ราชาธิราช/เล่ม ๘
ปก ลง
ร้านหนังสือหน้าวัดเกาะเพราะนักหนา
ราษฎร์เจริญโรงพิมพ์ริมมรรคา
เชิญท่านมาซื้อดูคงรู้ดี
ได้ลงพิมพ์คราวแรกแปลกแปลกเรื่อง
อ่านแล้วเปลื้องความทุกข์เป็นสุขี
ท่านซื้อไปอ่านฟังให้มั่งมี
เจริญศรีสิริสวัสดิ์พิพัฒน์เอย
สมิงมะราหูออกรบแพ้พระยาน้อย พาพระมหาเทวี ตละแม่ศรี หนีไป
พระยาน้อยเข้าเมืองได้ให้ตามจับสมิงราหู ได้ตัวมาให้ฆ่าเสีย
มุอายลาวได้ฟังดังนั้นก็สงสาร จึงส่งหนังสือกีบผ้าซึ่งพระมหาเทวีฝากมานั้นถวายแก่พระยาน้อย แล้วจึงเอาหม้อน้ำมันกับลูกชั่งตราชูซึ่งตละแม่ท้าวฝากมานั้นถวายต่อทีหลัง ซึ่งคำตละแม่ท้าวสั่งนั้นมุอายมีปัญญาหาทูลไม่ กลัวจะบาดหมางสะเทือนไปถึงเม้ยมะนิก พระยาน้อยทอดพระเนตรเห็นของสองสิ่งแล้วก็ทรงพระสรวลอยู่ด้วยเข้าพระทัยว่า ตละแม่ท้าวฝากของทำปริศนามาดังนี้เป็นการประเพณีหึงหวงด้วยวิสัยเป็นคนงอน ก็ทรงพระคำนึงถึงตละแม่ท้าวอยู่ด้วยเป็นคู่ยาก แต่ไม่อาจออกพระโอษฐ์ได้ เกรงคนทั้งปวงจะหัวเราะดูหมิ่น จึงสั่งให้เอาหม้อน้ำมันกับลูกชั่งตราชูไปให้เม้ยมะนิกดู เม้ยมะนิกเห็นแล้วมิได้ล่วงรู้ในความคิดของตละแม่ท้าวก็มิได้ว่าประการใด ครั้นแล้ว พระยาน้อยก็ฉีกผนึกหนังสือออกทรงอ่าน ลักษณะความในหนังสือนั้นว่า สมเด็จพระเจ้าป้า พระมหาเทวี แจ้งความมายังพระยาน้อยผู้หลานให้ทราบ ด้วยพระราชบิดาทรงพระโกรธแก่หลานแต่ก่อนนั้น ป้าช่วยพิดทูลว่ากล่าวก็เห็นจริงด้วย บัดนี้ พระองค์ก็หายพระโกรธดีเป็นปรกติไปแล้ว ทุกวันนี้ กลับมีพระกรุณาตั้งพระทัยคอยหาหลายว่าเมื่อไรจะมา ทรงตรัสประภาษถามป้าอยู่เนือง ๆ มิได้ขาด ได้ทอดพระเนตรเห็นตละแม่ท้าวแลพ่อลาวแก่นท้าวขึ้นมาเฝ้าแล้วก็ทอดพระทัยจนน้ำพระเนตรตก อย่าให้หลานเราคิดกลัวเกรงสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย อนึ่ง ข้าของป้ากับข้าของหลานซึ่งได้วิวาทฆ่าฟันกันนั้นก็เป็นเวรานุเวรของเขากระทำมาแต่ก่อน เคยฆ่าฟันล้างผลาญกันจึงเป็นดังนี้ ป้าหาโกรธไม่ อย่าสงสัย ให้หลานเราเร่งกลับมาเถิด
ครั้นพระยาน้อยแจ้งความในหนังสือนั้นแล้วก็เข้าพระทัยว่า เป็นความล่อลวงหาจริงมิได้ จึงตรัสแก่มุอายลาวว่า แม่ได้อุปถัมภ์เลี้ยงดูข้ามาจนใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว คุณของแม่อยู่กับข้านั้นมากนักหาที่จะอุปมามิได้ ข้าก็คิดอยู่ว่า ชีวิตข้าอยู่กับแม่ บัดนี้ แม่มาจะเอาชีวิตข้าหรือ หรือจะให้ชีวิตข้ารอดอยู่ต่อไป มุอายลาวได้ฟังพระยาน้อยตรัสดังนั้นก็สงสารน้ำตาไหล ครั้นจะทูลเหตุผลทั้งปวงให้แจ้งก็เห็นผู้เร้ารุมอยู่มาก จึงทำอุบายแลดูซ้ายขวาหวังจะให้พระยาน้อยพาเข้าไปข้างในสองต่อสองจึงจะแจ้งเนื้อความที่ลึกลับ พระยาน้อยก็ทราบในอัชฌาสัยมุอายลาว จึงแกล้งตรัสว่า ซึ่งข้ามาอยู่ในเมืองตะเกิงนี้จนนัก ทั้งเงินทองผ้าพรรณนุ่งห่มเครื่องกินอยู่ใช้สอยก็ไม่มี ถ้าแม่มิเชื่อข้า จงเจ้าไปดูในเรือนเถิด พระยาน้อยก็พามุอายลาวเข้าไปในตำหนัก ครั้นมุอายลาวเข้าไปในตำหนักสงัดคนแล้วจึงทูลแก่พระยาน้อยว่า เมื่อพระองค์หนีมานั้น พระมหาเทวีให้หามะเตากุญเข้าไปซักถามว่า แรกพระองค์จะคิดหนีนั้น มะเตากุญรู้หรือไม่ มะเตากุญอิดเอื้อนอยู่ไม่บอกความตามจริง พระมหาเทวีโกรธจึงให้ตีมะเตากุญ มะเตากุญได้ความเจ็บปวดทนอาญามิได้จึงแจ้งความให้การว่า เมื่อพระองค์จะหนีนั้น ให้คนไปชิมลางเอาศุภนิมิตทุกประตูเมือง ได้กิตติศัพท์ดีแล้วพระองค์จึงหนีมา พระมหาเทวีได้แจ้งแล้วจึงให้เม้ยฉุย เม้ยสะละ เม้ยจุ สามคน ไปชิมลางบ้าง ครั้นไปชิมลางที่ประตูใดก็หาได้นิมิตไม่ ไปได้นิมิตที่ตาปะขาวโยมวัดกับพระสามเณรภาวนา ผู้ไปชิมลางก็กลับเข้ามาทูลแก่พระมหาเทวี พระมหาเทวีจึงตรัสว่า โยมวัดกับเจ้าสามเณรเหมือนคนพิกลจริตภาวนาว่าไม่ได้เนื้อความ จะเชื่อฟังเอาว่าเป็นนิมิตร้ายดีนั้นมิได้ ซึ่งมีหนังสือมาทั้งนี้แลสั่งความนอกนั้นเป็นความลวงหาจริงไม่ ขอพระองค์อย่าได้เชื่อฟัง คือ เขาแต่งกลอุบายเปรียบเหมือนขุดบ่อล่อน้ำให้ปลาหลง แลทุกวันนี้ เขาคิดอ่านกันให้หาเสนาบดีทั้งปวงมา แล้วมีหนังสือแอบรับสั่งไปถึงหัวเมืองขึ้นทั้งปวงให้ยกทัพมาบรรจบกัน คิดทำการกับพระองค์อยู่
