ ประการนี้ ดีกว่าทรัพย์ภายนอก มีเงินทองเป็นต้น ควรแสวงหาไว้มีในสันดาน.
- องฺ. สตฺตก. ๒๓/๕.
- สัปปุริสธรรม ๗ อย่าง
ธรรมของสัตบุรุษ เรียกว่า สัปปุริสธรรม มี ๗ อย่าง คือ :-
- ๑. ธัมมัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักเหตุ เช่นรู้จักว่า สิ่งนี้เป็นเหตุแห่งสุข สิ่งนี้เป็นเหตุแห่งทุกข์.
- ๒. อัตถัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักผล เช่นรู้จักว่า สุขเป็นผลแห่งเหตุอันนี้ ทุกข์เป็นผลแห่งเหตุอันนี้.
- ๓. อัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักตนว่า เราว่าโดยชาติ ตระกูล ยศ ศักดิ์ สมบัติ บริวาร ความรู้ และคุณธรรมเพียงเท่านี้ ๆ แล้วประพฤติ ตนให้สมควรแก่ที่เป็นอยู่อย่างไร.
- ๔. มัตตัญญุตา ความเป็นผู้รู้ประมาณ ในการแสวงหาเครื่องเลี้ยงชีวิตแต่โดยทางที่ชอบ และรู้จักประมาณในการบริโภคแต่พอควร.
- ๕. กาลัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักกาลเวลาอันสมควรในอันประกอบกิจนั้น ๆ.
- ๖. ปริสัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักประชุมชน และกิริยาที่จะต้องประพฤติต่อประชุมชนนั้น ๆ ว่า หมู่นี้เมื่อเข้าไปหา จะต้องทำกิริยาอย่างนี้ จะต้องพูดอย่างนี้ เป็นต้น.
- ๗. ปุคคลปโรปรัญญุตา ความเป็นผู้รู้จักเลือกบุคคลว่า ผู้นี้เป็นคนดีควรคบ ผู้นี้เป็นคนไม่ดี ไม่ควรคบ เป็นต้น.
- องฺ. สตฺตก. ๒๓/๑๑๓.
- สัปปุริสธรรมอีก ๗ อย่าง
- ๑. สัตบุรุษประกอบด้วยธรรม ๗ ประการ คือ มีศรัทธา มีความละอายต่อบาป มีความกลัวต่อบาป เป็นคนได้ยินได้ฟังมาก เป็นคนมีความเพียร เป็นคนมีสติมั่นคง เป็นคนมีปัญญา.
- ๒. จะปรึกษาสิ่งใดกับใคร ๆ ก็ไม่ปรึกษาเพื่อจะเบียดเบียนตนและผู้อื่น.
- ๓. จะคิดสิ่งใดก็ไม่คิดเพื่อจะเบียดเบียนตนและผู้อื่น.
- ๔. จะพูดสิ่งใดก็ไม่พูดเพื่อจะเบียดเบียนตนและผู้อื่น.
- ๕. จะทำสิ่งใดก็ไม่ทำเพื่อจะเบียดเบียนตนและผู้อื่น.
- ๖. มีความเห็นชอบ มีเห็นว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วเป็นต้น.
- ๗. ให้ทานโดยเคารพ คือเอื้อเฟื้อแก่ของที่ตัวให้ และผู้รับทานนั้น ไม่ทำอาการดุจทิ้งเสีย.
- นัย. ม. อุป. ๑๔/๑๑๒.
- โพชฌงค์ ๗
- ๑. สติ ความระลึกได้.
- ๒. ธัมมวิจยะ ความสอดส่องธรรม.
- ๓. วิริยะ ความเพียร.
- ๔. ปีติ ความอิ่มใจ.
- ๕. ปัสสัทธิ ความสงบใจและอารมณ์.
- ๖. สมาธิ ความตั้งใจมั่น.
- ๗. อุเปกขา ความวางเฉย.
เรียกตามประเภทว่า สติสัมโพชฌงค์ไปโดยลำดับจนถึงอุเปกขาสัมโพชฌงค์.
- สํ. มหา. ๑๙/๙๓.
อัฏฐกะ คือ หมวด ๘
แก้ไข- โลกธรรม ๘
ธรรมที่ครอบงำสัตว์โลกอยู่ และสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามธรรมนั้น เรียกว่าโลกธรรม. โลกธรรมนั้น ๘ อย่าง คือ มีลาภ ๑ ไม่มีลาภ ๑ มียศ ๑ ไม่มียศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑.
