วรรณกรรมต่างเรื่อง/เรื่องที่ 1
บทละคร เรื่อง ระเด่นลันได ถ้าอ่านโดยไม่ทราบเค้ามูล ก็คงจะเข้าใจว่า เป็นบทแต่งสำหรับเล่นละครตลก แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น หนังสือ เรื่อง ระเด่นลันได นี้ ที่แท้เป็นจดหมายเหตุ หากผู้แต่งประสงค์จะจดให้ขบขันสมกับเรื่องที่จริง จึงแกล้งแต่งเป็นบทละครสำหรับอ่านกันเล่น หาได้ตั้งใจจะให้ใช้เป็นบทเล่นละครไม่
เรื่อง ระเด่นลันได เป็นหนังสือแต่งในรัชกาลที่ ๓ เล่ากันมาว่า ครั้งนั้น มีแขกคนหนึ่งชื่อ ลันได ทำนองจะเป็นพวกฮินดูชาวอินเดีย ซัดเซพเนจรเข้ามาอาศัยอยู่ที่ใกล้โบสถ์พราหมณ์ในกรุงเทพฯ เที่ยวสีซอขอทานเขาเลี้ยงชีพเป็นนิจ พูดภาษาไทยก็มิใคร่ได้ หัดร้องเพลงขอทานได้เพียงว่า "สุวรรณหงส์ถูกหอกอย่าบอกใคร บอกใครก็บอกใคร" ร้องทวนอยู่แต่เท่านี้ แขกลันไดเที่ยวขอทานจนคนรู้จักกันโดยมาก ในครั้งนั้น มีแขกอีกคน ๑ เรียกกันว่า แขกประดู่ ทำนองก็จะเป็นคนชาวอินเดียเหมือนกัน ตั้งคอกเลี้ยงวัวนมอยู่ที่หัวป้อม (อยู่ราวที่สนามหน้าศาลสถิตยุติธรรมทุกวันนี้) มีภรรยาเป็นหญิงแขกมลายูชื่อ ประแดะ อยู่มา แขกลันไดกับแขกประดู่เกิดวิวาทกันด้วยเรื่องแย่งหญิงมลายูนั้นโดยทำนองที่กล่าวในเรื่องละคร คนทั้งหลายเห็นเป็นเรื่องขบขัน ก็โจษกันแพร่หลาย พระมหามนตรี (ทรัพย์) ทราบเรื่อง จึงคิดแต่งเป็นบทละครขึ้น
พระมหามนตรี (ทรัพย์) นี้ เป็นกวีที่สามารถในกระบวนแต่งกลอนแปด จะหาตัวเปรียบได้โดยยาก แต่มามีชื่อเสียงโด่งดังในการแต่งกลอนต่อเมื่อถึงแก่กรรมแล้ว เพราะเมื่อมีชีวิตอยู่ ไม่ใคร่พอใจแต่งโดยเปิดเผย หนังสือซึ่งพระมหามนตรี (ทรัพย์) ได้ออกหน้าแต่ง มีปรากฎแต่โคลงฤๅษีดัดตน บท ๑ กับเพลงยาวกลบทชื่อ กบเต้นสามตอน (ซึ่งขึ้นต้นว่า "เจ็บคำจำคิดจิตขวย") บท ๑ เท่านั้น ที่พระมหามนตรี (ทรัพย์) มีชื่อเสียงสืบต่อมาจนรัชกาลหลัง ๆ เพราะแต่งหนังสืออีก ๒ เรื่อง คือ เพลงยาวแต่งว่าพระยามหาเทพ (ทองปาน) เมื่อยังเป็นจมื่นราชามาตย์ เรื่อง ๑ กับบทละคร เรื่อง ระเดนลันได นี้ เรื่อง ๑
เพลงยาวว่าพระยามหาเทพ (ทองปาน) นั้น เล่ากันมาว่า เป็นแต่ลอบแต่ง แล้วเขียนมาปิดไว้ที่ทิมดาบตำรวจในพระบรมมหาราชวัง ผู้อื่นเห็นก็รู้ว่า เป็นฝีปากพระมหามนตรี (ทรัพย์) แต่ไม่มีผู้ใดฟ้องร้องว่ากล่าว มีแต่ผู้ลอกคัดเอาไป (แล้วเห็นจะเลยฉีกทิ้งต้นหนังสือเสีย จึงไม่เกิดความฐานทอดบัตรสนเท่ห์) ด้วยครั้งนั้น มีคนชังพระยามหาเทพ (ทองปาน) อยู่มากด้วยกัน เพลงยาวนั้นก็เลยแพร่หลาย หอสมุดได้พิมพ์เพลงยาวนั้นไว้ในหนังสือวชิรญาณวิเศษ เล่ม ๓ ประจำปีกุน จุลศักราช ๑๒๔๙ (พ.ศ. ๒๔๓๐)
ส่วนบทละคร เรื่อง ระเด่นลันได เหตุที่แต่งเป็นดังอธิบายมาข้างต้น ถ้าผู้อ่านสังเกตจะเห็นได้ว่า ทางสำนวนแต่งดีทั้งกระบวนบทสุภาพและวิธีที่เอาถ้อยคำขบขันเข้าสอดแซม บางแห่งกล้าใช้สำนวนต่ำช้าลงไปให้สมกับตัวบท แต่อ่านก็ไม่มีที่จะเขินเคอะในแห่งใด เพราะฉะนั้น จึงเป็นหนังสือซึ่งชอบอ่านกันแพร่หลายตั้งแต่แรกแต่งตลอดมาจนในรัชกาลหลัง ๆ นับถือกันว่า เป็นหนังสือกลอนชั้นเอกเรื่อง ๑
บทละคร เรื่อง ระเด่นลันได นี้ มีผู้เคยพิมพ์มาแล้ว แต่ฉบับที่พิมพ์มาแต่ก่อนวิปลาสคลาดเคลื่อน และมีผู้อื่นแต่งแทรกแซมเพิ่มเติมอีกเป็นอันมากจนวิปริตผิดรูปฉบับเดิม กรรมการหอพระสมุดฯ เห็นว่า บทละคร เรื่อง ระเด่นลันได นับว่า เป็นเรื่องสำคัญในหนังสือกลอนไทยเรื่อง ๑ ซึ่งสมควรจะรักษาไว้ให้บริสุทธิ์ จึงได้พยายามหาฉบับมาแต่ที่ต่าง ๆ สอบชำระแล้วพิมพ์ไว้ในสมุดเล่มนี้
แต่เสียดายอยู่ที่บทตอนท้ายในเล่มนี้ยังขาดฉบับเดิมอยู่สักสามฤๅสี่หน้ากระดาษ เนื้อเรื่องที่ขาดเพียงใดจะอธิบายบอกไว้ท้ายเล่มสมุด เผื่อท่านผู้ใดมีฉบับบริบูรณ์ ถ้ามีแก่ใจคัดส่งมายังหอพระสมุดฯ หรือให้ยืมต้นฉบับมาให้พระสมุดฯ คัดได้ จะขอบพระคุณเป็นอันมาก
- ดำรงราชานุภาพ สภานายก
- หอพระสมุดวชิรญาณ
- วันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๖๓
ช้าปี่ | ||
๏มาจะกล่าวบทไป | ถึงระเด่นลันไดอนาถา | |
เสวยราชย์องค์เดียวเที่ยวรำภา | ตามตลาดเสาชิงช้าหน้าโบสถ์พราหมณ์ | |
อยู่ปราสาทเสาคอดยอดด้วน | กำแพงแก้วแล้วล้วนด้วยเรียวหนาม | |