พระยาน้อยได้ฟังมุอายลาวทูลดังนั้นก็แค้นพระทัย จึงบ่ายพระพักตร์มาข้างพระมุเตาอันบรรจุพระบรมธาตุ ถวายนมัสการ แล้วก็ประนมหัตถ์เคารพแก่มุอายลาวแม่นมผู้มีพระคุณ แล้วจึงตรัสว่า ซึ่งพระมหาเทวีสมิงมะราหูเป็นคนพาลหาสัตย์มิได้ทำไม่ดีจะคิดทำร้ายแก่ข้าพเจ้า ขอให้พ่ายแพ้แก่ข้าพเจ้าเถิด ครั้นแล้ว มุอายลาวจึงทูลพระยาน้อยอีกว่า พระมหาเทวีกับสมิงมะราหูให้มีหนังสือไปถึงสมิงพระตะบะ เจ้าเมืองเมาะตะมะ สมิงเลิกพร้า เจ้าเมืองมองมะละ ให้ยกมาเมืองพะโคบรรจบกันกับทัพสมิงชีพราย ถ้ากองทัพทั้งสองฝ่ายพร้อมกันแล้วจะให้สมิงมะราหูเป็นแม่ทัพใหญ่ยกมาตีพระองค์ ข้าพเจ้าคิดเห็นว่า กองทัพทั้งสามนี้มาพร้อมกันแล้วจะมีกำลังมานัก ฝ่ายข้างกำลังพระองค์น้อยก็เห็นจะเสียท่วงที แต่ข้าพเจ้าคิดการผ่อนปรนได้อย่างหนึ่งเห็นพอจะเอาชัยชำนะได้ ขอให้พระองค์แต่งเครื่องบรรณาการมีหนังสือไปอ่อนน้อมต่อพระตะบะแลสมิงเลิกพร้าให้งดกองทัพไว้ แต่กองทัพเมืองพะโคซึ่งจะยกมานั้น สมิงชีพรายก็เข้าด้วยพระองค์อยู่ ถ้าไม่มีกองทัพกระหนาบแล้ว เห็นมิพอเป็นไรนัก จะได้คิดอ่านทำการแต่สมิงมะราหูถ่ายเดียว คงจะได้ชัยชนะ
พระยาน้อยได้ฟังมุอายลาว แม่นม ทูลดังนั้นก็เห็นชอบด้วย จึงตรัสสรรเสริญสติปัญญามุอายลาวว่า แม่นี้เป็นสตรีก็แต่ตัว แต่ปัญญาความคิดของแม่นั้นเปรียบดังบุรุษ รู้คิดคาดการณ์ที่ได้ที่เสีย ซึ่งแม่ช่วยสั่งสอนให้สติข้าทั้งนี้ก็ดีแล้ว ข้าขอบคุณแม่นัก จะกระทำตามคำแม่ว่าทุกประการ แล้วตรัสถามมุอายลาวว่า ซึ่งพระมหาเทวีให้มีหนังสือมาดังนี้จะควรตอบหนังสือไปดีหรือ หรือจะสั่งไปแต่ปากเปล่าเถิด มุอายลาวจึงทูลว่า ข้าพเจ้าได้มาแล้ว ถึงจะไม่มีหนังสือตอบไปก็ได้ แต่ตรัสสั่งให้ได้ถ้อยคำแล้วก็เหมือนกัน
พระยาน้อยได้ฟังมุอายลาวทูลดังนั้นก็เห็นชอบ จึงสั่งให้จัดทองคำห้าชั่งไปถวายแก่พระมหาเทวีแล้วจึงสั่งมุอายลาวว่า แม่จงทูลพระมหาเทวีเถิดว่า ข้าพเจ้าจะไปในเดือนเก้านี้ แต่ยังจัดข้าวของซึ่งจะได้ถวายสมเด็จพระราชบิดาแลพระเจ้าป้าอยู่ แล้วแม่จงบอกแก่ตละแม่ท้าวด้วยว่า ข้ามาอยู่ ณ เมืองตะเกิงนี้เป็นผู้ชายขัดสนหามีที่กินไม่ ได้อาศัยแต่แม่ค้าจึงค่อยคลายความรำคาญหน่อยหนึ่ง ซึ่งพระน้องฝากของสองสิ่งมาให้นั้นก็ขอบคุณเป็นที่สุดแล้ว มุอายรับคำยิ้มแล้วจึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะลาพระองค์ไปก่อนแล้ว พระองค์อยู่ภายหลังเร่งคิดการให้จงหนัก พระยาน้อยรับคำแล้วก็เสด็จตามลงมาส่งแม่นมจนลงจากพระตำหนักด้วยความเคารพ มุอายลาวพระยาน้อยขึ้นช้างพังกริณีมากับด้วยบ่าวไพร่ชายหญิงเป็นอันมาก ครั้นไปถึงเมืองพะโคแล้วก็เข้าไปเฝ้าพระมหาเทวีเอาทองห้าชั่งนั้นถวายแล้วทูลว่า พระยาน้อยถวายมายังฝ่าพระบาทพระแม่อยู่หัวเจ้า พระมหาเทวีจึงตรัสถามว่า พระยาน้อยจะมาหรือไม่มาเล่า มุอายลาวก็ทูลพรางตามคำพระยาน้อยว่า พระยาน้อยกราบถวายบังคมมายังฝ่าพระบาทพระแม่เจ้าให้ทราบว่า ยังขอผัดจัดข้าวของอยู่ก่อน แต่ในเดือนเก้านี้ ณ วันใดหากำหนดไม่จะมาเป็นมั่นคง พระมหาเทวีจึงถามว่า เมื่อพระยาน้อยได้เมืองตะเกิงฆ่าขุนนางยี่สิบคนเสียนั้น เก็บเอาเงินทองผ้าพรรณนุ่งห่มในคลังของเรามาแจกให้ทหารด้วยหรือหรือยังดีอยู่พร้อม มุอายลาวจึงทูลว่า ข้าพเจ้าได้แจ้งอยู่ว่า วิวาทฆ่ากันตายแต่ยี่สิบคน จะได้เก็บริบเอาเงินทองสิ่งของในคลังนั้นหามิได้
