พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัดถเลขา/ภาค 2/บท 7
๏จึงพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์แลพระราชวงศานุวงษ์ทั้งหลายก็กระทำชำระพระศริรกิจโสรดสรงด้วยน้ำสุคนธมาลาอันหอมขจรตระหลบอบองค์ แล้วทรงเครื่องราชาภรณ์พร้อมเสร็จ ก็อัญเชิญพระบรมศพใส่ในพระโกษฐกาญจนอลงกฎรจนาด้วยมหาเนาวรัตนเรืองอร่าม ประดิษฐานไว้ในพระที่นั่งสุริยามรินทร แล้วสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จออกณท้องพระโรง พร้อมด้วยพระราชวงศานุวงษ์เสนาพฤฒามาตย์ข้าพระบาทมุลิกากรทั้งหลายกราบถวายบังคมแลรับพระราชโองการแด่[1] พระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว แล้วจึงมีพระราชดำรัศให้ข้าทูลลอองธุลีพระบาททั้งหลาย มีพระราชวงศานุวงษ์แลเสนาบดีเปนประธาน ถือน้ำพระพิพัฒสัตยาถวายสาบาลตามโบราณราชประเพณีเสร็จสิ้นทุกประการ แลมีพระราชโองการตรัศสั่งพระมหาราชครูพระครูบุริโสดมพรหมพฤฒาจารย์ให้จัดแจงการพระราชพิธีราชาภิเศกเฉลิมพระราชมณเฑียร.
๏ครั้นถึงศุภวารดิถีศิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลมหานักขัตฤกษ์ จึงท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีมุขอำ[2] มาตย์ข้าบาทมุลิกากรบวรราชวงศานุวงษ์แลสมณพราหมณาจารย์ทั้งหลายประชุมพร้อมกันณพระที่นั่งสรรเพชญ์ปราสาท กระทำการพระราชพิธีราชาภิเศกอัญเชิญเสด็จพระบาทสมเด็จ[3] บรมนารถบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นผ่านพิภพเสวยมไหสวรรยาธิปัติถวัลยราชประเพณีสืบศรีสุริวงษ์ดำรงราชมณฑลสกลสีมาอาณาจักรณกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยา แล้วถวายเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์แลเครื่องราชูประโภคสำหรับพระมหากระษัตราธิราชเจ้าทุกประการ จึงสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินก็เสด็จพระราชดำเนินเข้าพระราชวัง แลเสด็จไปอยู่ณพระที่นั่งบรรยงก์รัตนาศน์ข้างท้ายสระ แลขณะเมื่อพระองค์เสด็จเสวยราชสมบัตินั้น พระชนม์ได้ ๒๘ พระพรรษา จึงทรงพระกรุณาโปรดให้สมเด็จพระอนุชาธิราชประดิษฐานณที่กรมพระราชวังบวรสถานมงคล แลบรรดาข้าหลวงเดิมทั้งหลายที่มีความชอบนั้นก็พระราชทานยศศักดิ์ให้โดยสมควรแก่ถานานุรูปถ้วนทุกคน ครั้งนั้น สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทรงประพฤดิในอโนตตัปธรรม แลเสด็จประพาศทรงเบ็ดเหมือนสมเด็จพระราชบิดา แล้วพระองค์พอพระไทยเสวยปลาตะเพียน ครั้งนั้น ตั้งพระราชกำหนดห้ามมิให้คนทั้งปวงรับพระราชทานปลาตะเพียนเปนอันขาด ถ้าผู้ใดเอาปลาตะเพียนมาบริโภค ก็ให้มีสินไหมแก่ผู้นั้นเปนเงินตราห้าตำลึง ขณะนั้น พระองค์เจ้าดำกอปรด้วยทิฐิมานะ กระทำการหยาบช้ากระด้างกระเดื่องลลุมลล้าว[4] เข้าไปในพระราชฐานตำแหน่งที่ห้ามเปนหลายครั้ง มิได้เกรงกลัวพระราชอาชญา จึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มีพระราชดำรัศปฤกษาด้วยสมเด็จพระอนุชาธิราชกรมพระราชวังบวร ตรัศเห็นว่า โทษพระองค์เจ้าดำนั้นผิดเปนมหันตโทษ จึงให้จับพระองค์เจ้าดำพันธนาไว้ แล้วให้เอาไปสำเร็จโทษเสียด้วยท่อนจันทน์ เอาพระศพไปฝังเสียณวัดโคกพระยา แลพระองค์เจ้าแก้วซึ่งเปนบาท[5] บริจาพระองค์เจ้าดำนั้นเปนหม้ายอยู่ จึงเสด็จไปทรงผนวชเปนพระรูปชีอยู่ณพระตำหนักวัดดุสิตกับด้วยสมเด็จพระไอยิกา[6] กรมพระเทพามาตยนั้น.