มีทหารหอนเห่าเฝ้าโมงยาม | คอยปราบปรามประจามิตรที่คิดร้าย | |
ฯ ๔ คำ ฯ | ||
๏เที่ยวสีซอขอข้าวสารทุกบ้านช่อง | เป็นเสบียงเลี้ยงท้องของถวาย | |
ไม่มีใครชังชิงทั้งหญิงชาย | ต่างฝากกายฝากตัวกลัวบารมี | |
พอโพล้เพล้เวลาจะสายัณห์ | ยุงชุมสุมควันแล้วเข้าที่ | |
บรรทมเหนือเสื่อลำแพนแท่นมณี | ภูมีซบเซาเมากัญชา | |
ฯ ๔ คำ ฯ | ||
ร่าย | ||
๏ครั้นรุ่งแสงสุริยันตะวันโด่ง | โก้งโค้งลงในอ่างแล้วล้างหน้า | |
เสร็จเสวยข้าวตังกับหนังปลา | ลงสระสรงคงคาในท้องคลอง | |
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ | ||
ชมตลาด | ||
๏กระโดดดำสามทีสีเหื่อไคล | แล้วย่างขึ้นบันไดเข้าในห้อง | |
ทรงสุคนธ์ปนละลายดินสอพอง | ชโลมสองแก้มคางอย่างแมวคราว | |
นุ่งกางเกงเข็มหลงอลงกรณ์ | ผ้าทิพย์อาภรณ์พื้นขาว | |
เจียระบาดเสมียนละว้ามาแต่ลาว | ดูราวกับหนังแขกเมื่อแรกมี | |
สวมประคำดีควายตะพายย่าม | หมดจดงดงามกว่าปันหยี | |
กุมตระบองกันหมาจะราวี | ถือซอจรลีมาตามทาง | |
ฯ ๖ คำ ฯ เพลงช้า | ||
ร่าย | ||
๏มาเอยมาถึง | เมืองหนึ่งสร้างใหม่ดูใหญ่กว้าง | |
ปราสาทเสาเล้าหมูอยู่กลาง | มีคอกโคอยู่ข้างกำแพงวัง | |
พระเยื้องย่างเข้าทางทวารา | หมู่หมาแห่ห้อมล้อมหน้าหลัง | |
แกว่งตระบองป้องปัดอยู่เก้กัง | พระทรงศักดิ์หยักรั้งคอยราญรอน | |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด | ||
๏เมื่อนั้น | นางประแดะหูกลวงดวงสมร | |
ครั้นรุ่งเช้าท้าวประดู่ภูธร | เสด็จจรจากเวียงไปเลี้ยงวัว | |
โฉมเฉลาเนาในที่ไสยา | บรรจงหั่นกัญชาไว้ท่าผัว | |
แล้วอาบน้ำทาแป้งแต่งตัว | หวีหัวหาเหาเกล้าผมมวย | |
ได้ยินแว่วสำเนียงเสียงหมาเห่า | คิดว่าวัวเข้าในสวนกล้วย | |
จึงออกมาเผยแกลอยู่แร่รวย | ตวาดด้วยสุรเสียงสำเนียงนาง | |
พอเหลือบเห็นระเด่นลันได | อรไทผินผันหันข้าง | |
ชม้อยชม้ายชายเนตรดูพลาง | ชะน้อยฤๅรูปร่างราวกับกลึง | |
งามกว่าภัสดาสามี | ทั้งเมืองตานีไม่มีถึง | |
เกิดกำหนัดกลัดกลุ้มรุมรึง | นางตะลึงแลดูพระภูมี | |
ฯ ๑๐ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | พระสุวรรณลันไดเรืองศรี | |
เหลียวพบสบเนตรนางตานี | ภูมีพิศพักตร์ลักขณา | |
ฯ ๒ คำ ฯ | ||
ชมโฉม | ||
๏สูงระหงทรงเพรียวเรียวรูด | งามละม้ายคล้ายอูฐกะหลาป๋า | |
พิศแต่หัวจรดเท้าขาวแต่ตา | ทั้งสองแก้มกัลยาดังลูกยอ | |
คิ้วก่งเหมือนกงเขาดีดฝ้าย | จมูกละม้ายคล้ายพร้าขอ | |
หูกลวงดวงพักตร์หักงอ | ลำคอโตตันสั้นกลม | |
สองเต้าห้อยตุงดังถุงตะเคียว | โคนเหี่ยวแห้งรวบเหมือนบวบต้ม | |
เสวยสลายาจุกพระโอษฐ์อม | มันน่าเชยน่าชมนางเทวี | |
ฯ ๖ คำ ฯ | ||
ร่าย | ||
๏นี่จะเป็นลูกสาวท้าวพระยา | ฤๅว่าเป็นพระมเหสี | |
อกใจทึกทักรักเต็มที | ก็ทรงสีซอสุวรรณขึ้นทันใด | |
ฯ ๒ คำ ฯ | ||
พัดชา | ||
๏ยักย้ายร่ายร้องเป็นลำนำ | มีอยู่สองสามคำจำไว้ได้ | |
สุวรรณหงษ์ถูกหอกอย่าบอกใคร | ถูกแล้วกลับไปได้เท่านั้น | |
ฯ ๒ คำ ฯ | ||
ร่าย | ||
๏แล้วซ้ำสีอิกกระดิกนิ้ว | ทำยักคิ้วแลบลิ้นเล่นขบขัน | |
เห็นโฉมยงหัวร่ออยู่งองัน | พระทรงธรรม์ทำหนักชักเฉื่อยไป | |
ฯ ๒ คำ ฯ มโหรี | ||
๏เมื่อนั้น | นางประแดะตานีศรีใส | |
สดับเสียงสีซอพอฤทัย | ให้วาบวับจับใจผูกพัน | |
ยิ่งคิดพิศวงพระทรงศักดิ์ | ลืมรักท้าวประดู่ผู้ผัวขวัญ | |
ทำไฉนจะได้พระทรงธรรม์ | มาเคียงพักตร์สักวันด้วยรักแรง | |
คิดพลางทางเข้าไปในห้อง | แล้วตักเอาข้าวกล้องมาสองแล่ง | |
ค่อยประจงลงใส่กระบะแดง | กับปลาสลิดแห้งห้าหกตัว | |
แล้วลงจากบันไดมิได้ช้า | เข้ามานอบนบจบเหนือหัว | |
เอาปลาใส่ย่ามด้วยความกลัว | แล้วยอบตัวลงบังคมก้มพักตรา | |
ฯ ๘ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | ลันไดให้แสนเสนหา | |
อะรามรักยักคิ้วหลิ่วตา | พูดจาลดเลี้ยวเกี้ยวพาน | |
ฯ ๒ คำ ฯ | ||
โอ้โลม | ||
๏งามเอยงามปลอด | ชีวิตพี่นี้รอดด้วยข้าวสาร | |
เป็นกุศลดลใจเจ้าให้ทาน | เยาวมาลย์แม่มีพระคุณนัก | |
พี่ขอถามนามท้าวเจ้ากรุงไกร | ชื่อเรียงเสียงไรไม่รู้จัก | |
เจ้าเป็นพระมเหสีที่รัก | ฤๅนงลักษณ์เป็นราชธิดา | |
รูปร่างอย่างว่ากะลาสี | พี่ให้มีใจรักเจ้าหนักหนา | |
