พระราชบัญญัติลักษณพยาน รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๓/๒๔๔๒.๐๒.๑๙

แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

สารบัญ

แก้ไข
อารัมภบท
หมวดที่ ๑ ว่าด้วยชื่อพระราชบัญญัติ แลอธิบายคำ แลยกเลิกกฎหมายเดิม
ให้ใช้พระราชบัญญัติตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ร.ศ. ๑๑๔
อธิบายคำว่า “ศาล”
เลิกกฎหมายเดิม
หมวดที่ ๒ ว่าด้วยคนจำพวกใดควรอ้างเปนพยานได้
คนชนิดใดเปนพยานได้แลไม่ได้
อ้างคนใบ้เปนพยาน
โจทย์จำเลยอ้างกันเปนพยานได้ ฤๅอ้างบิดามารดาสามีภรรยาบุตรญาติ แลคนอื่น ๆ เปนพยานได้
ผู้พิพากษาฤๅตระลาการไม่จำเปนต้องให้การเปนพยานในบางเรื่อง
ห้ามมิให้พยานให้การเกี่ยวข้องด้วยข้อราชการแผ่นดินซึ่งยังไม่ได้เปิดเผย
โจทย์จำเลยจะอ้างพยานฝ่ายละมากน้อยเท่าใดได้ ไม่มีกำหนดห้าม
หมวดที่ ๓ ว่าด้วยวิธีสืบพยาน ๓ ประการ
๑๐ วิธีสืบพยาน ๓ ประการ
๑๐ เดินผเชิญสืบ
๑๐ เรียกพยานสืบในศาล
๑๐ ส่งประเดนไปสืบ
๑๐ ศาลมีอำนาจเต็มในการเลือกสืบประการใดประการหนึ่ง
๑๑ พยานขัดขืนไม่ยอมสาบาลฤๅไม่ยอมเบิกความ ให้ปรับตามมาตรา ๕๑
๑๒ พยานหลบตัวเสียไม่ให้ สืบถึง ๓ ครั้ง จะออกหมายจับ ฤๅจะนำความขึ้นเสนอเสนาบดีก็ได้
๑๓ พยานคนใดรู้หมายเรียกให้มาเบิกความในศาล แล้วขัดขืนเสียไม่มาตามกำหนด ก็ให้ลงโทษโดยโทษานุโทษ
๑๔ อ้างพระสงฆ์สามเณร ให้ไปเดินผเชิญสืบ ถ้าไม่ยอมให้การ ก็ไม่ต้องสืบต่อไป
๑๕ อ้างนักบวชถือสาสนาต่าง ๆ ให้สืบเหมือนฆราวาศ
๑๖ ว่าด้วยนักการถือหมายไปให้พยาน ถ้าพยานไม่รับ ให้ทิ้งหมายให้ต่อหน้าอำเภอ ฤๅสารวัดแขวง นายพลตระเวร
๑๗ พยานไม่มาศาลตามนัด ให้ปรับตามมาตรา ๔๘
๑๘ ถ้าพยานมีเหตุขัดข้องจะมาศาลตามนัดไม่ได้ ก็ต้องมาแจ้งความแก่ศาลเสียก่อน
๑๘ ศาลให้ไปชันสูตรอาการพยานได้ ถ้าไม่เจ็บป่วยให้ออกหมายนัดซ้ำอิก
๑๙ ผู้อ้างต้องเสียค่าหมายค่าธรรมเนียมพยานตามอัตรา
๒๐ ถ้าผู้อ้างพยานสาบาลตัวได้ว่าตนไม่มีทรัพย์ราคาเกินกว่า ๖๐ บาท ขึ้นไป ไม่ต้องเรียกค่าธรรมเนียมพยาน
๒๑ อ้างคนต่างประเทศมาเปนพยาน
หมวดที่ ๔ ว่าด้วยลักษณอ้างสรรพหนังสือต่าง ๆ เปนพยาน
๒๒ หนังสือชนิดใดควรอ้างเปนตัวพยานได้
๒๒ ถ้าผู้มิได้อ้างไม่รับว่าหนังสือนั้นถูกต้อง ก็ให้ผู้อ้างสืบพยานอื่นมาประกอบได้
๒๓ ศาลหมายเรียกบุคคลฤๅเจ้าพนักงานให้นำเอาหนังสือซึ่งต้องอ้างนั้นมา ให้สืบในศาล