๏ลุศักราช ๑๐๖๙ ปีกุญ นพศก สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินมีพระราชดำรัศสั่งให้ช่างพนักงานจับการทำพระเมรุมาศขนาดใหญ่ ขื่อ ๗ วา ๒ ศอก สูง ๒ เส้น ๑๑ วา ศอกคืบ แลการเมรุทั้งปวงนั้น ๑๑ เดือนจึงสำเร็จ ครั้นถึงผัคคุณมาศ ศุกรปักษดิถี ณวันอันได้มหาพิไชยฤกษ์ จึงพระบาทสมเด็จบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ก็ให้อัญเชิญพระบรมโกษฐขึ้นประดิษฐานเหนือพระมหาพิไชยราชรถ แล้วแห่เปนขบวนไปโดยรัถยาราชวัตรเข้าสู่พระเมรุมาศตามอย่างแต่ก่อน แล้วให้ทิ้งทานต้นกัลปพฤกษ์ แลมีงานมหรศพแลดอกไม้เพลิงต่าง ๆ แลทรงสดับปกรณ์พระสงฆ์ ๑๐๐๐๐ คำรบ ๗ วัน แล้วถวายพระเพลิง ครั้นดับพระเพลิงแล้วแจงพระรูป ทรงสดับปกรณ์พระสงฆ์ ๔๐๐ รูป แล้วเก็บพระอัฐิใส่พระโกษฐน้อย อัญเชิญขึ้นพระราชยาน แห่เปนขบวนเข้ามายังพระราชวัง จึงให้อัญเชิญพระบรมโกษฐพระอัฐิเข้าบรรจุไว้ณท้ายจรนำพระมหาวิหารวัดพระศรีสรรเพชดาราม.
๏ลุศักราช ๑๐๗๐ ปีชวด สำฤทธิศก สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินมีพระราชโองการสั่ง[7] ให้ช่างกระจกประดับกระจกแผ่นใหญ่ในผนังพระ[8] มรฎปพระพุทธบาท แล้วปิดทองปะทาสีในที่มีลาย[9] แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปพระพุทธบาทด้วย ข้าราชการในกระบวนโดยเสด็จพระราชดำเนิน[10] เปนอันมาก ทั้งทางบกทางเรือเหมือนในหนหลัง ให้มีการ[11] ฉลองพระมรฎป ทรงสักการบูชาบำเพ็ญพระราชกุศลเปนอันมาก แล้วสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงถวายนมัสการลาพระพุทธบาทกลับคืนยังพระมหา[12] นคร[13]
๏ลุศักราช ๑๐๗๓ ปีเถาะ ตรีนิศก สมเด็จพระไอยิกา[14] กรมพระเทพามาตยซึ่งอยู่วังใกล้วัดดุสิตนั้นสวรรคต สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินให้แต่งการบูชาพระศพถวายพระเพลิง[15] ตามพระราชประเวณีแต่ก่อนในปีมโรง จัตวาศก เปนลำดับมา[16] นั้น แลเมื่อ[17] ปีขาล โทศก ก่อนปีเถาะ ตรีนิศก[18] นักเสด็จเจ้ากัมพูชาธิบดีชื่อ พระธรรมราชาวังกะดาน วิวาทกันกับนักแก้วฟ้าจอก จักทำสงครามแก่กัน นักแก้วฟ้าจอกไปเมืองญวน ลอบขอพลญวนได้มาก แล้วกลับมาตีเอาเมืองกัมพูชา[19] ได้ นักเสด็จกับพระองค์ทองพาบุตรภรรยา[20] ข้าคนเปนอันมาก[21] หนีมายังกรุงเทพมหานคร ขอให้ท่านเสนาบดี[22] กราบทูลพระกรุณาให้ทราบใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาท[23] ทุกประการ ขอพระบารมีเปนที่พึ่ง จึงพระบาท[24] สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทราบความแล้ว ให้นักเสด็จนั้นเข้ามาเฝ้า จึงพระราชทานเครื่องอุปโภคบริโภคแลบ้านเรือนให้อยู่ณตำบล[25] ใกล้วัดค้างคาว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว[26] กรุงเทพมหานครทรงพระราชดำริห์[27] โปรดให้นักเสด็จไปตีเอาเมืองกัมพูชา[28] คืน จึงมีพระราชโองการดำรัศสั่ง[29] ให้มหาดไทยกลาโหมเกณฑ์ทัพสองหมื่นเศษ พร้อมด้วยช้าง ๓๐๐ เศษ ม้า ๔๐๐ เศษ พร้อมทั้ง[30] เครื่องสาตรา[31] วุธต่าง ๆ ให้พระพิไชยรณฤทธิ์เปนนายพลทหารทัพน่า ให้พระวิชิตณรงค์เปนยุกรบัตรทัพ ให้พระพิไชยสงครามเปนนายกองเกียกกาย ให้พระรามกำแหงเปนนายกองทัพหลัง