ในโลกธรรม ๘ ประการนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ควรพิจารณาว่า สิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ก็แต่ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรรู้ตามที่เป็นจริง อย่าให้มันครอบงำจิตได้ คืออย่ายินดีในส่วนที่ปรารถนา อย่ายินร้ายในส่วนที่ไม่ปรารถนา.
- องฺ. สฏฺก. ๒๓/๑๕๘.
- ลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ
- ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความกำหนัดย้อมใจ ๑.
- เป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์ ๑.
- เป็นไปเพื่อความสะสมกองกิเลส ๑.
- เป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ ๑.
- เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษยินดีด้วยของมีอยู่ คือมีนี่แล้วอยากได้นั่น ๑.
- เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ. ๑.
- เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน ๑.
- เป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก ๑.
ธรรมเหล่านี้พึงรู้ว่า ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระศาสดา.
- ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด ๑.
- เป็นไปเพื่อความปราศจากทุกข์ ๑.
- เป็นไปเพื่อความไม่สะสมกองกิเลส ๑.
- เป็นไปเพื่อความอยากอันน้อย ๑.
- เป็นไปเพื่อความสันโดษยินดีด้วยของมีอยู่ ๑.
- เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่ ๑.
- เป็นไปเพื่อความเพียร ๑.
- เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย ๑.
ธรรมเหล่านี้พึงรู้ว่า เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นคำสั่งสอนของ พระศาสดา.
- องฺ. อฏฺก. ๒๓/๒๘๘.
- มรรคมีองค์ ๘
- ๑. สัมมาทิฏฐิ ปัญญาอันเห็นชอบ คือเห็นอริยสัจ ๔.
- ๒. สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ คือ ดำริจะออกจากกาม ๑ ดำริในอันไม่พยาบาท ๑ ดำริในอันไม่เบียดเบียน ๑.
- ๓. สัมมาวาจา เจรจาชอบ คือเว้นจากวจีทุจริต ๔.
- ๔. สัมมากัมมันตะ ทำการงานชอบ คือเว้นจากกายทุจริต ๓.
- ๕. สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ คือเว้นจากความเลี้ยงชีวิตโดยทางที่ผิด.
- ๖. สัมมาวายามะ เพียรชอบ คือเพียรในที่ ๔ สถาน.
- ๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ คือระลึกในสติปัฏฐานทั้ง ๔.
- ๘. สัมมาสมาธิ ตั้งใจไว้ชอบ คือเจริญฌานทั้ง ๔.
ในองค์มรรคทั้ง ๘ นั้น เห็นชอบ ดำริชอบ สงเคราะห์เข้าในปัญญาสิกขา. วาจาชอบ การงานชอบ เลี้ยงชีวิตชอบ สงเคราะห์เข้าในสีลสิกขา. เพียรชอบ ระลึกชอบ ตั้งใจไว้ชอบ สงเคราะห์เข้าในจิตตสิกขา.
- ม. มู. ๑๒/๒๖. อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๓๑๗.
นวกะ คือ หมวด ๙
แก้ไข- มละ คือ มลทิน ๙ อย่าง
- โกรธ ๑
- ลบหลู่บุญคุณท่าน ๑
- ริษยา ๑
- ตระหนี่ ๑
- มายา ๑
- มักอวด ๑
- พูดปด ๑
- มีความปรารถนาลามก ๑
- เห็นผิด ๑.
- อภิ. วิภงฺค. ๓๕/๕๒๖.
ทสกะ คือ หมวด ๑๐
แก้ไข- อกุศลกรรมบถ ๑๐
จัดเป็นกายกรรม คือทำด้วยกาย ๓ อย่าง
- ๑. ปาณาติบาต ทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง คือฆ่าสัตว์.
- ๒. อทินนาทาน ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการแห่งขโมย.
- ๓. กาเมสุ มิจฉาจาร ประพฤติผิดในกาม.
จัดเป็นวจีกรรม คือทำด้วยวาจา ๔ อย่าง
- ๔. มุสาวาท พูดเท็จ.
- ๕. ปิสุณาวาจา พูดส่อเสียด.
- ๖. ผรุสวาจา พูดคำหยาบ.
- ๗. สัมผัปปลาปะ พูดเพ้อเจ้อ.
จัดเป็นมโนกรรม คือทำด้วยใจ ๓ อย่าง
- ๘. อภิชฌา โลภอยากได้ของเขา.
- ๙. พยาบาท ปองร้ายเขา.
- ๑๐. มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดจากคลองธรรม.
กรรม ๑๐ อย่างนี้ เป็นทางบาป ไม่ควรดำเนิน.