๒๔ โจทย์จำเลยอ้างหนังสือซึ่งคู่ความข้างหนึ่งรักษาไว้ ผู้ใดขัดบังคับศาลไม่ส่งหนังสือมาให้สืบ ศาลตัดสินกดคดีเปนแพ้ฤๅอย่างอื่นที่สมควรได้
๒๕ ถ้าจะนำต้นฉบับหนังสือมาสืบไม่ได้ ก็ให้สืบสำเนา ฤๅสืบผู้รู้ข้อความในหนังสือประกอบกัน
หมวดที่ ๕ ว่าด้วยลักษณกะประเดนข้อสืบสักขีพยานมาประกอบเอาความจริงลงในคำชี้แจงสองสถาน
๒๖ ข้อหาข้อใดจำเลยรับถูกต้องแล้ว ไม่ต้องสืบพยานต่อไป ฟังได้
๒๖ ถ้าโจทย์มีคำร้องให้ศาลตัดสินในข้อหาซึ่งรับกันแล้ว ให้จำเลยมีคำโต้แย้งได้
๒๖ ศาลจะตัดสินฤๅไม่ตัดสินก่อนก็ได้ สุดแต่ศาลเห็นสมควร
๒๗ ข้อใดในคำฟ้องแลคำให้การเปนความทุ่มเถียงกันด้วยบทกฎหมาย ก็ให้คัดลงในคำชี้สองสถาน ให้เรียกว่า ข้อประเดนควรหาฤๅบท
๒๗ ศาลจะตัดสินทีเดียวฤๅงดไว้ก่อนก็ได้ สุดแล้วแต่จะเห็นสมควร
๒๘ ข้อใดในฟ้องแลคำให้การซึ่งมิรับกันนั้น ให้คัดลงในคำชี้สองสถาน ให้เรียกว่า ข้อประเดนควรสืบพยานเอาความจริง
๒๘ ถ้าข้อประเดนซึ่งกะลงในคำชี้สองสถานนั้นยังบกพร่องอยู่ ให้โจทย์แลจำเลยชี้แจง แลร้องจะให้ศาลแก้เสียได้
๒๙ กำหนดนัดสืบพยาน เมื่อนัดแล้ว ฝ่ายใดจะขอเลื่อน ต้องเสียค่าธรรมเนียมแทนฝ่ายผู้ไม่ได้ขอเลื่อนวัน
๓๐ ถึงวันนัดสืบแล้วฝ่ายใดป่วยไข้จริงต้องให้คนมาแจ้งความต่อศาล ผู้มาแจ้งความต้องสาบาลตัวด้วย
๓๐ ถ้าผู้บอกป่วยมิใช่ตัวความเปนแต่ทนายฤๅผู้ว่าต่าง ศาลมีอำนาจบังคับให้ตัวความมาว่าความเอง ฤๅเปลี่ยนทนายฤๅผู้ว่าต่างใหม่
๓๑ โจทย์จำเลยต้องระบุชื่อพยานต่อศาล ศาลจะได้ออกหมายเรียก
๓๒ ถึงวันนัดสืบ ฝ่ายโจทย์ฤๅจำเลยขาดนัด ให้ศาลบังคับตัดสินได้ตามสมควร
๓๓ พยานต้องสาบาลตามสาสนาซึ่งตนนับถือ
๓๓ ฤๅจะทำคำปฏิญาณแทนสาบาลก็ได้
๓๔ คำพยานใช้ภาษาไทย ศาลต้องเปนธุระหาล่ามมาแปล
๓๕ ผู้อ้างต้องเสียค่าธรรมเนียมให้เจ้าพนักงานล่ามผู้แปลคำพยานของตน
๓๖ ข้อความที่จะถามพยาน ๗ ประการ ก่อนถามประเด็นข้ออ้าง
๓๗ ศาลซักถาม พยานให้เบิกความตามประเด็นข้ออ้างจนสิ้นกระแสความ
๓๗ แล้วผู้อ้างจะขอให้ถามอิกศาลจะถามให้ฤๅไม่ ก็สุดแล้วแต่เห็นสมควร
๓๗ ถ้าศาลไม่ถาม ต้องจดหมายบันทึกไว้จงทุกคราว
๓๘ ให้ผู้ซึ่งมิได้อ้างพยานกะข้อค้านถามพยานโดยสถานใด
๓๘ พยานต้องให้การตอบข้อค้านตามคำบังคับของศาล
๓๘ ข้อค้านนอกประเด็น พยานไม่ต้องตอบ เว้นแต่ศาลบังคับ จึ่งตอบ
๓๙ ห้ามมิให้เอาข้อค้านอันเปนคำหยาบช้าถามพยาน