แล้วจึงให้พระยาโกษาธิบดีจีนเปนแม่ทัพเรือ ถือพลทหารหมื่นหนึ่ง เรือรบ ๑๐๐ เศษ พร้อมด้วยพลแจวแลเครื่องสรรพาวุธต่าง ๆ ครั้นจัดแจงทัพบกทัพเรือเสร็จแล้ว จึงส่งไปให้ตีเมืองกัมพูชา[32] คืนให้จงได้ แม่ทัพนายกองทั้งปวงทั้งทัพบกทัพเรือกราบถวายบังคมลาแล้ว ครั้นได้เพลาศุภวารดิถีพิไชยมงคลฤกษ์ดี ก็ยก[33] ยาตรายกทั้งทัพบกทัพเรือออกไปโดยลำดับทาง[34] ฝ่ายพลทหารทัพบกไปทางเสียมราบ ฝ่ายกองทัพเรือไปทางพุทไธมาศตามลำดับทางทเล ฝ่ายพลทหารญวนยกกองทัพเรือมาพบกองทัพทหารไทยที่ปากน้ำพุทไธมาศ ตีฆ้องกลองยิงปืนใหญ่ยกเข้าตีกองทัพเรือพระยาโกษาธิบดีจีน ฝ่ายกองทัพเรือทหารไทยจัดแจงแต่งตัวพร้อมแล้ว ทัพน่าก็แยกเรือรบออกเปนสามแห่ง ให้ยิงปืนใหญ่สามนัดโห่สามลาเอาไชย แล้วให้พลทหารแจวเรือรบเข้าไปต่อต้านทานกำลังกับพลทหารญวน เข้าปะทะถึงเรือกัน ยิงแทงฟันกันเปนสามารถ ฆ่าญวนตายเปนอันมาก เรือรบทหารญวนเข้าช่วยอุดหนุนกันมาก พระยาโกษาธิบดีจีนแม่ทัพไม่ชำนาญในการพิไชยสงคราม ขลาดไม่กล้าแขง ย่อท้อแก้สงคราม ไม่ช่วยอุดหนุนเพิ่มเติมแก้ไข ถอยเรือหนีไป ทิ้งทหารเสีย ฝ่ายทหารญวนได้ที เข้าหักเอาทหารไทย ฆ่าฟันกันเปนสามารถ ฝ่ายทหารไทยเห็นศึกนั้นเหลือมือเหลือกำลัง แม่ทัพก็หนีไปแล้ว แลเห็นคนทหารก็เสียมาก ก็ถอยเรือล่าแตกหนีมา เสียเรือรบแลผู้คนปืนใหญ่น้อยเปนอันมากแก่กองทัพญวน ฝ่ายเจ้าพระยาจักรีโรงฆ้องยกกองทัพบกไปถึงเมืองกัมพูชา[35] ให้ตั้งค่ายหลวงลงใกล้เมืองประมาณทาง ๘๐ เส้น ๙๐ เส้น รักษาอยู่ในที่นั้น พระพิไชยรณฤทธิ์เปนแม่กองทัพน่า ถือพลทหาร ๓๐๐ เศษไปก่อน ได้รบกันกับเขมรญวน[36] ฆ่าเขมรญวนตายเปนอันมาก มีไชยได้ทีตีทัพเขมรญวนแตกพ่ายเปนหลายแห่ง ให้ทหารเร่งรีบไล่ติดตามเข้าไป ได้หัวเมืองน้อยใหญ่เปนอันมาก ทัพหลวงก็ให้เร่งรีบยกพลทหารทุกทัพทุกกองไปช่วยอุดหนุนเพิ่มเติมตีตัดลัดทาง ให้ข้าศึกอัตคัดขัดขวางคับแคบสดุ้งตกใจกลัวมิได้สู้รบต้านทานได้ รบครั้งใดก็มีไชยชนะทุกครั้งทุกแห่ง ได้ผู้คนช้างม้าเครื่องสาตราวุธต่าง ๆ เปนอันมาก เขมรแลญวนจะต้านทานมิได้ ก็แตกพ่ายพังหนีไป กองทัพทั้งปวงไล่ติดตามเข้าไป ตั้งค่ายล้อมเมืองกัมพูชา[37] ไว้มั่นคง แต่ฝ่ายเขมรถือว่าญวนจะให้กำลัง ก็ยังตึงแขงอยู่[38] เจ้าพระยาจักรีจึงคิดอุบายจะให้ได้ราชการเปนพระเกียรติยศโดย[39] สดวก จึงให้แต่งศุภอักษรฉบับหนึ่ง[40] แล้วส่งให้ทูตถือศุภอักษรนั้นไปบอกความเมืองแก่นักแก้วฟ้าโดยทางชวนให้อ่อนน้อมด้วยดี[41] นักแก้วฟ้า ครั้นได้แจ้งในศุภอักษร จึงเห็นเปนดี ด้วยจะได้[42] พ้นไภยอันตราย เปนความสบาย[43] ในอนาคต จึงรับว่าจะถวายดอกไม้ทองเงินเปนเมือง[44] ขึ้นแก่กรุงเทพมหานคร เจ้าพระยาจักรีได้ความดังนั้นมั่นคงแล้ว จึงสั่งให้นักแก้วฟ้าจัดดอกไม้ทองเงินส่งเข้ามาทูลเกล้า[45] ถวายตามคำปฏิญาณนั้น แล้วจึงเลิกทัพกลับคืนมายังกรุงเทพมหานคร สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินได้ความทราบดังนั้น ทรงพระโสมนัศ[46] จึงพระราชทานบำเหน็จรางวัลแก่เจ้าพระยาจักรีแลนายทัพนายกองเปนอันมากตามสมควร แลทรงพระพิโรธพระยาโกษาธิบดีจีน[47] ให้ใช้ปืนน้อยใหญ่แลดินประสิวลูกกระสุนเรือรบซึ่งเสียไปแก่ญวนนั้น[48] ให้สิ้นเชิง.