ว่าพลางเข้าใกล้กัลยา | พระราชาฉวยฉุดยุดมือไว้ | |
ฯ ๖ คำ ฯ | ||
ร่าย | ||
๏ทรงเอยทรงกระสอบ | ทำเล่นเห็นชอบฤๅไฉน | |
ไม่รู้จักมักจี่นี่อะไร | มาเลี้ยวไล่ฉวยฉุดยุดข้อมือ | |
ยิ่งว่าก็ไม่วางทำอย่างนี้ | พระจะมีเงินช่วยข้าด้วยฤๅ | |
อวดว่ากล้าแข็งเข้าแย่งยื้อ | ลวนลามถามชื่อน้องทำไม | |
น้องมิใช่ตัวเปล่าเล่าเปลือย | หยาบเหมือนขี้เลื่อยเมื่อหัวไหล่ | |
ลูกเขาเมียเขาไม่เข้าใจ | บาปกรรมอย่างไรก็ไม่รู้ | |
ฯ ๖ คำ ฯ | ||
ชาตรี | ||
๏ดวงเอยดวงไต้ | สบถได้เจ็ดวัดทัดสองหู | |
ความจริงพี่มิเล่นเป็นเช่นชู้ | จะร่วมเรียงเคียงคู่กันโดยดี | |
ถึงมิใช่ตัวเปล่าเจ้ามีผัว | พี่ไม่กลัวบาปดอกนะโฉมศรี | |
อันนรกตกใจไปใยมี | ยมพระบาลกับพี่เป็นเกลอกัน | |
เพียงจับมือถือแขนอย่าแค้นเคือง | จะให้น้องสองเฟื้องอย่าหุนหัน | |
แล้วแก้เงินในไถ้ออกให้พลัน | นี่แลขันหมากหมั้นกัลยา | |
พอดึกดึกสักหน่อยนะน้องแก้ว | พี่จะลอดล่องแมวขึ้นไปหา | |
โฉมเฉลาเจ้าจงได้เมตตา | เปิดประตูไว้ท่าอย่าหลับนอน | |
ฯ ๘ คำ ฯ | ||
ร่าย | ||
๏ทรงเอยทรงกระโถน | อย่ามาพักปลอบโยนให้โอนอ่อน | |
ไม่อยากได้เงินทองของภูธร | นางเคืองค้อนคืนให้ไม่อินัง | |
ช่างอวดอ้างว่านรกไม่ตกใจ | คนอะไรอย่างนี้ก็มีมั่ง | |
เชิญเสด็จรีบออกไปนอกวัง | อย่ามานั่งวิงวอนทำค่อนแคะ | |
เพียงแต่รู้จักกันกระนั้นพลาง | พอเป็นทางไมตรีกระนี้แหละ | |
เมื่อพระอดข้าวปลาจึงมาแวะ | น้องฤๅชื่อประแดะดวงใจ | |
ท่านท้าวประดู่ผู้เป็นผัว | ยังไปเลี้ยงวัวหากลับไม่ | |
แม้นชักช้าชีวันจะบรรลัย | เร่งไปเสียเถิดพระราชา | |
ฯ ๘ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | ลันไดยิ้มเยาะหัวเราะร่า | |
เราไม่เกรงกลัวอิทธิ์ฤทธา | ท้าวประดู่จะมาทำไมใคร | |
พี่ก็ทรงศักดากล้าหาญ | แต่ข้าวสารเต็มกระบุงยังแบกไหว | |
ปลาแห้งพี่เอาเข้าเผาไฟ | ประเดี๋ยวใจเคี้ยวเล่นออกเป็นจุณ | |
ฯ ๔ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | นางประแดะเห็นความจะวามวุ่น | |
จึงนบนอบยอบตัวทำกลัวบุญ | ไม่รู้เลยพ่อคุณนี้มีฤทธิ์ | |
กระนั้นสิเมื่อพระเสด็จมา | หมูหมาย่นย่อไม่รอติด | |
ขอพระองค์จงฟังยั้งหยุดคิด | อย่าให้มีความผิดติดตัวน้อง | |
ท้าวประดู่ภูธรเธอขี้หึง | ถ้ารู้ถึงท้าวเธอจะทุบถอง | |
จงไปเสียก่อนเถิดพ่อรูปทอง | อย่าให้น้องชั่วช้าเป็นราคี | |
ว่าพลางทางสลัดปัดกร | ควักค้อนยักหน้าตาหยิบหยี | |
นาดกรอ่อนคอจรลี | เดินหนีมิให้มาใกล้กราย | |
ฯ ๘ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | ลันไดไม่สมอารมณ์หมาย | |
เห็นนางหน่ายหนีลี้กาย | โฉมฉายสลัดพลัดมือไป | |
มันให้ขัดสนยืนบ่นออด | เจ้ามาทอดทิ้งพี่หนีไปได้ | |
ตัวกูจะอยู่ไปทำไม | ก็ยกย่ามขึ้นไหล่ไปทั้งรัก | |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด | ||
ช้า | ||
๏เมื่อนั้น | ท้าวประดู่สุริวงศ์ทรงกระฏัก | |
เที่ยวเลี้ยงวัวล้าเลื่อยเหนื่อยนัก | เข้าหยุดยั้งนั่งพักในศาลา | |
วันเมื่อมเหสีจะมีเหตุ | ให้กระตุกนัยเนตรทั้งซ้ายขวา | |
ตุ๊กแกตกลงตรงพักตรา | คลานไปคลานมาก็สิ้นใจ | |
แม่โคขึ้นสัดผลัดโคตัวผู้ | พิเคราะห์ดูหลากจิตคิดสงสัย | |
จะมีเหตุแม่นมั่นพรั่นพระทัย | ก็เลี้ยวไล่โคกลับเขาพารา | |
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด | ||
ร่าย | ||
๏ครั้นถึงขอบรั้วริมหัวป้อม | พระวิ่งอ้อมเลี้ยวลัดสกัดหน้า | |
ไล่เข้าคอกพลันมิทันช้า | เอาขี้หญ้าสุมควันกันริ้นยุง | |
ยืนลูบเนื้อตัวที่หัวบันได | แล้วเข้าในปรางค์รัตน์ผลัดผ้านุ่ง | |
ยุรยาตรเยื้องย่างมาข้างมุ้ง | เห็นกระบุงข้าวกล้องนั้นพร่องไป | |
ปลาสลิดในกระบายก็หายหมด | พระทรงยศแสนเสียดายน้ำลายไหล | |
กำลังหิวข้าวเศร้าเสียใจ | ก็เอนองค์ลงในที่ไสยา | |
กวักพระหัตถ์ตรัสเรียกมเหสี | เข้ามานี่พุ่มพวงดวงยี่หวา | |
วันนี้มีใครไปมา | ยังพาราเราบ้างฤๅอย่างไร | |
ฯ ๘ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | นางประแดะฟังความที่ถามไถ่ | |
กราบทูลเยื้องยักกระอักกระไอ | ร้อนตัวกลัวภัยพระภูมี | |
ตั้งแต่พระเสด็จไปเลี้ยงวัว | น้องก็นอนซ่อนตัวอยู่ในที่ | |