๓๙ เว้นแต่เปนข้อถามในประเด็นข้อสืบโดยแท้
๔๐ ให้ผู้อ้างพยานกะข้อติงถามพยานโดยสถานใด
๔๑ เมื่อพยานให้การแล้ว ศาลมีอำนาจจะถามอิกได้ในเวลาใดเวลาหนึ่ง
๔๒ โจทย์ฤๅจำเลยจะพิสูทธ์ต่อพยานซึ่งตนมิได้อ้าง ๓ ประการ
๔๓ โจทย์จำเลยจะถามข้อค้านข้อติงเองก็ได้ ไม่ต้องให้ศาลถาม
๔๔ กำหนดให้ฟ้องพยานแต่ในสามเดือน แลไม่ให้ฟ้องเปนความแพ่ง
หมวดที่ ๖ ว่าด้วยสืบพยานนอกกรุงเทพฯ แลศาลหัวเมืองสืบพยานในกรุงเทพฯ
๔๕ สืบพยานในหัวเมือง
๔๖ ศาลหัวเมืองสืบพยานในหัวเมืองแลในกรุงเทพฯ
หมวดที่ ๗ ว่าด้วยโทษลเมิดอำนาจเจ้าพนักงาน
๔๗ โทษลเมิดอำนาจเจ้าพนักงาน ๔ ประการ
๔๘ โทษไม่ทำการตามน่าที่อันมีในกฎหมาย
๔๙ โทษไม่นำ ไม่พา ไม่ให้ข้อความตามที่บังคับไว้ในกฎหมาย
๕๐ โทษไม่ช่วยข้าราชการตามน่าที่บังคับไว้ในกฎหมาย
๕๑ โทษขัดขืนไม่ทำตามกฎหมายท่านบังคับไว้
๕๒ โทษบอกแจ้งความด้วยคำเท็จต่อเจ้าพนักงาน
๕๓ โทษแจ้งความเท็จต่อข้าราชการ ด้วยประสงค์จะชักให้ข้าราชการใช้อำนาจผิดกฎหมาย
๕๔ โทษบอกแจ้งความเท็จในเวลาที่สาบาลตัวแล้ว
๕๕ โทษขัดขวางไม่ทำตามคำสั่งคำบังคับข้าราชการ
๕๖ โทษขัดขวางต่อสู้ข้าราชการผู้มีอำนาจตามกฎหมาย
๕๗ โทษขัดคำสั่งคำบังคับคำตัดสินของข้าราชการ
๕๘ โทษขู่เข็ญข้าราชการ
๕๙ โทษขู่เข็ญผู้อื่นไม่ให้ฟ้องร้อง
หมวดที่ ๘ ว่าด้วยโทษที่เกี่ยวข้องกับการสืบพยาน
๖๐ อำพรางคำพยาน
๖๑ กระทำพยานเท็จ
๖๒ โทษอำพรางคำพยานแลกระทำพยานเท็จ
๖๓ โทษอำพรางคำพยานแลกระทำพยานเท็จ เพื่อให้ผู้ไม่มีผิดต้องราชทัณฑ์
๖๔ การปรับโทษผู้กระทำผิดล่วงลเมิดพระราชบัญญัตินี้ แลเหตุที่ควรลดหย่อนผ่อนโทษให้น้อยลง
หมวดที่ ๙ ว่าด้วยกฎหมายเดิมซึ่งยังคงให้ใช้ต่อไป ยกเอามารวมไว้ในพระราชบัญญัตินี้ด้วย
ในลักษณรับฟ้อง , , , , , , ,
ในลักษณพยาน , , , , , , , , ,
ในลักษณพยาน ๑๑, ๑๒, ๑๓, ๑๔, ๑๖, ๑๗, ๑๘, ๑๙,
ในลักษณพยาน ๒๒, ๒๓, ๒๔, ๒๕, ๒๖, ๒๗, ๓๐,
ในลักษณพยาน ๓๒, ๓๔, ๓๕, ๓๖, ๓๗, ๓๘, ๓๙,
ในลักษณพยาน ๔๐, ๔๑, ๔๒, ๔๔, ๔๕, ๔๖, ๔๗, ๔๘, ๔๙,
ในลักษณพยาน ๕๒, ๕๔, ๕๕, ๕๘, ๕๙,
ในลักษณพยาน ๖๑, ๖๓, ๖๔, ๖๕, ๖๖, ๖๗
ในลักษณตระลาการ
ตาตะรางท้ายพระราชบัญญัติ
ว่าด้วยกฎหมายแลพระราชบัญญัติซึ่งให้ยกเลิกเสีย
ว่าด้วยกฎหมายแลพระราชบัญญัติซึ่งคงใช้ต่อไป
ว่าด้วยอัตราพิกัดค่าธรรมเนียมพยานจำพวกที่หมายเรียกมาสืบที่ศาลตามมาตรา ๑๙