๏สมเด็จพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยามีพระราชบุตรด้วยพระอรรคมเหษีกรมหลวงประชา[49] นุรักษ์นั้น ๕ พระองค์ คือ เจ้าฟ้านเรนทร ๑ หญิงเจ้าฟ้าเทพ ๑ หญิงเจ้าฟ้าปทุม ๑ เจ้าฟ้าอไภย ๑ เจ้าฟ้าบรเมศร ๑ พระมารดาชื่อ เจ้าท้าว ซึ่งเปนกรมหลวงประชา[50] นุรักษ์นั้น ในปีฉลู เอกศกนั้น มีพระราชบริหารให้ช่างปฏิสังขรณ์วัดมเหยงค์ เสด็จพระราชดำเนินไปให้ช่างกระทำการวัดนั้นเนือง ๆ บางทีก็เสด็จอยู่ที่พระตำหนักริมวัดมเหยงค์เดือนหนึ่งบ้างสองเดือนบ้าง ว่าราชการอยู่ในที่นั้น ๓ ปีเศษ วัดนั้นจึงสำเร็จแล้วบริบูรณ์ สมเด็จพระอนุชาธิราชกรมพระราชวังบวรสถานมงคลให้ช่างปฏิสังขรณ์วัดกุฎีดาวอันใหญ่ในปีเถาะ ตรีนิศก เสด็จไปทอดพระเนตรการที่วัดนั้นเดือนหนึ่งบ้างสองเดือนบ้างเหมือนพระเชษฐาธิราช ๓ ปีเศษวัดนั้นจึงสำเร็จแล้วบริบูรณ์ สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินนั้นพอพระไทยทำปาณาติบาต ฆ่ามัจฉาชาติปลาน้อยใหญ่ต่าง ๆ เปนอันมาก ด้วยตกเบ็ดทอดแหแหงฉมวกกั้นเฝือกดัดลอบดักไซ กระทำการฆ่าสัตวต่าง ๆ ประพาศป่าฆ่าเนื้อนก เล่นสนุกด้วยดักแร้วบ่วง ไล่ช้างล้อมช้างได้ช้างเถื่อนเปนอันมาก เปนหลายวันแล้วกลับคืนมายังพระนคร.
๏ในปีมเสง เบญจศกนั้น ให้ฉลองวัดมเหยงค์ ทรงพระราชศรัทธาบำเพ็ญพระราชกุศลเปนอันมาก ทรงพระราชทานเครื่องบริกขารแลวัตถุทานต่าง ๆ แก่พระสงฆ์ ๑๐๐๐ ตามพระราชประเพณีแต่ก่อน มีงานมหรศพสมโภช ๗ วัน เสร็จบริบูรณ์การฉลองนั้น.
๏ในปีมเมีย ฉศก สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินให้ช่างไม้ต่อกำปั่นใหญ่ไตรมุขยาว ๑๘ วา ๒ ศอก ปากกว้าง ๖ วา ๒ ศอก ให้ตีสมอใหญ่ที่วัดมเหยงค์ ๕ เดือนกำปั่นใหญ่นั้นแล้ว ให้เอาออกไปยังเมืองมฤต บรรทุกช้างได้ ๓๐ ช้างเศษ ให้ไปขายเมืองเทศโน้น คนทั้งหลายลงกำปั่นใช้ใบไปถึงเมืองเทศ แล้วขายช้างนั้นได้เงินแลผ้าเปนอันมาก แล้วกลับคืนมายังเมืองมฤตสิ้นปีเศษ.