ไม่เห็นใครไปมายังธานี | จงทราบใต้เกษีพระราชา | |
ฯ ๔ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | ท้าวประดูได้ฟังให้กังขา | |
จึงซักไซ้ไล่เลียงกัลยา | ว่าไม่มีใครมาน่าแคลงใจ | |
ทั้งข้าวทั้งปลาของข้าหาย | เอายักย้ายขายซื้อฤๅไฉน | |
ฤๅลอบลักตักให้แก่ผู้ใด | จงบอกไปนะนางอย่าพรางกัน | |
ฯ ๔ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | นางประแดะตกใจอยู่ไหวหวั่น | |
ด้วยแรกเริ่มเดิมทูลพระทรงธรรม์ | ว่าใครนั้นมิได้จะไปมา | |
ครั้นจะไม่ทูลความไปตามจริง | ก็เกรงกริ่งด้วยพิรุธมุสา | |
สารภาพกราบลงกับบาทา | วอนว่าอย่าโกรธจงโปรดปราน | |
วันนี้มีหน่อกระษัตรา | เที่ยวมาสีซอขอข้าวสาร | |
น้องเสียมิได้ก็ให้ทาน | สิ้นคำให้การแล้วผ่านฟ้า | |
ฯ ๖ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | ท้าวประดู่ได้ฟังนึกกังขา | |
ใครหนอหน่อเนื้อกระษัตรา | เที่ยวมาสีซอขอทาน | |
เห็นจะเป็นอ้ายระเด่นลันได | ที่ครอบครองกรุงใกล้เทวฐาน | |
มันเสแสร้งแกล้งทำมาขอทาน | จะคิดอ่านตัดเสบียงเอาเวียงชัย | |
จึงชี้หน้าว่าเหม่มเหสี | มึงนี้เหมือนหนอนที่บ่อนไส้ | |
ขนเอาปลาข้าวให้เขาไป | วันนี้จะได้อะไรกิน | |
ถ้ามั่งมีศรีสุขก็ไม่ว่า | นี่สำเภาเลากาก็แตกสิ้น | |
แล้วมิหนำซ้ำตัวเป็นมลทิน | จะอยู่กินต่อไปให้คลางแคลง | |
เจ้าศรัทธาอาศัยอย่างไรกัน | ฤๅกระนี้กระนั้นก็ไม่แจ้ง | |
จะเลี้ยงไว้ไยเล่าเมื่อข้าวแพง | ฉวยชักพระแสงออกแกว่งไกว | |
ฯ ๑๐ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | นางประแดะเลี้ยวลอดกอดเอวได้ | |
เหมือนเล่นงูกินหางไม่ห่างไกล | นึกประหวั่นพรั่นใจอยู่รัวรัว | |
โปรดก่อนผ่อนถามเอาความจริง | เมื่อชั่วแล้วแทงทิ้งเถิดทูลหัว | |
อันพระสามีเป็นที่กลัว | จะทำนอกใจผัวอย่าพึงคิด | |
พระหึงหวงมิได้ล่วงพระอาญา | ที่ให้ข้าวให้ปลานั้นข้าผิด | |
น้องนี้ทำชั่วเพราะมัวมิด | ทำไมกับชีวิตไม่เอื้อเฟื้อ | |
น้องมิได้ศรัทธาอาศัย | จะลุยน้ำดำไฟเสียให้เชื่อ | |
ไม่มีอาลัยแก่เลือดเนื้อ | แต่เงื้อเงื้อไว้เถิดอย่าเพ่อแทง | |
ฯ ๘ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | ท้าวประดูเดือดนักชักพระแสง | |
ถ้าบอกจริงให้กูอีหูแหว่ง | จะงดไว้ไม่แทงอย่าแย่งยุด | |
กูก็เคยเกี้ยวชู้รู้มารยา | มิใช่มึงโสดามหาอุด | |
มันเป็นถึงเพียงนี้ก็พิรุธ | ถึงดำน้ำร้อยผุดไม่เชื่อใจ | |
ยังจะท้าพิสูจน์รูดลอง | พ่อจะถองให้ยับจนตับไหล | |
เห็นว่ากูหลงรักแล้วหนักไป | เอออะไรนี่หวาน้ำหน้ามึง | |
หาเอาใหม่ให้ดีกว่านี้อีก | ผิดก็เสียเงินปลีกสองสลึง | |
กำลังกริ้วโกรธาหน้าตึง | ถีบผึงถูกตะโพกโขยกไป | |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด | ||
โอ้ | ||
๏เมื่อนั้น | นางประแดะเจ็บจุกลุกไม่ไหว | |
ค่อยยืนยันกะเผลกเขยกไป | เข้ายังครัวไฟร้องไห้โฮ | |
ร้อนดิ้นเร่าเร่าพ่อเจ้าเอ๋ย | ลูกไม่เคยโกหกพกโมโห | |
เสียแรงได้เป็นข้ามาแต่โซ | กลับพาลโกรธาด่าตี | |
น้องก็ไร้ญาติวงศ์พงศา | หมายพึ่งบาทาพระโฉมศรี | |
โคตรพ่อโคตรแม่ก็ไม่มี | อยู่ถึงเมืองตานีเขาตีมา | |
ตะโพกโดกโดยเมียแทบคลาด | ถีบด้วยพระบาทดังชาติข้า | |
จะอยู่ไปไยเล่าไม่เข้ายา | ตายโหงตายห่าก็ตายไป | |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด | ||
ร่าย | ||
๏เมื่อนั้น | ท้าวประดูได้ฟังดังเพลิงไหม้ | |
ดูดู๋อีประแดะค่อนแคะได้ | กลับมาด่าได้อีใจเพชร | |
เอาแต่คารมเข้าข่มกลบ | กูจะจิกหัวตบเสียให้เข็ด | |
ชะช่างโศกาน้ำตาเล็ด | กูรู้เช่นเห็นเท็จทุกสิ่งอัน | |
ฯ ๔ คำ ฯ | ||
๏ว่าพลางทางคว้าได้พร้าโต้ | ดุด่าตาโตเท่ากำปั้น | |
ผลักประตูครัวไฟเข้าไปพลัน | นางประแดะยืนยันลันกลอนไว้ | |
ผลักมาผลักไปอยู่เป็นครู่ | จะเข้าไปในประตูให้จงได้ | |
กระทืบฟากโครมครามความแค้นใจ | อึกกระทึกทั่วไปในพารา | |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด | ||
๏บัดนั้น | พวกหัวไม้กระดูกผีขี้ข้า | |
บ่อนเลิกกินเหล้าเมากลับมา | ได้ยินเสียงเถียงด่ากันอื้ออึง | |
จึงหยุดนั่งข้างนอกริมคอกวัว | ว่าเมียผัวคู่นี้มันขี้หึง | |
พอพลบค่ำราตรีตีตะบึง | อึงคงนักหนาน่าขัดใจ | |
