คำอธิบาย เมื่อเกิดยุ่งยากกับฝรั่งเศสใน ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) นั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสียพระราชหฤทัยจนประชวรหนก และหยุดเสวยพระโอสถ ทรงพระราชนิพนธ์โคลงฉันท์นี้ส่งไปลายังเจ้านายพี่น้องบางพระองค์ เสด็จพ่อตรัสเล่าว่า "พอได้รับก็เขียนถวายตอบไปทันที ไม่มีร่างเก็บไว้ แต่มีคนเขาบอกว่า พอทรงจบแล้ว ก็กลับเสวยพระโอสถต่อไป และกลับเสด็จออกได้ในไม่ช้า"


 เจ็บนานหนักอกผู้ บริรักษ์ ปวงเฮย
คิดใคร่ลาลาญหัก ปลดเปลื้อง
ความเหนื่อยแห่งสูจัก พลันสร่าง
ตูจักสู่ภพเบื้อง หน้านั้นพลันเขษม
 เป็นฝีสามยอดแล้ว ยังราย ส่านอ
ปวดเจ็บใครจักหมาย เชื่อได้
ใช่เป็นแต่ส่วนกาย เศียรกลัด กลุ้มแฮ
ใครต่อเป็นจึ่งผู้ นั่นนั้นเห็นจริง
 ตะปูดอกใหญ่ตรึ้ง บาทา อยู่เฮย
จึงบอาจลีลา คล่องได้
เชิญผู้ที่เมตตา แก่สัตว์ ปวงแฮ
ชักตะปูนี้ให้ ส่งขาอันขยม
 ชีวิตมนุษย์นี้ เปลี่ยนแปลง จริงนอ
ทุกข์และสุขพลิกแพลง มากครั้ง
โบราณท่านจึงแสดง เป็นเยี่ยง อย่างนา
ชั่วนับเจ็ดทีทั้ง เจ็ดข้างฝ่ายดี
 เป็นเด็กมีสุขคล้าย ดิรฉาน
รู้สุขรู้ทุกข์หาญ ขลาดด้วย
ละอย่างละอย่างพาล หย่อนเพราะ เผลอแฮ
คล้ายกับผู้จวนม้วย ชีพสิ้นสติสูญ
 ฉันไปปะเด็กห้า หกคน
โกนเกศนุ่งขาวยล เคลิเคลิ้ม
ถามเขาว่าเป็นคน เชิญเครื่อง
ไปที่หอศพเริ้ม ริกเร้าเหงาใจ
 กล้วยผาเหลืองแก่ก้ำ เกินพระ ลักษณ์นา
แรกก็ออกอร่อยจะ ใคร่กล้ำ
นานวันยิ่งเครอะคระ กลืนยาก
ทนจ่อซ่อมจิ้มจ้ำ แดกสิ้นสุดใบ
 เจ็บนานนึกหน่ายนิตย์ มะนะเรื่องบำรุงกาย
ส่วนจิตต์มิสบาย ศิระกลุ้มอุราตรึง
 แม้หายก็พลันยาก จะลำบากฤทัยพึง
ตริแต่จะถูกรึง อุระรัดและอัตรา
 กลัวเป็นทวิราช บตริป้องอยุธยา
เสียเมืองจึงนินทา บละเว้นฤว่างวาย
 คิดใดจะเกี่ยงแก้ ก็บพบซึ่งเงื่อนสาย
สบหน้ามนุษย์อาย จึงจะอุดและเลยสูญ ฯ
 ขอเดชะเบื้องบาท วรราชะปกศี
โรตม์ข้าผู้มั่นมี มานะตั้งกตัญญู
 ได้รับพระราชทาน อ่านราชนิพันธ์ดู
ทั้งโคลงและฉันท์ตู ข้าจึงตริดำริห์ตาม