๏ณ ปีมแม สัปตศกนั้น พระมหาอุปราชให้ฉลองวัดกุฎีดาว บำเพ็ญพระราชกุศลให้ทานสักการบูชาแก่พระรัตนไตรยเปนอันมาก ให้เล่นงานมหรศพสมโภช ๗ วัน การฉลองนั้นสำเร็จบริบูรณ์ ในปีนั้น เจ้าพระไอยิกา[51] กรมหลวงโยธาทิพทิวงคตณพระตำหนักวัดพุทไธสวรรย์นั้น สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินให้ช่างไม้กระทำการพระเมรุ ขื่อยาว ๕ วา ๒ ศอก โดยสูง ๒๐ วา ๒ ศอก แลพระเมรุทองกลาง แลการพระเมรุทั้งปวงนั้น ๖ เดือนเศษจึงแล้ว เชิญพระโกษฐทองขึ้นราชรถพร้อมเครื่องอลงกฎแห่แหนเปนอันมากนำมาสู่พระเมรุทอง แลการที่บูชาให้ทานทั้งปวงตามอย่างราชประเพณีมาแต่ก่อน สมโภช ๗ วัน การพระศพนั้นสำเร็จบริบูรณ์.
๏ลุศักราชได้ ๑๐๘๓ ปีฉลู ตรีนิศก พระเจ้าอยู่หัว[52] เสด็จพระราชดำเนินไปประพาศ[53] ที่ปากน้ำท่าจีน เมื่อเสด็จ[54] ไปถึงคลองมหาไชย ทอดพระเนตร[55] เห็นคลองนั้นขุดยังไม่แล้วค้างอยู่ ครั้นเมื่อเสด็จ[56] กลับคืนมาถึงพระนคร จึงทรงพระราชดำริห์แล้ว[57] ตรัศสั่งให้พระราชสงครามเปนนายกอง ให้เกณฑ์คนหัวเมืองปากใต้ ๘ หัวเมืองให้ได้คน ๓ หมื่นเศษ ๔ หมื่น ไปขุดคลองมหาไชย พระราชสงครามให้กะเกณฑ์จัดแจงได้ไพร่พล[58] ๓ หมื่นเศษ เสร็จแล้วถวายบังคมลาไป ครั้นถึงคลองมหาไชย จึงให้ฝรั่งเศสส่องกล้องแก้วดูให้ตรงปากคลอง ปักกรุยเปนสำคัญ ทางไกล ๓๔๐ เส้น ขุดที่ก่อนนั้นได้ที่แล้ว ๖ เส้นเศษ ยังไม่แล้วนั้นมากถึง ๓๔๐ เส้น ให้ขุดคลองฦก ๖ ศอก กว้าง ๗ ศอกเท่าเก่า เกณฑ์กันเปนน่าที่คน ๓ หมื่นเศษ ขุด ๒ เดือนเศษจึงแล้ว พระราชสงครามกลับมาเฝ้ากราบทูลพระกรุณาให้ทราบทุกประการ สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินได้ความทราบ ทรงพระปีติปราโมทย์ จึงตรัศว่า พระราชสงครามให้เปนพระยาราชสงคราม แล้วพระราชทานเจียดทองเสื้อผ้าเงินตราเปนอันมาก คลองนั้นชื่อ คลองมหาไชย ตราบเท่าทุกวันนี้.
๏ในปีขาล จัตวาศกนั้น ทรงพระกรุณาโปรดให้พระธนบุรีเปนแม่กองเกณฑ์ไพร่พล[59] คนหัวเมืองปากใต้ได้คนหมื่นเศษ ให้ขุดคลองเกร็ดน้อยลัดคุ้งบางบัวทองนั้นอ้อมนัก ขุดลัดตัดให้ตรง พระธนบุรีรับสั่งแล้วถวายบังคมลามาให้เกณฑ์คนไพร่พล[60] ในบรรดาหัวเมืองปากใต้ได้คนหมื่นเศษ ให้ขุดคลองเกร็ดน้อยนั้นฦก ๖ ศอก กว้าง ๖ วา ยาวทางไกลได้ ๒๙ เส้นเศษ ขุดเดือนเศษจึงแล้ว พระธนบุรีนั้นจึงกลับมากราบทูลพระกรุณาให้ทราบทุกประการ.
๏ในปีเถาะ เบญจศกนั้น พระเจ้าอยู่หัว[61] ทั้งสองพระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปประพาศโพนช้างป่าหัวเมืองนครนายกฝ่ายตวันออก ในเพลาราตรีนั้นเดือนหงาย เสด็จไปไล่ช้างเถื่อน พระจันทร์เข้าเมฆ ช้างพระอนุชาธิราชขับแล่นตามไปทันช้างพระที่นั่งทรง ไม่ทันจะรอรั้ง ช้างพระที่นั่งกรมพระราชวัง[62] โถมแทงเอาท้ายช้างพระที่นั่ง ควาญท้ายช้างนั้นกระเดนตกจากช้างนั้นลง ช้างทรงเจ็บป่วยมาก ก็ซวนเซแล่นไปในป่า สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินจึงขับช้างนั้นกลับมายังพลับพลาไชย พระมหาอุปราชไม่แกล้งจะให้ช้างแทง แต่หากรอรั้ง[63] ช้างนั้นมิทันที ตกพระไทย กลัวพระราชอาชญา เสด็จตามไปเฝ้าที่พลับพลาไชย จึงกราบทูลพระกรุณาว่า[64] ข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้แกล้ง แสงพระจันทร์เข้าเมฆมืดมัวเปนเงาไม้ เห็นไม่ถนัด จะรอรั้ง[65] ช้างไว้มิทัน ได้ทรงพระกรุณาโปรดอดโทษข้าพระพุทธเจ้าเถิด พระเจ้าอยู่หัวนั้นไม่สงไสยไม่ทรงพระพิโรธขุ่นเคืองแก่พระอนุชาธิราชเลย[66] สั่งหมอให้รักษาช้างนั้น แล้วกลับมาพระนคร.