แล้วคว้าก้อนอิฐปาเข้าฝาโผง | ตกถูกโอ่งปาล้อแลหม้อไห | |
พลางตบมือร้องเย้ยเผยไยไย | แล้ววิ่งไปทางตะพานบ้านตะนาว | |
ฯ ๖ คำ ฯ รัว | ||
๏เมื่อนั้น | ท้าวประดู่ตาพองร้องบอกกล่าว | |
หยิบงอบครอบหัวตัวสั่นท้าว | อ้ายพ่อจ้าวชาวบ้านวานช่วยกัน | |
วัวน้ำวัวหลวงกูได้เลี้ยง | อิฐมาเปรี้ยงเปรี้ยงเสียงสนั่น | |
สาเหตุมีมาแต่กลางวัน | คงได้เล่นเห็นกันอ้ายลันได | |
ทั้งนี้เพราะอีมะเหเสือ | จะกินเลือดกินเนื้อกูให้ได้ | |
ขว้างวังครั้งนี้ไม่มีใคร | ชู้มึงฤๅมิใช่อีมารยา | |
พระฉวยได้ไม้ยุงปัดกวัดแกว่ง | สำคัญว่าพระแสงขึ้นเงื้อง่า | |
เลี้ยวไล่ฟาดฟันกัลยา | วิ่งมาวิ่งไปอยู่ในครัว | |
ฯ ๘ คำ ฯ | ||
สับไทย | ||
๏เหม่เหม่ดูดู๋อีประแดะ | ที่นี้แหละเห็นประจักษ์ว่ารักผัว | |
หากกูรู้ตัว | หัวไม่แตกแตน | |
ขว้างแล้วหนีไป | มิได้ตอบแทน | |
ยิ่งคิดยิ่งแค้น | เลี้ยวแล่นไล่ตี | |
ฯ ๔ คำ ฯ | ||
รื้อ | ||
๏ทรงเอยทรงกระบอก | น้องไม่เห็นด้วยดอกพระโฉมศรี | |
ปาวังครั้งนี้ | มิใช่ชู้น้อง | |
สืบสมดังว่า | สัญญาให้ถอง | |
วิ่งพลางทางร้อง | ตีน้องทำไม | |
ฯ ๔ คำ ฯ | ||
๏เหลือเอยเหลือเถน | ขัดเขมนขบฟันมันไส้ | |
ปรานีมึงไย | ใครใช้มีชู้ | |
ไม่เลี้ยงเป็นเมีย | ไปเสียอย่าอยู่ | |
รั้ววังของกู | ปิดประตูตีแมว | |
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด | ||
๏เมื่อนั้น | นางประแดะเหนื่อยอ่อนลงนอนแส้ว | |
ยกมือท่วมหัวลูกกลัวแล้ว | กอดก้นผัวแก้วเข้าคร่ำครวญ | |
ฯ ๒ คำฯ | ||
โอ้ | ||
๏โอ้พระยอดตองของน้อยเอ๋ย | กระไรเลยช่างสลัดตัดเด็ดด้วน | |
แม้นชั่วช้าจริงจังก็บังควร | พ่อมาด่วนมุทะลุดุดันไป | |
จงตีแต่พอหลาบปราบพอจำ | จะเฝ้าเวียนเฆี่ยนซ้ำไปถึงไหน | |
งดโทษโปรดเถิดพระภูวไนย | น้องยังไม่เคยไกลพระบาทา | |
ถึงไม่เลี้ยงเป็นพระมเหสี | จะขอพึ่งบารมีเป็นขี้ข้า | |
ไม่ถือว่าเป็นผัวเพราะชั่วช้า | จะก้มหน้าเป็นทาสกวาดขี้วัว | |
สิบคนเข้าไม่เท่าคนหนึ่งออก | อยู่กับคอกช่วยใช้พ่อทูลหัว | |
ร่ำพลางทางทุ่มทอดตัว | ตีอกชกหัวแล้วโศกา | |
ฯ ๘ คำ ฯ โอด | ||
ร่าย | ||
๏เมื่อนั้น | ท้าวประดู่ได้ฟังนางร่ำว่า | |
ให้นึกสมเพชเวทนา | น้ำตาไหลนองสักสองครุ | |
หวนรำลึกนึกถึงอ้ายลันได | กลับเจ็บใจไม่เหือดเดือดดุ | |
โมโหมืดหน้าบ้ามุทะลุ | กระดูกผุเมื่อไรก็ไม่ลืม | |
กูไม่อยากเอาไว้ใช้สอย | นึกว่าปล่อยสิงห์สัตว์วัดสามปลื้ม | |
แต่ชั้นทอผ้ายังคาฟืม | ดีแต่ยืมเขากินอีสิ้นอาย | |
แม่เรือนเช่นนี้มิเป็นผล | มันจะลวงล้วงก้นจนฉิบหาย | |
ไปเสียมึงไปไม่เสียดาย | กูจะเป็นพ่อหม้ายสบายใจ | |
สาวสาวชาววังก็ยังถม | ไม่ปรารมภ์ปรารี้จะมีใหม่ | |
เก็บเงินค่านมผสมไว้ | หาไหนหาได้ไม่ทุกข์ร้อน | |
ฯ ๑๐ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | นางประแดะหูกลวงดวงสมร | |
สุดที่จะพรากจากจร | บังอรข้อนทรวงเข้าร่ำไร | |
ฯ ๒ คำ ฯ | ||
โอ้ | ||
๏โอ้พ่อใจบุญของเมียเอ๋ย | แปดค่ำพ่อเคยเชือดคอไก่ | |
ต้มปลาร้าตั้งหม้อกับหน่อไม้ | เมียยังอาลัยได้อยู่กิน | |
พราะเคยรีดนมวัวให้เมียขาย | แม้สายที่ยังไม่หมดสิ้น | |
เหลือติดก้นกระบอกเอาจอกริน | ให้เมียกินวันละนิดคิดทุกวัน | |
แต่พอพลบรบเมียเข้ากระท่อม | พ่อนั่งกล่อมจนหลับแล้วรับขวัญ | |
ในมุ้งยุงชุมพ่อสุมควัน | สารพันทรงศักดิ์จะรักเมีย | |
จะกินอยู่พูวายสบายใจ | พ่อมอบไว้ให้วันละสิบเบี้ย | |
อกน้องดังไฟไหม้ลามเลีย | จะทิ้งเมียเสียได้ไม่ไยดี | |
เที่ยงนางกลางคืนพ่อทูลหัว | จะให้ออกนอกรั้วลูกกลัวผี | |
ก้นไต้ก้นไฟก็ไม่มี | ผลัดรุ่งพรุ่งนี้เถิดพ่อคุณ | |
ถึงจะไม่ได้อยู่บนตำหนัก | ขอพึ่งพักอาศัยเพียงใต้ถุน | |
ยกโทษโปรดเถิดพ่อใจบุญ | เสียแรงได้เลี้ยงขุนมีคุณมา | |
ฯ ๑๒ คำ ฯ | ||
ร่าย | ||
๏เมื่อนั้น | ท้าวประดู่ได้ฟังชังน้ำหน้า | |
น้อยฤๅอีขี้เค้าเจ้าน้ำตา | ยังจะร่ำไรว่ากวนใจกู | |
เมินเสียเถิดหวาอีหน้ารุ้ง | อย่าพูดอยู่ข้างมุ้งรำคาญหู | |
ไสหัวมึงออกนอกประตู | ขืนอยู่ช้าไปได้เล่นกัน | |
ว่าพลางปิดบานทวารโผง | เข้าในห้องท้องพระโรงขมีขมัน | |
ยกหม้อตุ้งก่าออกมาพลัน | พระทรงศักดิ์ชักควันโขมงไป | |