พระมหาเทวีได้ฟังดังนั้นไม่เชื่อคิดแคลงอยู่ ส่วนนางมุอายลาวก็ถวายบังคมลาพระมหาเทวีมาหาตละแม่ท้าวทูลแจ้งเนื้อความแต่ที่ดีว่า พระสามีสั่งมาว่า ให้ตละแม่ท้าวค่อยอยู่จงดี อย่าด่าตีพ่อลาวแก่นท้าว ไม่ช้าก็จะได้กลับมาเห็นหน้ากัน ซึ่งมาอยู่ ณ เมืองตะเกิงนี้ก็เป็นสุขอยู่ หาประชวรพระโรคสิ่งใดไม่ อย่าให้ตละแม่ท้าวเป็นทุกข์ถึงเลย แต่ถ้อยคำซึ่งพระยาน้อยสั่งมาเป็นคำเปรียบปรายเชิงสังวาสนั้น มุอายลาวมิได้ทูลให้ทราบ กลัวตละแม่ท้าวจะมีความหึงหวงกำเริบหนักขึ้น
ฝ่ายพระยาน้อย ครั้นมุอายลาวกลับไปเมืองพะโคแล้ว จึงให้หาพ่อมอญแลมังกันจีมา สั่งให้มังกันจีแต่งหนังสืออ่อนน้อมแลให้พ่อมอญจัดเครื่องบรรณาการซึ่งจะส่งไปให้พระตะบะแลสมิงเลิกพร้า ครั้นมังกันจีทำหนังสือเสร็จแล้ว พระยาน้อยก็มอบให้คนสนิทถือหนังสือไปกับเครื่องบรรณาการ เมื่อผู้ถือหนังสือไปนั้นมิได้พบสมิงเลิกพร้า สมิงเลิกพร้ายกกองทัพขึ้นไปเมืองพะโคก่อนนั้นหลายวันแล้ว คนผู้ถือหนังสือจึงเอาหนังสือกับเครื่องบรรณาการนั้นเข้าไปคำนับส่งให้สมิงพระตะบะ สมิงพระตะบะก็รับหนังสือแลเครื่องบรรณาการไว้ จึงสั่งให้เลี้ยงดูแลให้เงินทองเสื้อผ้าเป็นรางวัลแก่ผู้ถือหนังสือโดยสมควร แล้วสมิงพระตะบะก็ฉีกผนึกหนังสือออกอ่าน ลักษณะความในหนังสือนั้นว่า มังสุรมณีจักร คือ พระยาน้อย ราชบุตรพระเจ้าช้างเผือก ขออวยพรมาถึงสมิงพระตะบะแลสมิงเลิกพร้าน้าเราทั้งสองให้แจ้ง ด้วยสมเด็จพระราชบิดาทรงพระประชวรหนักอยู่แล้ว บัดนี้ สมเด็จพระเจ้าป้ากับสมิงมะราหูเป็นชู้กัน หมายจะเอาราชสมบัติให้แก่สมิงมะราหู คิดกันกระทำการหวังจะฆ่าข้าเสียเป็นหลายครั้งมาแล้ว แลข้ารู้ตัว กลัวพระเจ้าป้า จะอยู่ในเมืองพะโคนั้นมิได้ จึงหนีมาอยู่เมืองตะเกิงหวังจะรักษาชีวิต แลบัดนี้ พระเจ้าป้าคิดแต่งหนังสือแอบรับสั่งสมเด็จพระราชบิดามาถึงน้าท่านทั้งปวงว่า ข้าเป็นขบถต่อพระราชบิดา จะให้ยกกองทัพมาจับตัวข้านั้น แลความข้อนี้เป็นความสัตย์จริง ข้าจะได้เป็นขบถต่อสมเด็จพระราชบิดาหามิได้ เป็นเหตุด้วยพระเจ้าป้ากับสมิงมะราหูคิดจะทำร้ายข้า ข้าจึงหนีมา ขอน้าท่านทั้งสองอย่าได้เชื่อฟังคำในหนังสือเลยเป็นอันขาด อันสมิงมะราหูกับพระมหาเทวีนั้นเป็นคนหามีสัตย์ไม่ บัดนี้ ข้าคิดจะทำการตอบแทนสมิงมะราหูอยู่ ซึ่งน้าท่านทั้งสองจะยกกองทัพมานั้น ขอจงได้การุณให้งดไว้ก่อน ไมตรีน้าท่านทั้งสองก็จะมีแก่ข้าสืบไป
ครั้นสมิงพระตะบะได้แจ้งความในหนังสือนั้นแล้วยังมีความสงสัยอยู่ จึงว่าแก่ขุนนางทั้งปวงว่า มีหนังสือรับสั่งพระเจ้าช้างเผือกมาว่า พระยาน้อยหนีไป ให้เรายกกองทัพไปช่วยจับ บัดนี้ พระยาน้อยมีหนังสือมาว่าดังนี้ ข้อความทั้งสองนี้จะจริงข้างไหน ผู้ใดยังรู้เห็นบ้างว่าพระมหาเทวีเป็นชู้กันกับสมิงมะราหูจริงฉะนี้หรือ ขุนนางแลทหารทั้งปวงจึงแจ้งว่า เนื้อความข้อนี้เขาลืออยู่ทั้งเมืองพะว่า สมิงมะราหูเป็นชู้กันกับพระมหาเทวี จนชาวบ้านเมืองสอนให้เด็กขับทะแยเยาะเล่นเป็นเพลงภาษารามัญว่า มินเทิงฉุตระกองเทิง เตินกะมายพรายพะยุสมิง อิจิมะตะรุณะพรายเตาะพะบายตะลาเทิงเชิง แปลเป็นคำไทยว่า สตรีแก่ได้สามีหนุ่ม ถันยุคลยานลงมาถึงรั้งผ้าแล้วยังไม่คิดเจียมกาย