๏ในปีเถาะ เดือน ๔ ข้างขึ้นนั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์[67] เสด็จพระราชดำเนินไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลณพระพุทธบาทด้วยบริวารศักดิเปนอันมากทั้งทางบกทางเรือเปนพยุหบาตรยาตราตามอย่างแต่ก่อน ครั้นถึงพระพุทธบาท เสด็จอยู่ท่าเขษม ขึ้นนมัสการบูชาพระพุทธบาทกับด้วยพระอนุชาธิราช ๆ จึงกราบทูลพระกรุณาว่า ขอพระราชทานชีวิตร เมื่อข้าพระพุทธเจ้าขึ้นช้างตามเสด็จไป แลช้างนั้นแทงช้างพระที่นั่งทรงนั้น ข้าพระพุทธเจ้าจะได้มีเจตนาแกล้งจะให้ช้างแทงนั้นหามิได้ เปนความสัจความจริง ข้าพระพุทธเจ้าจะขอกระทำสัจสาบาลถวายเฉภาะน่า[68] พระพุทธบาทถวายแต่ล้นเกล้าล้นกระหม่อมบัดนี้ สมเด็จพระเชษฐาธิราชทรงพระกรุณาโปรดดำรัศว่า ฉันหามีความแคลงแก่เจ้าฟ้า[69] ไม่ เจ้าฟ้า[70] อย่ากระทำสัจสาบาลเลย เคราะห์ฉันร้ายเอง ตรัศแล้วบูชานมัสการพระพุทธบาทบำเพ็ญพระราชกุศลให้ทานเปนอันมาก เล่นงานมหรศพสมโภช ๗ วันบูชาพระพุทธบาท[71] แล้วถวายนมัสการพระพุทธบาทกลับคืนมายังพระมหานคร.
๏ลุศักราชได้ ๑๐๘๗ ปีมเสง สัปตศก เจ้าอธิการวัดป่าโมกเข้ามาหาพระยาราชสงครามแจ้งความว่า พระพุทธไสยาศน์วัดป่าโมกนั้นน้ำกัดเซาะตลิ่งพังเข้ามาถึงพระวิหารแล้ว ยังอิกประมาณสักปีหนึ่ง พระพุทธไสยาศน์เห็นจะพังลงน้ำเสียแล้ว พระยาราชสงครามได้ฟังดังนั้น จึงเข้าไปเฝ้ากราบทูลพระกรุณาให้ทราบเหตุแห่งพระพุทธไสยาศน์นั้นทุกประการ พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงทราบดังนั้น จึงปฤกษาด้วยข้าราชการทั้งปวงมีเสนาบดีเปนอาทิว่า เราจะรื้อพระพุทธไสยาศน์ไปก่อเอาใหม่จะดีฤๅ ๆ จะชลอไปไว้ในที่สมควรดี พระยาราชสงครามจึงกราบทูลพระกรุณาว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะขอออกไปดูก่อน แล้วถวายบังคมลาออกไปพิจารณาดู เห็นจะชลอลากได้ จึงกลับมากราบทูลพระกรุณาว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะขออาสาชลอลากพระพุทธไสยาศน์ให้ถึงที่อันควรให้จงได้ สมเด็จพระมหาอุปราชเฝ้าอยู่ที่นั้นด้วย ได้ทรงฟังดังนั้น ไม่เห็นด้วย จึงตรัศว่า พระพุทธไสยาศน์นั้นพระองค์โตใหญ่นัก เห็นจะชลอลากไม่ได้ กลัวจะแตกจะพังเปนการใหญ่ มิใช่ของหล่อ ถ้าไม่มีอันตรายก็จะดีอยู่ ถ้ามีอันตรายแตกพังหักทลาย จะอายอัปยศแก่ไพร่ฟ้าประชาราษฎรอำมาตย์เสนาข้าราชการ เสียพระเกียรติยศ จะฦๅชาปรากฎไปในอนาคตเปนอันมาก ถ้าเรารื้อไปก่อใหม่ให้ดีงามกว่าเก่า เห็นจะง่ายดีอิก พระยาราชสงครามจึงกราบทูลพระกรุณาว่า ข้าพระพุทธเจ้าจะขออาสาชลอลากพระพุทธไสยาศน์มิให้แตกหักพังไปเปนปรกติถึงที่ใหม่อันสมควรให้จงได้ ถ้าแลเปนอันตราย ขอถวายชีวิตร สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินก็ยังไม่วางพระไทย จึงดำรัศสั่งให้นิมนต์พระราชาคณะมาประชุมแล้วตรัศว่า ข้าแต่พระผู้เปนเจ้าทั้งปวง เราจะรื้อพระพุทธไสยาศน์ก่อใหม่ไว้ในที่ควร จะควรฤๅมิควร พระบาฬีจะมีประการใดบ้าง พระราชาคณะทั้งปวงถวายพระพรว่า พระองค์ไม่แตกหักพังวิปริตเปนปรกติดีอยู่นั้น จะรื้อไปก่อใหม่ไม่ควร พระเจ้าแผ่นดินได้ทราบดังนั้น จึงตรัศสั่งให้พระยาราชสงครามคิดกระทำการชลอลากพระพุทธไสยาศน์นั้น.