ฯ ๖ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | นางประแดะทุกข์ร้อนถอนใจใหญ่ | |
แล้วข่มขืนกลืนกลั้นชลนัยน์ | จะอยู่ไปไยเล่าไม่เข้าการ | |
แต่ทุบตีมิหนำแล้วซ้ำขับ | ให้อายอับเพื่อนรั้วหัวบ้าน | |
เช้าค่ำร่ำว่าด่าประจาน | ใครจะทานทนได้ในฝีมือ | |
กูจะหาผัวใหม่ให้ได้ดี | เอาโยคีกินไฟไม่ได้ฤๅ | |
ไหนไหนชาวเมืองก็เลื่องฦๅ | อึงอื้ออับอายขายพักตรา | |
คว้าถุงเบี้ยได้ใส่กระจาด | ฉวยผ้าแพรขาดขึ้นพาดบ่า | |
ลงจากบันไดไคลคลา | น้ำตาคลอคลอจรลี | |
ฯ ๘ คำ ฯ ทยอย | ||
โอ้ร่าย | ||
๏ครั้นมาพ้นคอกวัวรั้วตราง | เหลียวหลังดูปรางค์ปราสาทศรี | |
เคยได้ค้างกายมาหลายปี | ครั้งนี้ตกยากจะจากไป | |
หยุดยืนสะอื้นอยู่อืดอืด | เดือนก็มืดเต็มทีไม่มีไต้ | |
ฝนตกพรำพรำทำอย่างไร | ก็หยุดยืนร้องไห้อยู่ที่ร้าน | |
ฯ ๔ คำ ฯ โอด | ||
ช้า | ||
๏เมื่อนั้น | โฉมระเด่นลันไดใจหาญ | |
ครั้นพลบค่ำเข็นบันไดไว้นอกชาน | ยกเชิงกรานสุมไฟใส่ฟืนตอง | |
แล้วเอนองค์ลงเหนือเสื่อกระจูด | นอนนิ่งกลิ้งทูดอยู่ในห้อง | |
เสนาะเสียงสำเนียงพิราบร้อง | ครางกระหึมครึ้มก้องบนกบทู | |
แว่วแว่วเค้าแมวในกลีบเมฆ | ดูวิเวกลงหลังคาเที่ยวหาหนู | |
พระเผยบัญชรแลชะแง้ดู | ดาวเดือนรุบรู่ไม่เห็นตัว | |
พระพายชายพัดอุตพิด | พระทรงฤทธิ์เต็มกลั้นจนสั่นหัว | |
หอมชื่นดอกอัญชันที่คันรั้ว | ฟุ้งตระหลบอบทั่วทั้งวังใน | |
ฯ ๘ คำ ฯ | ||
ร่าย | ||
๏หวนรำลึกนึกถึงนางประแดะ | ที่นัดแนะแต่เย็นเป็นไฉน | |
ดึกแล้วแก้วตาเห็นช้าไป | จะร้องไห้รำพึงถึงพี่ชาย | |
จำจะไปให้ทันดังสัญญา | ได้ย่องเบาเข้าหานางโฉมฉาย | |
จึงอาบน้ำทาแป้งแต่งกาย | สวมประคำดีควายสำหรับตัว | |
แหงนดูฤกษ์บนฝนพยับ | เดือนดับลับเมฆขมุกขมัว | |
ลงบันไดเดินออกมานอกรั้ว | โพกหัวกลัวอิฐคิดระอา | |
หลายครั้งตั้งแต่มันทิ้งกู | พระโฉมตรูเหลือบซ้ายแลขวา | |
แล้วผาดแผลงสำแดงเดชา | เดินมาตามตรอกซอกกำแพง | |
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด | ||
๏ประเดี๋ยวหนึ่งก็ถึงคอกโคขัง | จะเข้าได้ดอกกระมังยังไม่แจ้ง | |
เห็นกองไฟใส่สุมอยู่แดงแดง | แอบแฝงฟังอยู่ดูท่าทาง | |
เห็นทีท้าวประดู่ผู้ผัว | จะนอนเฝ้าวัวอยู่ข้างล่าง | |
แต่โฉมศรีนิฤมลอยู่บนปรางค์ | กูจะขึ้นหานางทางล่องแมว | |
จึงกลิ้งครกที่ใต้ถุนเข้าหนุนตีน | พระโฉมฉายป่ายปีนอยู่แด่วแด่ว | |
อกใจไม้ครูดขูดเป็นแนว | จะเห็นรักบ้างแล้วฤๅแก้วตา | |
พระประหวั่นพรั่นตัวกลัวจะตก | ทำหนูกกเจาะเจาะเกาะข้างฝา | |
ไฉนไม่คอยกันดังสัญญา | อนิจจานอนได้ไม่คอยรับ | |
ฯ ๘ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | ท้าวประดู่สุริวงศ์โก้งโค้งหลับ | |
พอปราสาทสะเทือนไหวตกใจวับ | ลุกขยับนิ่งฟังนั่งหลับตา | |
คิดว่ามเหสีที่ถูกถอง | แสบท้องหายโกรธเข้ามาหา | |
ให้นึกสมเพชเวทนา | สู้ทนทานด้านหน้ามาง้องอน | |
จะขับหนีตีไล่ไม่ไปจาก | อีร่วมเรือนเพื่อนยากมาแต่ก่อน | |
แล้วคลี่ผ้าคลุมหัวล้มตัวนอน | พระภูธรทำเฉยเลยหลับไป | |
ฯ ๖ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | ลันไดล้วงสลักชักกลอนได้ | |
เปิดประตูเยื้องย่องเข้าห้องใน | เข้านั่งใกล้ในจิตคิดว่านาง | |
สมพาสยักษ์ลักหลับขึ้นทับบน | ท้าวประดู่เต็มทนอยู่ข้างล่าง | |
พระสร้วมสอดกอดไว้มิได้วาง | ช้อนคางพลางจูบแล้วลูบคลำ | |
ฯ ๔ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | ท้าวประดู่ผุดลุกขึ้นปลุกปล้ำ | |
ตกใจเต็มทีว่าผีอำ | ต่างคนต่างคลำกันวุ่นไป | |
เอ๊ะจริตผิดแล้วมิใช่ผี | จะว่าพระมเหสีก็มิใช่ | |
ขนอกรกหนักทักว่าใคร | ตกใจฉวยตระบองร้องว่าคน | |
ลันไดโดดโผนโดนประตู | ท้าวประดู่ร้องโวยขโมยปล้น | |
ตะโกนเรียกเสนาสามนต์ | มันไม่มีสักคนก็จนใจ | |
ระเด่นโดดโลดออกมานอกรั้ว | ผิดตัวแล้วกูอยู่ไม่ได้ | |
ก็ผาดแผลงสำแดงฤทธิไกร | วิ่งไปตามกำลังไม่รั้งรอ | |
ฯ ๘ คำ ฯ | ||
๏หมาหมูกรูไล่ไม่มีขวัญ | ปล่อยชันสามขาเหมือนม้าห้อ | |
เต็มประดาหน้ามืดหืดขึ้นคอ | ต้องหยุดยั้งรั้งรอมาตามทาง | |
ถึงโดยจะไล่ก็ไม่ทัน | ผิดนักสู้มันแต่ห่างห่าง | |