สมิงพระตะบะได้ฟังดังนั้นจึงว่า แต่แรกเราไม่รู้เนื้อความฉะนี้ คิดว่าเป็นรับสั่งพระเจ้าช้างเผือกจริง เราจึงจะยกกองทัพไป บัดนี้ พระมหาเทวีเป็นชู้กันกับเด็กกระทำการทุจริตคิดเป็นกลอุบายแล้ว เราจะยกไปไยให้ป่วยการไพร่พลแลเสบียงอาหาร สมิงพระตะบะจึงสั่งแก่ผู้ถือหนังสือว่า ให้เร่งกลับไปทูลแก่พระราชบุตรพระเจ้าช้างเผือกเถิดว่า แต่ก่อนเราไม่รู้ บัดนี้ ได้รู้แล้วก็ไม่ยกไป อย่าให้พระองค์ทรงพระวิตกถึงกองทัพเราเลย ซึ่งเราจะเห็นกาดีกว่าหงส์นั้นหามิได้ ให้พระองค์เร่งคิดทำการเอาชัยชนะเถิด ผู้ถือหนังสือก็คำนับลาสมิงพระตะบะกลับมาทูลแก่พระยาน้อย พระยาน้อยได้แจ้งแล้วก็ดีพระทัยนัก
ขณะนั้น พระมหาเทวีจึงให้หาสมิงชีพรายแลเสนาบดีทั้งปวงเข้ามาพร้อมแล้วจึงตรัสว่า มุอายลาวลงไปหาพระยาน้อยกลับขึ้นมาบอกว่า ในเดือนเก้า ณ วันหากำหนดมิได้ พระยาน้อยจะมา เดือนเก้าก็ล่วงไปเห็นไม่มา พ้นกำหนดสัญญาแล้ว บัดนี้ มีรับสั่งพระเจ้าช้างเผือกตรัสว่า จะละไว้มิได้ จึงสั่งให้สมิงมะราหูเป็นแม่ทัพยกไปจับพระยาน้อย ให้เร่งจัดแจงกองทัพไว้ให้พร้อม ถ้ากองทัพเมืองเมาะตะมะ เมืองมองมะละ เมืองตองอูมาถึงแล้วให้ยกลงไป สมิงชีพรายแลเสนาบดีทั้งปวงก็เกณฑ์กองทัพเตรียมไว้ตามพระมหาเทวีสั่ง พระมหาเทวีแลสมิงมะราหูจึงให้ไปตั้งพิธีดัสกรตั้งน้ำวงด้ายฟันไม้ข่มนาม ณ วัดสามบุญข้างทิศตะวันออกเมืองพะโค
ฝ่ายอาจารย์ของสมิงมะราหูจึงมาว่าแก่สมิงมะราหูว่า ที่วัดสามบุญนี้ก็เป็นที่ชัยภูมิดีอยู่จริง แต่ว่าจะข่มนามได้ก็แต่พระยาน้อย หาข่มนามมังกันจีด้วยไม่ ขอให้รื้อไปทำที่สวนกล้วยเป็นที่ชัยภูมิดีกว่านี้ ข่มได้ทั้งนามมังกันจีแลนามพระยาน้อยด้วย สมิงมะราหูก็สั่งให้รื้อโรงพิธีไปตั้ง ณ สวนกล้วยตามคำอาจารย์
ครั้นอยู่มา พระยาน้อยจึงตรัสใช้มังเทวะกับผู้มีชื่อสี่คนให้ขึ้นไปสอดแนมดูให้รู้ว่า กองทัพเมืองพะโคจะยกลงมาเมื่อใด มังเทวะกับผู้มีชื่อสี่คนกราบถวายบังคมลาพระยาน้อยแล้วก็พากันขึ้นไป ณ เมืองพะโค พอเวลาเย็นถึงวัดสามบุญ จึงเข้าไปอาศัยนอนในอาราม เห็นรอยคนตัดไม้เกลื่อนอยู่ มังเทวะจึงเข้าไปถามสมภารเจ้าอธิการว่า ที่นี่ใครมาทำอะไร จึงเห็นเศษไม้เกลื่อนอยู่ สมภารจึงบอกว่า ประสกไม่รู้หรือ บัดนี้ พระราชบุตรเขยพระเจ้าช้างเผือกมาทำพิธีดัสกรฟันไม้ข่มนาม จะยกกองทัพไปจับพระยาน้อย ณ เมืองตะเกิง ปลูกโรงยังมิทันแล้วเขาว่ากันว่า ที่นี่ไม่เป็นที่ชัยภูมิ ข่มได้แต่นามพระยาน้อย ไม่ข่มนามมังกันจีได้ด้วย เขาจึงเลิกไปทำการในสวนกล้วยหวังจะให้ข่มนามมังกันจีด้วย มังเทวะจึงถามสมภารว่า ซึ่งสมิงมะราหูไปตั้งพิธีดัสกรในสวนกล้วยนั้นเห็นจะมีชัยชนะแก่พระยาน้อยหรือ สมภารจึงว่า อันธรรมดาต้นกล้วยนั้นอายุมันก็ยืนอยู่แต่ปีเดียว ครั้นออกเครือแล้วเขาก็ฟันต้นเสีย แลซึ่งสมิงมะราหูจะให้ข่มนามมังกันจีนั้นก็จริง แต่ว่าข่มนามสมิงมะราหูด้วย อุปมาเหมือนสมิงมะราหูหยิบไฟก็ร้อนมือของตัวเอง ที่ไหนจะมีชัย เห็นจะแพ้แก่พระยาน้อยเป็นมั่นคง ประสากอย่าสงสัยเลย คอยดูไปเถิด มังเทวะได้ฟังสมภารว่าดังนั้นมีความยินดีนัก ก็อำลาพระสมภาร มังเทวะกับผู้มีชื่อสี่คนมาจากวัดสามบุญแล้วจึงมาพบหญิงคนหนึ่งชื่อ เม้ยตุละ ขับทำเพลงภาษารามัญว่า มิมะยามะจอกกวกกะเนาะกระเจิง ครุยวิดวะเริศเสมิดปะเตาเกวะสมิงเทิง สินรศเสิงอาดษรระสะเภาะปราบตรวงตุญตอดเตาะ สะเภาะบาวกรวงตุญะปาตะ แปลเป็นภาษาไทยว่า แมลงกลิ้งคูถจะใคร่เป็นแมลงภู่ทองนั้นดังหนึ่งบุคคลยกภูเขาอันหนักก็มิอาจที่จะยกได้ ธรรมเนียมกล้วยออกเครือแก่แล้วเขาตัดคอ ธรรมเนียมอ้อยเป็นหน่อแก่แล้วเขาฟันต้นเสีย แลคนห้าคนได้ยินเพลงขับดังนั้นแล้วก็จำจดหมายเอาถ้อยคำนั้นมา แล้วเที่ยวสืบข่าวราชการได้ที่อื่นอีกบ้าง ครั้นมาถึงเมืองตะเกิงจึงกราบทูลพระยาน้อยตามเนื้อความซึ่งท่านเจ้าอธิการวัดสามบุญบอกเหตุการณ์แลกล่าวคำทำนายกับคำซึ่งแม่หญิงขับนั้นเสร็จสิ้นทุกประการ