- ที.มหา. ๑๐/๓๕๖. ที.ปาฏิ. ๑๑/๒๘๔. ม.มู. ๑๒/๕๒๑.
- กุศลกรรมบถ ๑๐
จัดเป็นกายกรรม ๓ อย่าง
- ๑. ปาณาติปาตา เวรมณี เว้นจากทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง.
- ๒. อทินนาทานา เวรมณี เว้นจากถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ด้วยอาการแห่งขโมย.
- ๓. กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เว้นจากประพฤติผิดในกาม.
จัดเป็นวจีกรรม ๔ อย่าง
- ๔. มุสาวาทา เวรมณี เว้นจากพูดเท็จ.
- ๕. ปิสุณาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดส่อเสียด.
- ๖. ผรุสาย วาจาย เวรมณี เว้นจากพูดคำหยาบ.
- ๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ.
จัดเป็นมโนกรรม ๓ อย่าง
- ๘. อนภิชฌา ไม่โลภอยากได้ของเขา.
- ๙. อพยาบาท ไม่พยาบาทปองร้ายเขา.
- ๑๐. สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบตามคลองธรรม.
กรรม ๑๐ อย่างนี้เป็นทางบุญ ควรดำเนิน.
- ที. มหา. ๑๐/๓๕๙. ที ปาฏิ. ๑๑/๒๘๔. ม. มู. ๑๒/๕๒๓.
- บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ อย่าง
- ๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน.
- ๒. สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล.
- ๓. ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา.
- ๔. อปจายนมัย บุญสำเร็จด้วยการประพฤติถ่อมตนแก่ผู้ใหญ่.
- ๕. เวยยาวัจจมัย บุญสำเร็จด้วยการช่วยขวนขวายในกิจที่ชอบ.
- ๖. ปัตติทานมัย บุญสำเร็จด้วยการให้ส่วนบุญ.
- ๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ.
- ๘. ธัมมัสสวนมัย บุญสำเร็จด้วยการฟังธรรม.
- ๙. ธัมมเทสนามัย บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม.
- ๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความเห็นให้ตรง.
- สุ.วิ. ๓/๒๕๖. อภิธมฺมตฺถสงฺคหปาลิ. ๒๙. ตฏฺฏีกา. ๑๗๑.
- ธรรมที่บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ๑๐ อย่าง
- ๑. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า บัดนี้เรามีเพศต่างจากคฤหัสถ์แล้ว อาการกิริยาใด ๆ ของสมณะ เราต้องทำอาการกิริยานั้น ๆ.
- ๒. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า ความเลี้ยงชีวิตของเราเนื่องด้วยผู้อื่น เราควรทำตัวให้เขาเลี้ยงง่าย.
- ๓. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า อาการกายวาจาอย่างอื่นที่เราจะต้องทำให้ดีขึ้นไปกว่านี้ ยังมีอยู่อีก ไม่ใช่เพียงเท่านี้.
- ๔. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า ตัวของเราเองติเตียนตัวเราเองโดยศีลได้หรือไม่.
- ๕. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า ผู้รู้ใคร่ครวญแล้วติเตียนเราโดยศีลได้หรือไม่.
- ๖. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งนั้น.
- ๗. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรามีกรรมเป็นของตัวเราทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว.
- ๘. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่.
- ๙. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า เรายินดีในที่สงัดหรือไม่.
- ๑๐. บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ ว่า คุณวิเศษของเรามีอยู่หรือไม่ ที่จะให้เราเป็นผู้ไม่เก้อเขินในเวลาเพื่อนบรรพชิตถามในกาลภายหลัง.
- องฺ. ทสก. ๒๔/๙๑.
- นาถกรณธรรม คือ ธรรมทำที่พึ่ง ๑๐ อย่าง
- ๑. ศีล รักษากายวาจาให้เรียบร้อย.
- ๒. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้สดับรับฟังมาก.
- ๓. กัลยาณมิตตตา ความเป็นผู้มีเพื่อนดีงาม.
- ๔. โสวจัสสตา ความเป็นผู้ว่าง่ายสอนง่าย.
- ๕. กิงกรณีเยสุ ทักขตา ความขยันช่วยเอาใจใส่ในกิจธุระของเพื่อนภิกษุสามเณร
- ๖. ธัมมกามตา ความใคร่ในธรรมที่ชอบ.
- ๗. วิริยะ เพียรเพื่อจะละความชั่ว ประพฤติความดี.
- ๘. สันโดษ ยินดีด้วยผ้านุ่ง ผ้าห่ม อาหาร ที่นอน ที่นั่ง และยา ตามมีตามได้.
- ๙. สติ จำการที่ได้ทำและคำที่พูดแล้วแม้นานได้.