 
Seal of the Royal Command of Thailand


มีพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าแผ่นดินสยาม ผู้ทรงพระคุณธรรมอันมหาประเสริฐ ดำรัสเหนือเกล้าฯ ให้ประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ด้วยทรงพระราชปรารภว่า ทุกวันนี้บ้านเมืองมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นด้วยโภคสมบัติศิริสมบัติพัฒนาการกว่าแต่ก่อน ๆ มาก ราษฎรไพร่บ้านพลเมืองมีทรัพย์สมบัติ แลเจริญด้วยวิชาความรู้ ประกอบการทำกินแลซื้อขายแก่กันแลแก่คนนานาประเทศด้วยทุนสินอันมากหลาย แลกระทำการโดยลักษณแลประเภทอันพิเศษพิสดารต่าง ๆ ก็ย่อมเปนเหตุให้เกิดวิวาทต่อสู้ เปนคดีแก่กันโดยฦกซึ้งแลซับซ้อนมากขึ้นโดยธรรมดา ฝ่ายวิธีการพิจารณาพิพากษาซึ่งโรงศาลทั้งหลายอาไศรยใช้อยู่ทุกวันนี้เปนวิธีธรรมเนียมแต่เดิมมา หาพอแก่เหตุการที่เกิดมีขึ้นใหม่ ๆ บัดนี้ไม่ ทั้งเวลาอาการแลอำนาจที่จะได้บังคับบัญชาแก้ไข การทั้งปวงจึงติดขัดคั่งค้างไปต่าง ๆ แลบัดนี้ ได้ทรงพระราชดำริห์เห็นว่า กฎหมายลักษณพยานเปนที่ต้องการแก้ไขก่อน จึ่งทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเปนพระราชกำหนดกฎหมายไว้ดังนี้สืบไปเมื่อน่า

(สารบัญ)


หมวดที่ ๑


ว่าด้วยชื่อพระราชบัญญัติ แลอธิบายคำ แลยกเลิกกฎหมายเดิม


__________________

(สารบัญ)


มาตรา ๑
ให้ใช้พระราชบัญญัติตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ร.ศ. ๑๑๔


พระราชบัญญัตินี้ให้เรียกนามว่า พระราชบัญญัติลักษณพยาน ปีรัตนโกสินทร์ศก ๑๑๓ แลให้ใช้เปนกฎหมายได้ตั้งแต่วันที่ ๑ เดือนเมษายน รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๔ เปนต้นไป[1]

(สารบัญ)


มาตรา ๒
อธิบายคำว่า “ศาล”


คำที่ว่า “ศาล” ซึ่งใช้ในพระราชบัญญัตินี้ อธิบายให้เข้าใจแลถือว่า ผู้พิพากษา ตระลาการ ฤๅเจ้าพนักงานคนใดคนหนึ่งซึ่งมีอำนาจพิพากษาฤๅพิจารณคดีในศาลใดศาลหนึ่ง

(สารบัญ)


มาตรา ๓
เลิกกฎหมายเดิม


บรรดามาตราต่าง ๆ ในลักษณรับฟ้อง ส่วนที่ว่าด้วยตัดพยาน แลในลักษณพยาน ในกฎหมายเล่ม ๑ แลกฎหมายรับสั่ง ในกฎหมายเล่ม ๒ แลพระราชบัญญัติลักษณพยาน ดังที่ได้กล่าวไว้ในตาตรางหมายเลข ๑ ในท้ายพระราชบัญญัตินี้นั้น ตั้งแต่นี้สืบไป ให้ยกเลิกเสีย มิให้ใช้เปนกฎหมายต่อไป

(สารบัญ)


หมวดที่ ๒


ว่าด้วยคนจำพวกใดควรอ้างเปนพยานได้


__________________

(สารบัญ)