พระยาน้อยได้ทรงฟังดังนั้นแล้วจึงตรัสถามมังกันจีว่า ซึ่งสมภารทำนายเรานั้นยังจะจริงเหมือนดังว่าหรือ แลซึ่งสตรีร้องเพลงขับดังนั้นจะเป็นนิมิตร้ายดีประการใด มังกันจีจึงกราบทูลว่า ซึ่งถ้อยคำสมภารวัดสามบุญบอกเหตุการณ์แลทำนายนั้นถูกจริงทุกประการ แลคำซึ่งสตรีขับเป็นเพลงว่า อันแมลงกลิ้งคูถใคร่จะเป็นแมลงภู่ทองนั้น อุปมาดุจหนึ่งสมิงมะราหูอันปรารถนาใคร่จะเป็นกษัตริย์มีชาติอันสูงสุดนั้นก็จะไม่สมดังปรารถนา เปรียบประดุจแมลงกลิ้งคูถมีชาติอันลามกนั้นหรือจะมากลายเป็นแมลงภู่ทองได้ อันแมลงภู่ทองนั้นอุปมาดังพระองค์ซึ่งจะได้ดำรงราชสมบัติโดยภูมิประยุรสุริวงศ์สืบกันมาเป็นแท้ ซึ่งว่าเปรียบด้วยบุคคลยกภูเขาอันหนักนั้น คือ พระองค์เปรียบเหมือหนึ่งภูเขาอันหนักสูงใหญ่ในรามัญประเทศ สมิงมะราหูนั้นมิอาจจะยกแย่งยื้อทำลายพระองค์ได้ ซึ่งว่ากล้วยออกเครือแก่แล้วเขาตัดตอ อ้อยเป็นหน่อแก่แล้วเขาฟันต้น อันธรรมดาต้นกล้วยนั้นหาแก่นสารมิได้ ประดุจหนึ่งสมิงมะราหู ต้นอ้อยนั้นดุจหนึ่งพระมหาเทวี พระองค์เปรียบประดุจดังเจ้าของ ครั้นแก่แล้วก็ฟันเครือแลลำกินเสีย ถ้าว่าโดยศัพทนิมิตก็แต่ล้วนเป็นนิมิตดีทั้งนั้น เห็นว่า พระองค์จะได้เมืองพะโคเป็นแท้ดุจหนึ่งข้าพเจ้าทำนายดังนี้ พระยาน้อยได้ทรงฟังดังนั้นดีพระทัยนัก จึงพระราชทานขันทองคำใบหนึ่ง ผ้าลายขบวนผืนหนึ่ง ให้แก่มังกันจีเป็นบำเหน็จปาก แลคนห้าคนนั้นให้พระราชทานเสื้อครุยพุดทองคนละสำรับ แล้วพระยาน้อยจึงตรัสปรึกษาด้วยมังกันจีแลพ่อมอญนายทัพนายกองทั้งปวงว่า สมิงมะราหูเป็นแม่ทัพเกือบจะยกมาอยู่แล้ว เราจะประชุมพลให้พร้อมไว้
ฝ่ายพระมหาเทวี ตั้งแต่พระเจ้าช้างเผือกทรงพระประชวรหนักมาเสด็จออกว่าราชการมิได้ ก็ปลงธุรการแผ่นดินไว้แก่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ ราชการแผ่นดินในเมืองพะโคแลขุนนางน้อยใหญ่ทั้งปวงก็สิทธิ์ขาดอยู่ในบังคับบัญชาพระมหาเทวีสิ้น พระมหาเทวีจะกระทำการสิ่งใดก็อ้างเอารับสั่งพระเจ้าช้างเผือกเป็นประมาณ ครั้นกองทัพทั้งสองเมืองมาถึงพร้อมกันแล้ว เจ้าเมืองทั้งสองก็เข้าเฝ้าพระมหาเทวีพร้อมกัน พระมหาเทวีจึงสั่งให้เลี้ยงดูเจ้าเมืองทั้งสองนายทัพนายกองไพร่พลทั้งปวง เสร็จแล้วจึงตรัสว่า พระเจ้าแผ่นดินมีพราชโองการดำรัสสั่งให้รีบยกไปจับพระยาน้อยเสียให้ได้ พระนางจึงทรงตั้งให้สมิงมะราหูเป็นแม่ทัพใหญ่ทัพหนึ่ง แลจัดให้สมิงชีพรายซึ่งเป็นเสนาบดีในเมืองพะนั้นเป็นแม่ทัพทัพหนึ่ง กอปรด้วยทัพเมืองมองมะละ เมืองตองอู เป็นสี่ทัพ พร้อมด้วยเครื่องสรรพาวุธช้างม้ารี้พลเป็นอันมาก แลกองทัพทั้งนั้นให้มีธงรูปพระยาช้างเผือกเป็นศรีเมืองเมาะตะมะนั้นปักไปเป็นสำคัญทุกทำ แต่กองทัพสมิงมะราหูนั้นมีทั้งธงช้างแลธงรูปพระราหูซึ่งเป็นเจ้าอสูร ครั้นถึงวันฤกษ์ สมิงมะราหูผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ถืออาญาสิทธิ์เด็ดขาดนั้นก็แต่งกายนุ่งห่มให้ต้องศรีตามตำราพิชัยสงครามตามเพศรามัญสงครามแก่ศักดิ์ราชบุตรเขยพระเจ้าช้างเผือก สอดสนองพระองค์ลายทองรูปเทพพนามกระหนกเครือวัลย์สองชั้น ใส่เกราะทองลงเลขยันต์มนตราคมทับถมด้วยวิชาศาสตร์ โพกพระเศียรด้วยผ้าโกไสยลายทองปักรูปจักรเพชรแลรูปพระอาทิตย์เฉลิมยันต์ยอดมกุฎประกอบวิทยาคมเลขยันต์อักษรทั้งสี่มุมสำหรับศาสตรามิให้ต้องกาย เหน็บพระแสงกระบี่ สะพายพระแสงเกาทัณฑ์ จึงเข้าไปทูลลาพระมหาเทวี พระมหาเทวีก็อำนวยชัยให้พร ครั้นได้ศุภฤกษ์โชคยามเวลาแล้ว กองทัพเจ้าเมืองทั้งสองเป็นกองหน้าก็คุมพลทหารยกไปก่อน