พอแว่วสำเนียงเหมือนเสียงคราง | อยู่ในร้านริมข้างหนทางจร | |
เอ๊ะผีฤๅคนขนลุกซ่า | พระหัตถ์คว้าฉวยอิฐได้สองก้อน | |
หยักรั้งตั้งท่าจะราญรอน | นี่หลอกหลอนเล่นข้าฤๅว่าไร | |
ครั้นได้ยินเสียงชัดเป็นสัตรี | จะลองฤทธิ์สักทีหาหนีไม่ | |
กำหมัดเยื้องย่องมองเข้าไป | แก่สาวคราวไหนจะใคร่รู้ | |
ฯ ๘ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | นางประแดะนั่งซุ่มคลุมหัวอยู่ | |
สาระวนโศกาน้ำตาพรู | เห็นคนย่องมองดูก็ตกใจ | |
พอฟ้าแลบแปลบช่วงดวงพักตร์ | เห็นระเด่นรู้จักก็จำได้ | |
ทั้งสองข้างถ้อยทีดีใจ | ทรามวัยกราบก้มบังคมคัล | |
ฯ ๔ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | ระเด่นเห็นนางพลางรับขวัญ | |
นั่งลงซักไซ้ไล่เลียงกัน | ไฉนนั่นกัลยามาโศกี | |
พี่หลงขึ้นไปหานิจจาเอ๋ย | ไม่รู้เลยน้องแก้วแคล้วกับพี่ | |
พี่ไปพบท้าวประดู่ผู้สามี | เกิดอึงมี่ตึงตังทั้งพารา | |
มันจะกลับจับพี่เป็นผู้ร้าย | จะฆ่าเสียให้ตายก็ขายหน้า | |
เขาจะค่อนติฉินนินทา | อดสูเทวาสุราลัย | |
จะเอาเมียแล้วมิหนำซ้ำฆ่าผัว | คิดกลัวบาปกรรมไม่ทำได้ | |
พี่ขอถามสาวน้อยกลอยใจ | เป็นไฉนกัลยามาโศกี | |
ฯ ๘ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | นางประแดะดวงยี่หวามารศรี | |
สะอื้นพลางทางทูลไปทันที | ทั้งนี้เพราะกรรมได้ทำไว้ | |
ครั้งนี้มิชั่วก็เหมือนชั่ว | นางตีอกชกหัวแล้วร้องไห้ | |
ยังจะกลับมาเยาะนี่เพราะใคร | ดูแต่หลังไหล่เถิดพ่อคุณ | |
เขาขับหนีตีไล่ไสหัวส่ง | เพราะพระองค์ทำความจึงวามวุ่น | |
แต่รอดมาได้เห็นก็เป็นบุญ | อย่าอยู่เลยพ่อคุณเขาตีตาย | |
ฯ ๖ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | ลันไดได้ฟังนางโฉมฉาย | |
เขม้นมองดูหลังยังไม่ลาย | พระจูบซ้ายจูบขวาห้าหกที | |
เอาพระหัตถ์ช้อนคางแล้วพลางปลอบ | อย่าพะอืดพะออบเลยโฉมศรี | |
จะละห้อยน้อยใจไปไยมี | บุญพี่กับนางได้สร้างมา | |
อันระตูฤๅจะคู่กับนางอนงค์ | มิใช่วงศ์อสัญแดหวา | |
โฉมเฉลาเจ้าเหมือนบุษบา | จรกาฤๅจะควรกับนวลน้อง | |
ถ้าเป็นระเด่นเหมือนเช่นพี่ | จึงควรที่ร่วมภิรมย์ประสมสอง | |
ตรัสพลางทางชวนนวลละออง | เยื้องย่องนำหน้าพานางเดิน | |
ฯ ๘ คำ ฯ | ||
๏ครั้นถึงจึงขึ้นบนตำหนัก | ตงหักกลัวจะตกงกเงิ่น | |
ค่อยพยุงจูงนางย่างดำเนิน | ชวนเชิญโฉมเฉลาเข้าที่นอน | |
ลดองค์ลงเหลือที่ไสยาสน์ | พระยี่ภู่ปูลาดขาดสองท่อน | |
แล้วจึงมีมธุรสสุนทร | อ้อนวอนโฉมเฉลาให้เข้ามุ้ง | |
ฯ ๔ คำ ฯ | ||
โอ้โลม | ||
๏โฉมเอยโฉมเฉิด | เอนหลังบ้างเถิดจวนจะรุ่ง | |
เสียแรงพี่รักเจ้าเท่ากระบุง | จะไปนั่งทนยุงอยู่ทำไม | |
เชิญมาร่วมเรียงเคียงเขนย | อย่าทุกข์เลยที่จะหามาเลี้ยงให้ | |
เรามั่งมีศรีสุขทุกข์อะไร | เงินทองถมไปที่ในคลัง | |
แต่ข้าวสารให้ทานพี่นี้ฤๅ | ไม่พักซื้อได้ขายเสียหลายถัง | |
ทั้งปลาแห้งปลาทูปูลัง | เสบียงกรังมีมากไม่ยากจน | |
ขี้คร้านขายนมวัวเหมือนผัวเจ้า | พี่ได้เปล่าสารพัดไม่ขัดสน | |
จงนั่งกินนอนกินสิ้นกังวล | พี่จะขวนขวายหาเอามาเลี้ยง | |
ว่าพลางทางตระโบมโลมเล้า | อะไรเล่าฮึดฮัดเฝ้าวัดเหวี่ยง | |
อุแม่เอ๋ยมิให้เข้าใกล้เคียง | จะตกเตียงลงไปแล้วแก้วกลอยใจ | |
ฯ ๑๐ คำ ฯ | ||
ร่าย | ||
๏เมื่อนั้น | นางประแดะคลุ้มคลั่งผินหลังให้ | |
ถอยถดขยดหนีภูวไนย | นี่อะไรน่าเกลียดเบียดคะยิก | |
ลูกผัวหัวท้ายเขาไม่ขาด | ทำประมาทเปล่าเปล่าเฝ้าหยุกหยิก | |
ปัดกรค้อนควักผลักพลิก | อย่าจุกจิกกวนใจไม่สบาย | |
อย่าพักอวดสมบัติพัสถาน | ไม่ต้องการดอกจะสู้อยู่เป็นหม้าย | |
หนีศึกปะเสือเบื่อจะตาย | เฝ้ากอดก่ายไปได้ไม่ละวาง | |
ฯ ๖ คำ ฯ | ||
ชาตรี | ||
๏สุดเอยสุดลิ่ม | เชิญผินหน้ามายิ้มกับพี่บ้าง | |
เฝ้าถือโทษโกรธเกรี้ยวไปเจียวนาง | ไม่เห็นอกพี่บ้างที่อย่างนั้น | |
เหมือนน้ำอ้อยใกล้มดใครอดได้ | พี่ก็ไม่มีคู่ตุนาหงัน | |
ตั้งแต่นวดปวดท้องมาสองวัน | ใครจะกลั้นอดทนพ้นกำลัง | |
ทำไมกับลูกผัวกลัวมันไย | ผิดก็เสียสินไหมให้ห้าชั่ง | |
จูบเชื่อเสียก็ได้แล้วไม่ฟัง | ลูบหน้าลูบหลังนั่งแอบอิง | |
น้อยฤๅนมแต่ละข้างช่างครัดเคร่ง | ปลั่งเปล่งใจหายคล้ายกล้วยปิ้ง | |