๏ลุศักราชได้ ๑๐๘๘ ปีมเมีย อัฐศก สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเสด็จไปวัดป่าโมก ให้รื้อพระวิหาร แล้วให้ตั้งพระตำหนักพลับพลาไชยใกล้วัดชีปขาว ยับยั้งแรม ๖ วันบ้าง ๗ วันบ้างกับด้วยพระอนุชาธิราช กลับไปกลับมา ให้กระทำการอยู่ ๓ วันบ้าง ๔ วันบ้าง แล้วกลับมาพระนคร พระยาราชสงครามเกณฑ์ให้ข้าราชการไปตัดไม้ยางยาว ๑๔ วา ๑๕ วา น่าใหญ่ศอกคืบบ้าง ยาว ๔ วา ๕ วา น่าใหญ่ศอก ๑ บ้าง ให้ได้มาก ทำตะเฆ่แม่สดึง ให้เลื่อยเปนตัวไม้น่าใหญ่ศอกหนึ่งน่าน้อยคืบหนึ่งเปนอันมาก ให้เอาเสาไม้ยาง ๓ กำ ๓ วากลึงเปนกง เลื่อยกระดานน่า ๒ นิ้วจะปูพื้น ทางจะลากตะเฆ่ไปนั้นให้ปราบที่ให้เสมอทุบตีด้วยตลุมพุกให้ราบเสมอ ให้ฟั่นเชือกน้อยใหญ่เปนอันมาก แล้วให้เจาะฐานแท่นพระเจ้านั้นช่องกว้างศอกหนึ่ง เว้นไว้ศอกหนึ่ง ช่องสูงคืบหนึ่ง เว้นไว้เปนฟันปลา เอาตะเฆ่แอบเข้าทั้งสองข้าง ร้อยไม้ขวางทางที่แม่สดึง แล้วสอดกระดานน่าคืบหนึ่งนั้นบนหลังตะเฆ่ตลอดช่อง แล้วเจาะขุดรื้ออิฐหว่างช่องกระดานที่เว้นไว้เปนฟันปลานั้นออกเสีย เอากระดานน่านั้นสอดให้เต็มทุกช่อง แลการผูกรัดร้อยรึงกระดานทั้งปวงมั่นคงบริบูรณ์ห้าเดือนสำเร็จแล้วทุกประการ ครั้นได้ศุภวารดิถีเพลาพิไชยมงคลฤกษ์ดีแล้ว ให้ชลอลากชักตะเฆ่ที่ทรงพระพุทธไสยาศน์ไปเข้าที่อันจะกระทำพระวิหารนั้นได้สำเร็จบริบูรณ์ จึงทรงพระกรุณาโปรดให้พระยาราชสงครามเลื่อนที่เปนสมุหนายก สมเด็จพระมหากระษัตริย์ให้ทำพระวิหารการเปรียญโรงพระอุโบสถพระเจดีย์กุฎีศาลากำแพงแลหอไตรฉนวน ๔๐ ห้องหลังคามุงกระเบื้อง แลส้วมฐานสพานบันได ๕ ปีเศษจึงแล้ว ยังไม่ได้ฉลอง ทรงพระประชวรหนักลง จึงพระราชทานราชสมบัตินั้นให้แก่เจ้าฟ้าอไภย พระมหาอุปราชไม่เต็มพระไทย ไม่ยอมอนุญาตให้ราชสมบัติแก่เจ้าฟ้าอไภย ถ้าให้ราชสมบัติแก่เจ้าฟ้านเรนทรจึงจะยอมให้ เจ้าฟ้านเรนทรซึ่งเปนกรมขุนสุเรนทรพิทักษ์เปนภิกษุภาว เมื่อมิได้รับซึ่งราชสมบัติ จึงมิได้ลาผนวชออก.