ฝ่ายสมิงมะราหูแม่ทัพหลวงก็ขึ้นช้างพลายเทพหัสดีเป็นคชาธาร สั่งให้ลั่นฆ้องโบกธงเอาชัย เคลื่อนพลนิกายออกจากเมืองพะโค กองทัพสมิงชีพรายเป็นกองหลังก็ยกตามไป เสียงสนั่นกึกก้องด้วยฆ้องกลอง ดูดาษไสวไปด้วยธงเทียวเขียวเหลืองขาวแดงทุกกองทัพ ครั้นกองทัพหน้ายกมาใกล้ด่านเมืองตะเกิงซึ่งพระยาน้อยตั้งไว้ให้รักษาอยู่นั้น ชาวด่านรู้ว่ากองทัพใหญ่ยกมา ประมาณพลเห็นมาก จะต้านทานมิได้ ก็อพยพครอบครัวเข้าป่า แล้วแต่งให้ม้าเร็วรีบถือหนังสือไปทูลแจ้งแก่พระยาน้อยว่า บัดนี้ กองทัพเมืองพะโคยกมาเป็นสี่ทัพ พระยาน้อยได้แจ้งดังนั้นก็หวั่นพระทัยจึงสั่งนายทัพนายกองทั้งปวงให้เร่งขับพลทหารขึ้นประจำรักษาหน้าที่เชิงเทินประตูหอรบไว้ให้มั่นคงเป็นสามารถ ครั้นกองทัพหน้ายกมาถึงก็ให้ตั้งค่ายห่างเมืองประมาณยี่สิบเส้น พอกองทัพหลวงกองทัพหลังยกมาถึงเป็นลำดับกันก็ให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้ แล้วสมิงมะราหูแม่ทัพใหญ่จึงบังคับให้กองทัพทั้งปวงเข้าล้อมเมืองตะเกิงไว้เป็นสี่ด้านให้มั่นคงหวังมิให้พระยาน้อยหนีไป แลขณะเมื่อสมิงมะราหูยกกองทัพไปนั้น พ่อขวัญเมือง ราชบุตรพระเจ้าช้างเผือก ประชวรไข้ทรพิษถึงแก่พิราลัย
ฝ่ายพระยาน้อยแจ้งว่า กองทัพยกมาล้อมเมืองไว้แน่นหนาดังนั้นแล้วจึงให้หาพ่อมอญ มังกันจีมาปรึกษาว่า บัดนี้ กองทัพมาล้อมเมืองเราไว้ทั้งสี่ด้านคับขันมั่นคงนัก เราจะคิดรบพุ่งประการใด พ่อมอญแลมังกันจีจึงกราบทูลว่า ศึกครั้งนี้มีกำลัง ครั้นจะยกออกตีสมิงมะราหู บัดนี้เล่า กำลังศึกยังหนักนัก เห็นจะไม่ได้ชัยชนะก่อน จำจะคิดผ่อนผันด้วยกลอุบายจึงจะได้ มังกันจีผู้เดียวกราบทูลว่า ข้าพเจ้าคิดกลศึกไว้อย่างหนึ่งเรียกว่า กลราชปัญญา ถ้ากระทำตามกลอันนี้แล้ว ถึงข้าศึกมีกำลังรี้พลมากก็คงจะแพ้แก่ปัญญา เห็นจะได้ชัยชนะเป็นแท้ พระยาน้อยจึงตรัสถามว่า ซึ่งกลสงครามเรียกว่า ราชปัญญา นั้นคือทำเป็นประการใด มังกันจีจึงทูลว่า ข้าพเจ้าจะให้นิมนต์พระอาจารย์มะเป็งท่านออกไปฟังดูกองทัพสมิงมะราหูแลกองทัพสมิงชีพราย แล้วจึงให้ไปเจรจาว่ากล่าวด้วยกองทัพเมืองตองอูแลกองทัพเมืองมองมะละบอกเหตุผลให้รู้แล้ว เห็นกองทัพทั้งสองเมืองจะหาอยู่ไม่ จะยกกลับไป ถ้ากองทัพเมืองตองอูเมืองมองมะละยกเลิกไปแล้ว กำลังศึกก็จะน้อยลง เราจึงยกออกหักหาญซ้ำเติมเอาต่อภายหลัง ก็จะได้ชัยชนะโดยง่ายด้วยอุบายปัญญาผ่อนปรนดังนี้
พระยาน้อยเห็นชอบด้วยจึงตรัสว่า ซึ่งท่านคิดผ่อนกำลังศึกอันกล้าแข็งให้อ่อนน้อมลงดังนี้ก็ดีอยู่ เราจะทำตามคำท่านทุกประการ จึงตรัสใช้ให้พ่อมอญไปนิมนต์พระอาจารย์มะเป็งเข้ามา จึงตรัสแก่พระอาจารย์มะเป็งว่า บัดนี้ ศึกมาล้อมเมืองไว้แน่นหนานัก เห็นสมณชีพราหมณราษฎรชาวเมืองจะพลอยได้ความเดือดร้อน ครั้งนี้ข้าพเจ้าไม่เห็นใครจะช่วยผ่อนผันกำลังศึกได้ เห็นแต่พระคุณเจ้าผู้เดียวมีสติปัญญาสามารถฉลาดทั้งคดีโลกคดีธรรมทั้งจะได้ช่วยแนะนำรับธุระให้สำเร็จได้ พระคุณเจ้าอย่าว่าใช้ว่าวานเลย จงคิดว่าได้กรุณาสงเคราะห์แก่สมณชีพราหมณประชาราษฎรทั้งปวงเถิด ข้าพเจ้าจะนิมนต์พระคุณเจ้าออกไปเจรจาด้วยสมิงมะราหูแลกองทัพทั้งปวง จะได้หรือมิได้ประการใด พระอาจารย์มะเป็งจึงถวายพระพรว่า การเพียงนี้ไม่ยากนัก อย่าว่าแต่มหาบพิตรจะให้รูปไปหากองทัพเท่านี้เลย ถึงจะให้รูปเข้าไปในกองเพลิงแลป่าเสือป่าราชสีห์ที่ร้ายนั้นก็ดี แต่ว่าเป็นประโยชน์แก่พระองค์แล้ว อาตมภาพก็จะสู้อาสาไปให้สำเร็จดังพระทัยประสงค์ของพระองค์จงได้