- ๑๐. ปัญญา รอบรู้ในกองสังขารตามเป็นจริงอย่างไร.
- องฺ. ทสก. ๒๔/ ๒๗.
- กถาวัตถุ คือ ถ้อยคำที่ควรพูด ๑๐ อย่าง
- ๑. อัปปิจฉกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้มีความปรารถนาน้อย.
- ๒. สันตุฏฐิกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้สันโดษยินดีด้วยปัจจัยตามมีตามได้.
- ๓. ปวิเวกกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้สงัดกายสงัดใจ.
- ๔. อสังสัคคกถา ถ้อยคำที่ชักนำไม่ให้ระคนด้วยหมู่.
- ๕. วิริยารัมภกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ปรารภความเพียร.
- ๖. สีลกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ตั้งอยู่ในศีล.
- ๗. สมาธิกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้สงบ.
- ๘. ปัญญากถา ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดปัญญา.
- ๙. วิมุตติกถา ถ้อยคำที่ชักนำให้ทำใจให้พ้นจากกิเลส.
- ๑๐. วิมุตติญาณทัสสนากถา ถ้อยคำที่ชักนำให้เกิดความรู้ความเห็นในความที่ใจพ้นจากกิเลส.
- องฺ. ทสก. ๒๔/๑๓๘.
- อนุสสติ คือ อารมณ์ควรระลึก ๑๐ ประการ
- ๑. พุทธานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า.
- ๒. ธัมมานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระธรรม.
- ๓. สังฆานุสสติ ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์.
- ๔. สีลานุสสติ ระลึกถึงศีลของตน.
- ๕. จาคานุสสติ ระลึกถึงทานที่ตนบริจาคแล้ว.
- ๖. เทวตานุสสติ ระลึกถึงคุณที่ทำบุคคลให้เป็นเทวดา.
- ๗. มรณัสสติ ระลึกถึงความตายที่จะมาถึงตน.
- ๘. กายคตาสติ ระลึกทั่วไปในกาย ให้เห็นว่า ไม่งาม น่าเกลียดโสโครก.
- ๙. อานาปานสติ ตั้งสติกำหนดลมหายใจเข้าออก.
- ๑๐. อุปสมานุสสติ ระลึกถึงคุณพระนิพพาน ซึ่งเป็นที่ระงับกิเลสและกองทุกข์.
- วิ. ฉอนุสฺสติ. ปม. ๒๕๐.
ปกิณณกะ คือ หมวดเบ็ดเตล็ด
แก้ไข- อุปกิเลส คือ โทษเครื่องเศร้าหมอง ๑๖ อย่าง (๑)
- ๑. อภิชฌาวิสมโลภะ ละโมบไม่สม่ำเสมอ คือความเพ่งเล็ง.
- ๒. โทสะ. ร้ายกาจ.
- ๓. โกธะ โกรธ.
- ๔. อุปนาหะ ผูกโกรธไว้.
- ๕. มักขะ ลบหลู่คุณท่าน.
- ๖. ปลาสะ ตีเสมอ คือยกตัวเทียมท่าน.
- ๗. อิสสา ริษยา คือเห็นเขาได้ดี ทนอยู่ไม่ได้.
- ๘. มัจฉริยะ ตระหนี่.
- ๙. มายา มารยา คือเจ้าเล่ห์.
- ๑๐. สาเถยยะ โอ้อวด.
- ๑๑. ถัมภะ หัวดื้อ.
- ๑๒. สารัมภะ แข่งดี.
- ๑๓. มานะ ถือตัว.
- ๑๔. อติมานะ ดูหมิ่นท่าน.
- ๑๕. มทะ มัวเมา.
- ๑๖. ปมาทะ เลินเล่อ.
ม. มู. ๑๒/๒๖-๒๗,๖๕.
๑. ในธัมมทายาทสูตร ( ม. มู. ๑๒/๒๖-๒๗ ) ข้อ ๑ ว่า โลภะ ข้อ ๑ ว่า โทสะ ในวัตถุปมสูตร ( ม. มู. ๑๒/๖๕ ) ข้อ ๑ ว่า อภิชฌาวิสมโลภะ ข้อ ๒ ว่า พยาปาทะ. นอกนั้นเหมือนกัน.
- โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ
- สติปัฏฐาน ๔
- สัมมัปปธาน ๔ (ปธาน ๔).
- อิทธิบาท ๔
- อินทรีย์ ๕
- พละ ๕
- โพชฌงค์ ๗
- มรรคมีองค์ ๘
กลับไปหน้าหลัก | |
ก่อนหน้า | ถัดไป |