๏ฝ่ายเจ้าฟ้าอไภย พระบิดาให้อนุญาตแล้ว จึงรับราชสมบัติ ปราถนาจะทำสงครามกันกับด้วยพระมหาอุปราช จึงสั่งข้าราชการวังหลวงจัดแจงผู้คนกะเกณฑ์กระทำการตั้งค่ายคู ดูตรวจตราค่ายรายเรียงลงไปตามคลองแต่ประตูเข้าเปลือกจนถึงประตูจีน จึงให้ขุนศรีคงยศไปตั้งค่ายริมสพานช้างคลองประตูเข้าเปลือกฟากตวันตก ให้รักษาค่ายอยู่ที่นั้น.
๏ในกาลนั้น พระมหาอุปราชได้ทราบเหตุทั้งปวงนั้น ให้ข้าราชการตั้งค่ายข้างฟากตวันออก ให้รักษาค่ายในที่นั้น ฝ่ายพระราชบุตรพระมหาอุปราชเสด็จตรวจค่ายมาทงค่ายขุนศรีคงยศ ตรัศถามว่า ค่ายนี้ของใคร เขากราบทูบว่า ค่ายนี้ของขุนศรีคงยศ ทรงพระโกรธ จึงสั่งให้ขุนรามเกณฑ์หัดขึ้นบนเรือนชาวบ้านริมคลอง ส่องปืนตามช่องน่าต่าง ยิงขุนศรีคงยศถูกตาย กลับมาทูลแถลงพระบิดา ๆ ตรัศว่า ด่วนยิงเขาก่อนไย จึงกราบทูลว่า จะเอาฤกษ์เอาไชยไว้ก่อน.
๏ลุศักราชได้ ๑๐๙๔ ปีชวด จัตวาศก สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินทรงพระประชวรหนักลง ก็ถึงแก่ทิวงคตในเดือนยี่ ข้างแรม ไปโดยยถากรรมแห่งพระองค์นั้น พระเจ้ากรุงศรีอยุทธยาบังเกิดในปีมแม พระชนมายุได้ ๒๘ ปี ได้เสวยราชสมบัติอยู่ ๒๖ ปีเศษ พระชนมายุได้ ๕๔ ปีเศษ กระทำกาลกิริยา ผู้ใดมีเมตตา ไม่ฆ่าสัตว อายุยืน ไม่มีเมตตา ฆ่าสัตว อายุสั้น.
- ↑ เดิมว่า แก่
- ↑ เดิมว่า มุขมาตย์
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมว่า ลลาบลล้าว
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมว่า พระไอยกี
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมว่า ฝา
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมว่า ราชบริวาร
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมมี แห่งพระองค์ (ทรงตัดออก)
- ↑ เดิมว่า ไอยกี
- ↑ เดิมว่า ฌาปนกิจต่าง ๆ
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมว่า แต่
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมว่า ธิบดีนั้น (ทรงตัดออก)
- ↑ เดิมว่า ทารา
- ↑ เดิมว่า แห่งตน
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมว่า แทบ
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมว่า กัมพูชาธิบดี (ทรงตัดออก)
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมว่า สรรพา
- ↑ เดิมว่า กัมพูชาธิบดี (ทรงตัดออก)
- ↑ เดิมว่า กรีธาพลทวยหาญพยุหบาตรา
- ↑ เดิมว่า มรคา
- ↑ เดิมว่า กัมพูชาธิบดี (ทรงตัดออก)
- ↑ เดิมว่า แตกพ่ายเปนหลายตำบล (ทรงตัดออก)
- ↑ เดิมว่า กัมพูชาธิบดี (ทรงตัดออก)
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมว่า พระราชไมตรี
- ↑ เดิมว่า พิจารณาเห็นซึ่งจะ
- ↑ เดิมว่า อันดี
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมว่า ดีพระไทย
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมว่า ราชา
- ↑ เดิมว่า ราชา
- ↑ เดิมว่า ไอยกี
- ↑ เดิมว่า กรุงเทพมหานคร
- ↑ เดิมว่า ทรงเบ็ด
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมไม่มี
- ↑ เดิมว่า ทรงเบ็ดแล้ว
- ↑ เดิมว่า กรุณา
- ↑ เดิมว่า พลนิกาย
- ↑ เดิมว่า พลนิกาย
- ↑ เดิมว่า พลนิกาย
- ↑ เดิมว่า บรมกระษัตริย์
- ↑ เดิมว่า เกี่ยว
- ↑ เดิมว่า เกี่ยว
- ↑ เดิมว่า ข้าแต่พระองค์ทรงพระคุณอันประเสริฐ (ทรงตัดออก)
- ↑ เดิมว่า เกี่ยว
- ↑ เดิมว่า นั้นหามิได้
- ↑ เดิมว่า มหากระษัตริย์
- ↑ เดิมว่า ในสำนักนิ์แห่ง
- ↑ เดิมว่า ข้าหาแคลงแก่เจ้า
- ↑ เดิมว่า เจ้า
- ↑ เดิมว่า เจ้า