พระยาน้อยได้ฟังพระอาจารย์มะเป็งรับอาสาแข็งแรงดังนั้นมีพระทัยยินดีนัก จึงตรัสว่า ข้าขอบใจพระคุณเจ้าเป็นที่สุดแล้ว ถ้ากระนั้น นิมนต์พระคุณเจ้าจงออกไปหาสมิงมะราหูดูกำลังกองทัพแลกิริยาอาการสมิงมะราหูจะเป็นประการใด แล้วพระคุณเจ้าจงไปหาทัพสมิงชีพราย แลทัพเมืองตองอู กับทัพสมิงเลิกพร้า เมืองมองมะละ บอกว่า ซึ่งมีรับสั่งสมเด็จพระราชบิดามาว่า ข้าเป็นขบถต่อพระราชบิดา จึงให้ยกกองทัพลงมาจับข้านั้น จะได้เป็นรับสั่งของพระราชบิดาหามิได้ พระมหาเทวีกับสมิงมะราหูเป็นชู้กันคิดแต่งหนังสือแอบรับสั่งพระราชบิดาให้ยกกองทัพมาจับข้าทั้งนี้ ข้าจะได้เป็นขบถต่อพระราชบิดาหามิได้ แลพระมหาเทวีคิดอ่านทั้งนี้หวังจะเอาราชสมบัติให้แก่สมิงมะราหู พระคุณเจ้าจงคิดอ่านว่ากล่าวให้นายทัพนายกองทั้งปวงโกรธแก่พระมหาเทวีแลสมิงมะราหู แต่พระคุณเจ้าจะเอาสิ่งใดไปบ้างก็บอกมา ข้าพเจ้าจะได้ให้จัดหาถวายไป พระอาจารย์มะเป็งถวายพระพรว่า อาตมภาพไม่ต้องรับพระราชทานของสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป จะเอาแต่ลมปากของอาตมภาพนี้เป็นเครื่องราชบรรณาการไปให้สมิงมะราหู ซึ่งกองทัพทั้งสองนั้น อาตมภาพจะขออาสารบสู้ด้วยเพลงอาวุธคือลมปาก มิให้ยากแก่ทแกล้วทหาร จะให้กองทัพเหล่านั้นเลิกไปจงได้ อย่าทรงพระวิตกเลย พระยาน้อยได้ทรงฟังดังนั้นดีพระทัยนัก ยิ้มแล้วตรัสอำนวยชัยว่า ให้สมดังปากพระคุณว่าเถิด พระอาจารย์มะเป็งก็ถวายพระพรลามาแจ้งความแก่นายทัพนายกองทั้งปวง
ฝ่ายนายกองผู้รักษาหน้าที่ด้านตรงสมิงมะราหูอยู่นั้นรู้ในกระแสรับสั่งแน่แล้วก็นิมนต์พระอาจารย์มะเป็งลงนั่งในสาแหรกเอาเชือกหย่อนลงไปนอกกำแพงเมือง พระอาจารย์มะเป็งก็ออกไปยังกองทัพสมิงมะราหูแต่ผู้เดียว ฝ่ายทหารในกองทัพหลวงเที่ยวตระเวนอยู่รอบค่าย ครั้นเห็นพระอาจารย์มะเป็งมาผู้เดียวดูประหลาดอยู่ก็ชวนกันตรูเข้าไปซักถาม ครั้นแจ้งความแล้วก็พาพระอาจารย์มะเป็งเข้าไป ให้ยับยั้งอยู่นอกค่าย จึงเข้าไปแจ้งความแก่สมิงมะราหู สมิงมะราหูได้แจ้งดังนั้นก็ยินดีเพราะอยากจะใคร่ฟังข่าวพระยาน้อย จึงสั่งทหารให้กลับออกไปนิมนต์พระอาจารย์มะเป็งเข้ามา ครั้นพระอาจารย์มะเป็งมาถึงแล้ว สมิงมะราหูจึงสั่งให้เอาจำลองแดงแคร่ถักด้วยด้ายมาให้พระอาจารย์มะเป็งนั่ง แต่พอพระเถรมะเป็งขึ้นนั่ง ด้ายนั้นขาด จำลองก็พลอยทำลายลงด้วย เป็นทั้งนี้เพราะบอกเหตุลางร้ายว่า กองทัพสมิงมะราหูจะแตกไป สมิงมะราหูเห็นดังนั้นจึงให้เอาจำลองทองมาให้พระเถรมะเป็งนั่ง ครั้นพระอาจารย์มะเป็งนั่งเป็นปรกติแล้ว สมิงมะราหูจึงประนมหัตถ์เคารพถามว่า พระคุณเจ้าออกมาด้วยกิจอันใด พระอาจารย์มะเป็งจึงถวายพระพรว่า อาตมภาพออกมาเฝ้ามหาบพิตรด้วยธุระพระยาน้อย สมิงมะราหูจึงแสร้งถามว่า ตั้งแต่พระยาน้อยมาอยู่ ณ เมืองตะเกิงนี้ยังค่อยเป็นสุขอยู่หรือประการใด พระอาจารย์มะเป็งถวายพระพรว่า พระยาน้อยมาอยู่ในเมืองตะเกิงนี้หามีความสุขไม่ แต่ภาชนะทองจะรองของเสวยนั้นก็ขัดสน คิดเรรวนอยู่ ครั้นจะกลับไปเมืองพะโคเล่า ตัวได้ทำความผิดแล้วก็กลัวอยู่ จึงมิอาจกลับไปได้ สมิงมะราหูจึงว่า ข้าทุกวันนี้รักใคร่พระยาน้อยเหมือนหนึ่งร่วมชีวิตเดียวกัน แต่พระเจ้าช้างเผือกอันเป็นพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงพระโกรธนัก ตรัสใช้ให้ยกกองทัพมา ครั้นจะมิมา ขัดพระราชโองการมิได้ จนใจอยู่ก็จำมา แลพระมหาเทวีพระเจ้าป้านั้นยังคิดถึงพระยาน้อยอยู่ มีพระเสาวนีย์ส่งมาว่า ถ้าพระยาน้อยรู้ตัวว่าทำผิด แม้นออกมาหาโดยดีแล้วก็ให้พามาเถิด พระเจ้าป้าจะช่วยทูลขอโทษให้ แลพระคุณเจ้าจงโปรดไปบอกพระยาน้อยตามคำซึ่งข้าบอกไปนี้ ให้พระยาน้อยออกมาหาข้าพเจ้าเถิด อย่าได้มีความรังเกียจสิ่งใดสิ่งหนึ่งเลย ข้าจะพาไปเฝ้าพระเจ้าช้างเผือกช่วยทูลขอโทษเสีย อย่าให้ยากแก่ทะแกล้วทหารไพร่บ้านพลเมืองเดือดร้อนเลย