มาตรา ๔
คนชนิดใดเปนพยานได้แลไม่ได้


บรรดาชนใด ๆ ชายก็ดีหญิงก็ดี ซึ่งมีสติดีรู้จักผิดแลชอบเข้าใจความ จะให้การเปนพยานฝ่ายโจทย์ฤๅฝ่ายจำเลยคู่ความโดยอ้างก็ได้ เว้นไว้แต่ชนที่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัตินี้ ฤๅชนซึ่งศาลพิเคราะห์เห็นว่า เปนผู้ไม่สามารถจะเข้าใจข้อถาม ฤๅไม่สามารถจะให้การตอบข้อถามได้ เพราะเหตุว่าเปนคนมีอายุยังเยาว์อ่อนนัก ฤๅเปนคนมีอายุสูงแก่ชรามาก ฤๅเปนคนมีโรคภายในกายฦาภายนอกกายเจ็บปวดถึงสาหัศจนสิ้นสติไม่อาจจำเหตุการณ์สิ่งใดได้ เท่านั้น

(สารบัญ)


มาตรา ๕
อ้างคนใบ้เปนพยาน


ชายก็ดีหญิงก็ดี ซึ่งเปนใบ้พูดภาษามนุษย์ไม่ได้ ก็ให้อ้างเปนพยานได้ เมื่อศาลชี้แจงอธิบายมูลคดีวิวาทในระหว่างโจทย์จำเลยให้คนใบ้เข้าใจดีแล้ว ก็ให้คนใบ้เขียนตัวอักษรฤๅรูปภาพ ฤๅแสดงกิริยาท่าทาง แทนคำให้การ ให้เปนที่เข้าใจได้ แต่การที่จะเขียนตัวอักษรฤๅรูปภาพ ฤๅแสดงกิริยาท่าทางนี้ ต้องให้คนใบ้ซึ่งเปนพยานมาทำในศาลต่อหน้าคนทั้งปวง คำพยานของคนใบ้เช่นนี้ ก็ให้ถือว่าดุจให้การด้วยปากเหมือนกัน แลการที่จะบังคับถามคนใบ้เปนพยานนี้ ให้ศาลชี้แจงข้อสาบาลแลพิฆาฏโทษกำชับให้คนใบ้เข้าใจรู้ความว่าตนจะต้องกล่าวแต่ที่อันจริง เมื่อคนใบ้รับแล้ว ก็ให้ถือว่าเปนอันได้กระทำสัตย์อธิฐานตามบทกฎหมาย แลในการที่จะอ้างคนใบ้เปนพยานนี้ ถ้ามีพยานอื่นแล้ว อย่าให้ต้องสืบคนใบ้เปนพยานอิกเลย

(สารบัญ)


มาตรา ๖[2]
โจทย์จำเลยอ้างกันเปนพยานได้ ฤๅอ้างบิดามารดาสามีภรรยาบุตรญาติ แลคนอื่น ๆ เปนพยานได้


ในสรรพความแพ่งทั้งปวง โจทย์จะอ้างจำเลยเปนพยาน ฤๅจำเลยจะอ้างโจทย์เปนพยานก็ดี ฤๅตัวความจะอ้างตัวของตัวเองเปนพยานฝ่ายตัวก็ดี ฤๅโจทย์จำเลยจะอ้างบิดามารดา ญาติ บุตร สามีภรรยา ข้าทาษของตนเองก็ดี ฤๅคนใดคนหนึ่งนอกจากที่กล่าวมานี้ก็ดี ก็ให้อ้างเปนพยานได้ ไม่ห้ามปราม ยกเสียแต่คนซึ่งไม่สามารถจะให้การเปนพยานได้ตามพระราชบัญญัตินี้ แลในความอาญาก็ดุจกัน ห้ามแต่ไม่ให้โจทย์อ้างจำเลยเปนพยานเท่านั้น

(สารบัญ)