 อันพระประชวรครั้ง นี้แท้ทั้งไผทสยาม
เหล่าข้าพระบาทความ วิตกพ้นจะอุปมา
 ประสาแต่อยู่ใกล้ ทั้งรู้ใช่ว่าหนักหนา
เลือดเนื้อผิเจือยา ให้หายได้จะชิงถวาย
 ทุกหน้าทุกตาดู บพบผู้จะพึงสบาย
ปรับทุกข์ทุรนราย กันมิเว้นทิวาวัน
 ดุจเหล่าพละนา วะเหล่ว้ากะปิตัน
นายท้ายฉงนงัน ทิศทางก็คลางแคลง
 นายกลประจำจักร์ จะใช้หนักก็หนึกแหนง
จะรอก็ระแวง จะไม่ทันธุระการ
 อึดอัดทุกหน้าที่ ทุกข์ทวีทุกวันวาร
เหตุห่างบดียาน อันเคยไว้น้ำใจชน
 ถ้าจะว่าบรรดากิจ ก็ไม่ผิดณนิยม
เรือแล่นทเลลม จะเปรียบต่อก็พอกัน
 ธรรมดามหาสมุทร มีคราวหยุดพายุผัน
มีคราวสลาตัน ตั้งระลอกกระฉอกฉาน
 ผิวพอกำลังเรือ ก็แล่นรอดไม่ร้าวราน
หากกรรมจะบันดาล ก็คงล่มทุกลำไป
 ชาวเรือก็ย่อมรู้ ฉนี้อยู่ทุกจิตต์ใจ
แต่ลอยอยู่ตราบใด ต้องจำแก้ด้วยแรงระดม
 แก้รอดตลอดฝั่ง จะรอดทั้งจะชื่นชม
เหลือแก้ก็จำจม ให้ปรากฏว่าถึงกรรม
 ผิวทอดธุระนิ่ง บวุ่นวิ่งเยียวยาทำ
ที่สุดก็สูญลำ เหมือนที่แก้ไม่หวาดไหว
 ผิดกันแต่ถ้าแก้ ให้เต็มแย่จึงจมไป
ใครห่อนประมาทใจ ว่าขลาดเขลาและเมาเมิน
 เสียทีก็มีชื่อ ได้เลื่องลือสรรเสริญ
สงสารว่ากรรมเกิน กำลังดอกจึงจมสูญ
 นี้ในน้ำใจข้า อุปมาบังคมทูล
ทุกวันนี้อาดูร แต่ที่พระประชวรนาน
 เปรียบตัวเหมือนอย่างม้า ที่เป็นพาหนยาน
ถูกเครื่องบังเหียนอาน ประจำหน้าพลับพลาชัย
 คอยพระประทับอาสน์ กระหยับบาทจะพาไกล
ตามแต่พระทัยไท ธจะชักไปซ้ายขวา
 ไกลใกล้บได้เลือก จะกระเดือกเต็มประดา
ตราบเท่าจะถึงวา ระชีวิตมลายปราณ
 ขอตายให้ตาหลับ ด้วยชื่อนับว่าชายชาญ
เกิดมาประสบภาร ธุระได้บำเพ็ญทำ
 ด้วยเดชะบุญญา ภิริหาระแห่งคำ
สัตย์ข้าจงได้สำ ฤทธิดังมโนหมาย
 ขอจงวราพาธ บรมนาถเร่งเคลื่อนคลาย
พระจิตต์พระวรกาย จงผ่องพ้นที่หม่นหมอง
 ขอจงสำเร็จรา ชะประสงค์ที่ทรงปอง
ปกข้าฝ่าลออง พระบาทให้สามัคคี
 ขอเหตุที่ขุ่นขัด จะวิบัติพระขันตี
จงคลายเหมือนหลายปี ละลืมเลิกละลายสูญ
 ขอจงพระชนมา ยุสถาวรพูน
เพิ่มเกียรติอนุกูล สยามรัฐพิพัฒน์ผล.