พระอาจารย์มะเป็งได้ฟังดังนั้นก็รู้เท่าว่า สมิงมะราหูแต่งลิ้นลมเอาใจดีต่อ หวังจะล่อลวงให้พระยาน้อยหลง จึงแสร้งทำเป็นยินดีถวายพระพรว่า ซึ่งพระยาน้อยให้อาตมภาพออกมาสืบดูทั้งนี้ก็ประสงค์จะใคร่ทราบซึ่งข่าวดีแลร้าย บัดนี้ ได้ทราบซึ่งข่าวดีแล้วว่า มหาบพิตรแลพระเจ้าป้ายังมีไมตรีจิตรักใคร่พระยาน้อยอยู่เป็นอันมาก อาตมภาพก็พลอยยินดีด้วย อาตมภาพจะกลับเข้าไปแจ้งความแก่พระยาน้อยให้พระยาน้อยออกมาสารภาพรับผิดมหาบพิตรจงได้ พระอาจารย์มะเป็งจึงถวายพระพรลาสมิงมะราหูไปยังกองทัพสมิงชีพราย สมิงชีพรายเห็นจึงถามว่า พระชีต้นมาด้วยกิจสิ่งใด พระอาจารย์มะเป็งก็บอกแก่สมิงชีพรายตามรับสั่งพระยาน้อยซึ่งสั่งมาให้ว่านั้นทุกประการ
สมิงชีพรายได้ฟังแล้วจึงว่า พระชีต้นกลับเข้าไปถวายพระพรแก่พระราชบุตรเถิดว่า ข้าพเจ้า สมิงชีพราย กราบถวายบังคมมาแทบฝ่าพระบาทพระราชบุตรพระเจ้าช้างเผือก ด้วยการทั้งปวงนี้แจ้งอยู่ในพระทัยของพระลูกเจ้ามาแต่ก่อนแล้ว อย่าให้ทรงพระวิตกเลย ข้าพเจ้าพระช่วยไปกว่าจะสำเร็จการของพระลูกเจ้าจงได้ ครั้นแล้ว พระอาจารย์มะเป็งก็ลามากองทัพสมิงเลิกพร้า เจ้ามืองมองมะละ ว่ากล่าวให้สมิงเลิกพร้าฟังดุจว่าแก่สมิงชีพรายทุกประการ แล้วบอกว่า พระตะบะ เจ้ามืองเมาะตะมะ ได้ทราบเหตุดังนี้แล้วก็หายกทัพมาไม่ ครั้นสมิงเลิกพร้าได้ฟังพระอาจารย์มะเป็งว่าดังนั้นแล้วดูกองทัพเมืองเมาะตะมะก็ไม่ยกมาสมคำพระอาจารย์มะเป็งว่า สมิงเลิกพร้าก็โกรธจึงว่าหยาบช้าไปถึงพระมหาเทวีว่า สตรีชั่วนี้น้ำใจกระนั้นเจียวหนอ เมื่อเป็นชู้กันกับเด็กหามีความอายไม่ คิดจะฆ่าลูกหลานเสียไม่คิดว่าเป็นญาติวงศ์เชื้อสายของตน อนึ่ง ทัพเราก็ได้สัญญาไว้ว่า ถ้าพระเจ้าช้างเผือกสวรรคตแล้วจะเอาราชสมบัติให้แก่เรา บัดนี้ ได้ผัวหนุ่มชุ่มชื่นน้ำใจแล้วแต่งกลอุบายมาลวงใช้เรา จะเอาราชสมบัติให้แก่สมิงมะราหูอีกเล่า พระมหาเทวีนี้เป็นหญิงใจโลเลหาดีไม่ แล้วจึงสั่งพระเถรมะเป็งว่า นิมนต์พระชีต้นกลับไปแจ้งแก่พระราชบุตรพระเจ้าช้างเผือกเถิดว่า แต่เดิมนั้นโยมสำคัญว่าเป็นกำหนดของพระเจ้าช้างเผือกจริงจึงยกมา บัดนี้ รู้แล้วจะอยู่ทำการไปไยมี โยมก็จะเลิกทัพกลับไป อย่าให้พระราชบุตรพระเจ้าช้างเผือกทรงพระวิตกในกองทัพโยมนี้เลย พระอาจารย์มะเป็งก็ลาสมิงเลิกพร้ามาหากองทัพเมืองตองอูเล่าคดีให้ฟังดุจบอกเล่าแก่สมิงเลิกพร้าแต่หลังนั้น แล้วว่า กองทัพเมืองเมาะตะหมาะเขารู้การฉะนี้แล้ว ก็ได้แต่มาบัดนี้กองทัพเมืองมองมะละก็เลิกกลับไปแล้ว พระยาตองอูได้ฟังพระอาจารย์มะเป็งบอกดังนั้นก็โกรธพระมหาเทวีว่าลวงใช้ จึงตอบว่า ถ้ากองทัพเมืองมองมะละเขาเลิกไปแล้วโยกก็จะเลิกไปด้วยกัน อย่าให้พระราชบุตรพระเจ้าช้างเผือกทรงพระวิตกเลย
ฝ่ายพระอาจารย์มะเป็งเที่ยวบอกแก่นายทัพนายกองทั้งปวงเสร็จแล้วก็กลับเข้ามาเมืองตะเกิง ครั้นมาเห็นพระยาน้อยเสด็จออกพร้อมด้วยขุนนางที่ปรึกษาทแกล้วทหารทั้งปวง พระมะเป็งก็เดินยิ้มเข้ามาแต่ไกล พระยาน้อยเห็นพระมะเป็งเดินยิ้มเข้ามาดังนั้นก็พลอยดีพระทัย อาราธนาให้นั่งในที่สมควร แล้วจึงตรัสถามว่า พระคุณเจ้าออกไปหากองทัพนั้นได้เนื้อความสมคะเนที่คิดไว้หรือประการใด เห็นจะเหมือนปากกว่าแลกระมังจึงเดินยิ้มเข้ามา ข้าพเจ้าเห็นเป็นอัศจรรย์งามนักหนา พระอาจารย์มะเป็งจึงถวายพระพรว่า อาตมภาพไปวันนี้ได้ท่วงทีชอบกลนัก แล้วก็ได้ชัยนิมิตมงคลใหญ่หลวงด้วย เมื่ออาตมภาพไปถึงนั้น สมิงมะราหูให้เอาจำลองแดงพื้นแคร่ถักด้วยด้ายมาให้นั่ง ครั้นขึ้นนั่ง พื้นนั้นขาดลง ทั้งจำลองนั้นก็พลอยหักทำลายลงด้วย
ปกหลัง ขึ้น
ขออวยพรประชาชาว | ในแดนดาวภพสยาม | |
ชื่อราษฎร์เจริญนั้นฉันบอกนาม | ซื้อไว้อ่านตามบ้านเรือน |
จงสุโขเจริญยิ่ง | สรรพสิ่งใครอย่าเหมือน | |
กว่าจะสูญสิ้นดาวเดือน | ตลอดแดนพุทธันดร |
เกิดชาติใดให้มีสุข | อันความทุกข์นิราศจร | |
จริงดังข้าอวยพร | ให้ถาวรตลอดกัลป์ |
สุขทรัพย์นับอนันต์ | อเนกยิ่งทุกสิ่งเอย | |