อุ้มขึ้นใส่ตักรักจริงจริง | อย่าสะบิ้งสะบัดตัดไมตรี | |
ยิ่งดิ้นยิ่งกอดสอดสัมผัส | อุยหน่าอ่ากัดพระหัตถ์พี่ | |
ปัดป้องว่องไวอยู่ในที | จนล้มกลิ้งลงบนที่บรรทมใน | |
อัศจรรย์ลั่นพิลึกกึกก้อง | ฟ้าร้องครั่นครื้นดังปืนใหญ่ | |
เกิดพายุโยนยวบสวบสาบไป | หลังคาพาไลแทบเปิดเปิง | |
ฝนตกห่าใหญ่ใส่ซู่ซู่ | ท่วมคูท่วมหนองออกนองเจิ่ง | |
คางคกขึ้นกระโดดโลดลองเชิง | อึ่งอ่างเริงร่าร้องแล้วพองคอ | |
นกกระจอกออกจากวิมานมะพร้าว | ต้องฝนทนหนาวอยู่งอนหง่อ | |
ขนคางหางปีกเปียกจนมอซอ | ฝนก็พอขาดเม็ดเสร็จบันดาล | |
ฯ ๑๖ คำ ฯ โลม | ||
ช้า | ||
๏เมื่อนั้น | นางประแดะหูกลวงห่วงสงสาร | |
ได้ร่วมรักชักเชยก็ชื่นบาน | เยาวมาลย์หมอบเมียงเคียงกาย | |
แล้วเชิญหม้อตุ้งก่าออกมาตั้ง | นางนั่งเป่าชุดจุดถวาย | |
ทรงศักดิ์ชักพลางทางยิ้มพราย | โฉมฉายขวั้นอ้อยคอยแก้คอ | |
ถูกเข้าสามจะหลิ่มยิ้มแหยะ | นางประแดะสรวลสันต์กลั้นหัวร่อ | |
พระโฉมยงทรงขับรับเพลงซอ | ฉลองหอทรงธรรม์แล้วบรรทม | |
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ | ||
ช้า | ||
๏มาจะกล่าวบทไป | ถึงนางกระแอทวายขายขนม | |
เจ้าเงินโปรดปรานพานอุดม | นุ่งห่มผืนผ้าค่าบาทเฟื้อง | |
ผูกดอกออกจากฟากเรือนนาย | ลดเลี้ยวเที่ยวขายข้าวเหนียวเหลือง | |
ตามตลาดเสาชิงช้ามาเนืองเนือง | ปลดเปลื้องเฟื้องไพได้ทุกวัน | |
กับโฉมยงองค์ระเด่นลันได | รักใคร่กันอยู่ก่อนเคยผ่อนผัน | |
เชื่อถือซื้อขายเป็นนิรันดร์ | เว้นวันสองวันหมั่นไปมา | |
ฯ ๖ คำ ฯ | ||
ร่าย | ||
๏วันเอยวันหนึ่ง | คิดถึงลันไดจะไปหา | |
นึ่งข้าวเหนียวใส่กระจาดยาตรา | ตรงมาหาชู้คู่ชมเชย | |
เที่ยวเตร็ดเตร่เร่ร้องแล้วท่องเที่ยว | ซื้อข้าวเหนียวหน้ากุ้งกินแม่เอ๋ย | |
ที่รู้จักทักถามกันตามเคย | บ้างเยาะเย้ยหยอกยื้อซื้อหากัน | |
พอเวลาตลาดวายสายแสง | กระเดียดตะแกรงกรีดกรายผายผัน | |
ทอดกรอ่อนคอจรจรัล | มาปราสาทสุวรรณเจ้าลันได | |
ฯ ๖ คำ ฯ เพลงช้า | ||
๏ครั้นถึงจึงขึ้นบนนอกชาน | เห็นทวารบานปิดคิดสงสัย | |
ทั้งเสียงคนพูดกันอยู่ชั้นใน | ทรามวัยแหวกช่องมองดู | |
เห็นโฉมยงองค์ประแดะกับระเด่น | คลี่ผ้าหาเล็นกันง่วนอยู่ | |
โมโหมืดหน้าน้ำตาพรู | ดังหัวหูจะแยกแตกทำลาย | |
นี่เมียอ้ายประดู่อยู่หัวป้อม | ไยจึงมายินยอมกันง่ายง่าย | |
ทั้งสี่จักรยักหล่มถ่มร้าย | มันจะให้ฉิบหายขายตน | |
ชิชะเจ้าระเด่นพึ่งเห็นฤทธิ์ | แต่ผ้านุ่งยังไม่มิดจะปิดก้น | |
จองหองสองเมียจะเสียคน | คิดว่ายากจนเฝ้าปรนปรือ | |
จึงแกล้งเรียกพลันเจ้าลันได | ค่าข้าวเหนียวสองไพไม่ให้ฤๅ | |
ผ่อนผัดนัดหมายมาหลายมื้อ | แม่จะยื้อให้อายขายหน้าเมีย | |
ฯ ๑๐ คำ ฯ | ||
๏เมื่อนั้น | โฉมระเด่นลันไดแรกได้เสีย | |
กำลังนั่งเคล้าเฝ้าคลอเคลีย | ชมโฉมโลมเมียอยู่ริมมุ้ง | |
ยกบาทพาดเพลาเกาสีข้าง | สัพยอกหยอกนางอย่างลิงถุง | |
แล้วยื่นมือมาจี้เข้าที่พุง | นางสะดุ้งดุกดิกพลิกตะแคง | |
เขาจะนอนดีดีเฝ้าจี้ไช | ช่างกระไรหน้าเป็นเอ็นแข็ง | |
จะนิ่งอยู่สักประเดี๋ยวทำเรี่ยวแรง | มาแหย่แย่งกวนใจไปทีเดียว | |
พอระเด่นได้ยินเสียงเรียกหา | ก็รู้ว่าชู้เก่าเจ้าข้าวเหนียว | |
จึงร้องว่าใครนั่นขันจริงเจียว | จะมาเที่ยวจัณฑาลพาลเอาความ | |
ค่าข้าวเหนียวสองไพข้าให้แล้ว | มาทำเสียงแจ้วแจ้วไม่เกรงขาม | |
ไม่ได้ติดค้างมาอย่าวู่วาม | ลุกลามสิ้นทีมีแต่อึง | |
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา | ||
๏เมื่อนั้น | นางทวายยิ่งพิโรธโกรธขึ้ง | |
ยืนกระทืบนอกชานอยู่ตึงตึง | หวงหึงด่าว่าท้ายทาย | |
นี่แน่อ้ายสำเร็จเจ็ดตะคุก | มาลืมคุณข้าวสุกเสียง่ายง่าย | |
กูเชื่อหน้าคิดว่าลูกผู้ชาย | จึงสู้ขายติดค้างยังไม่รับ | |
ช่างโกหกพกลมประสมประสาน | จะประจานเสียให้สมที่สับปลับ | |
แต่เบี้ยติดสองไพยังไม่รับ | กูสิ้นนับถือแล้วอ้ายลันได | |
ฯ ๖ คำฯ | ||
๏เมื่อนั้น | ระเด่นตอบตามอัชฌาสัย | |
เขาขี้คร้านพูดจาอย่าหนักไป | ข้ารู้ใจเจ้าดอกกัลยา | |
เจ้าพิโรธโกรธขึ้งเพราะหึงหวง | จึงจาบจ้วงล่วงเกินเป็นหนักหนา | |
ข้าผิดแล้วกลอยใจได้เมตตา | เชิญเข้าเคหาปรึกษากัน | |
ฯ ๔ คำ ฯ | ||