มาตรา ๗
ผู้พิพากษาฤๅตระลาการไม่จำเปนต้องให้การเปนพยานในบางเรื่อง


ถ้าโจทย์ฤๅจำเลยอ้างผู้พิพากษาฤๅตระลาการศาลใดเปนพยานในคดีแพ่งอาญาทั้งปวง ผู้พิพากษาฤๅตระลาการซึ่งถูกอ้างนั้นไม่จำเปนจะต้องให้การตอบข้อถามข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่งถามถึงอาการกิริยาแลความประพฤติตัวของผู้พิพากษาฤๅตระลาการผู้นั้นเองในศาลในระหว่างเวลาซึ่งตนนั่งกระทำการตามน่าที่ผู้พิพากษาฤๅตระลาการอยู่ แลไม่จำเปนจะต้องให้การตอบข้อถามข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่งถามถึงเหตุการณ์สิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งตนได้รู้ในส่วนน่าที่ของตนซึ่งเปนผู้พิพากษาฤๅตระลาการ เว้นไว้แต่เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ฤๅศาลใหญ่ศาลใดศาลหนึ่ง ฤๅผู้พิพากษาฤๅอธิบดีคนใดคนหนึ่งซึ่งมีอำนาจบังคับบัญชาตัวได้ในทางราชการ จะมีคำสั่งให้ตนยอมให้การ จึ่งต้องให้การตอบข้อถามนั้น ๆ

(สารบัญ)


มาตรา ๘
ห้ามมิให้พยานให้การเกี่ยวข้องด้วยข้อราชการแผ่นดินซึ่งยังไม่ได้เปิดเผย


ถ้าโจทย์จำเลยอ้างคนใดคนหนึ่งเปนพยาน ห้ามมิให้คนนั้นให้การกล่าวด้วยข้อความซึ่งตนได้รู้จากหนังสือราชการซึ่งยังมิได้เปิดเผยให้ชนทั้งปวงรู้ อันเปนเนื้อความเกี่ยวข้องด้วยราชการแผ่นดินเปนอันขาด เว้นไว้แต่ตนได้อนุญาตจากเจ้าพนักงานผู้เปนอธิบดีในกรมฤๅกระทรวงนั้น ๆ ก่อน จึ่งให้การได้

(สารบัญ)


มาตรา ๙
โจทย์จำเลยจะอ้างพยานฝ่ายละมากน้อยเท่าใดได้ ไม่มีกำหนดห้าม


โจทย์จำเลยจะอ้างพยานสืบตามประเด็นข้อหาซึ่งมิได้รับกันในสำนวน จะต้องสืบมากหลายคนก็ได้ ไม่มีกำหนด แต่เมื่อศาลพิเคราะห์เห็นว่า ข้อใดได้สืบพยานสมควรพออยู่แล้ว ควรฟังเอาข้อนั้นเปนเท็จฤๅเปนจริงได้ ศาลก็มีอำนาจไม่ให้สืบพยานในข้อนั้นต่อไปได้

(สารบัญ)


แม่แบบ:ลักษณพยาน/หมวด ๓ แม่แบบ:ลักษณพยาน/หมวด ๔ แม่แบบ:ลักษณพยาน/หมวด ๕ แม่แบบ:ลักษณพยาน/หมวด ๖ แม่แบบ:ลักษณพยาน/หมวด ๗ แม่แบบ:ลักษณพยาน/หมวด ๘ แม่แบบ:ลักษณพยาน/หมวด ๙





แม่แบบ:ลักษณพยาน/ตาราง ๑ แม่แบบ:ลักษณพยาน/ตาราง ๒ แม่แบบ:ลักษณพยาน/ตาราง ๓


เชิงอรรถ

แก้ไข
  1. ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๑/ตอน ๔๗/หน้า ๔๐๐/๑๗ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๑๓ (พ.ศ. ๒๔๓๗, ค.ศ. ๑๘๙๔)
  2. มาตรา ๖ แก้ไขเพิ่มเติมโดย ประกาศแก้พระราชบัญญัติลักษณพยาน รัตนโกสินทรศก ๑๑๓ ลงวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๑๘ (พ.ศ. ๒๔๔๒)




ขึ้น

 

งานนี้ไม่มีลิขสิทธิ์ เพราะเป็นงานตาม แม่แบบผิดพลาด: โปรดระบุประเภทของงานนี้ (ดูวิธีใช้) แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ของประเทศไทย ซึ่งบัญญัติว่า

"มาตรา 7 สิ่งต่อไปนี้ไม่ถือว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้
(1)ข่าวประจำวัน และข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสาร อันมิใช่งานในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ
(2)รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย
(3)ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง คำชี้แจง และหนังสือโต้ตอบของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น
(4)คำพิพากษา คำสั่ง คำวินิจฉัย และรายงานของทางราชการ
(5)คำแปลและการรวบรวมสิ่งต่าง ๆ ตาม (1) ถึง (4) ที่กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น จัดทำขึ้น"