สามก๊กอิ๋น

ณ วัน ปีระกา สัปตศก จุลศักราช ๑๒๔๗ ได้แปลในเรื่องนิทานจีนใจความว่า เมื่อครั้งแผ่นดินพระเจ้าห้วนเต้ได้เสวยราชสมบัติอยู่นั้น มีชายผู้หนึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่แขวงเมืองซอกกุ๋น เป็นที่ซิวจ๋าย แซ่ สุมา ชื่อ เบี๊ยว ชื่อครูตั้ง ตองสอง เมื่อเยาว์อายุได้ประมาณ ๘ ขวบ ประกอบด้วยปัญญาอันว่องไว จับพู่กันเข้าแล้วอาจเขียนเป็นคำโคลงได้รวดเร็วจนชาวบ้านสรรเสริญว่า ประดุจดังเทพบุตร อยู่มาจนถึงคราวไล่หนังสือ สุมาตองสองจึ่งเข้าไปในที่สำหรับไล่หนังสือ ปรารถนาจะไล่เอาที่ขุนนางให้โตใหญ่ขึ้นไป แต่พากเพียรไปหลายครั้งหลายคราวก็มิได้สมความปรารถนา ด้วยคราวนั้นเป็นคราวขุนนางกังฉินมีอำนาจ ถ้าผู้ใดอยากเป็นขุนนาง ก็ต้องเสียเงินซื้อเอา จึ่งจะได้สมปรารถนา แต่สุมาตองสองไม่มีเงินเสียให้แก่ผู้ไล่หนังสือ จึ่งไม่ได้สมความปรารถนา ก็มีความโกรธแค้นเป็นอันมาก จึ่งทำเป็นคำโคลงว่า เทพยุดาเอ๋ย ซึ่งช่วยตบแต่งให้เราเกิดมา เหตุไรจึ่งใช้ไม่ได้ เป็นเทพยุดาอยู่สูงเสียเปล่า จะใช้อันใดได้ เราเป็นคนไม่มีวาสนา จึงต้องนั่งกอดมืออยู่ฉะนี้ คนมั่งมีเปรียบเหมือนอยู่บนกลีบเมฆ เราเป็นคนจน ก็ต้องยอมอยู่ต่ำ คนโกงกลับมาเบียดเบียนผู้สัตย์ซื่อ เหตุใดเทพยุดาจึ่งไม่เห็นด้วย ดูเหมือนจะมาเข้ากับคนโกง ถ้าเราได้เป็นพระยายมราช จะได้จัดการเสียให้เรียบร้อย แล้วจึ่งเอาคำโคลงนั้นเผาไฟเสีย แล้วร้องประกาศด้วยเสียงอันดังว่า ตัวเราผู้ชื่อ สุมาตองสอง ในชาตินี้ได้ถือสัตย์สุจริต มิได้คิดโกงผู้ใด ถ้ามีผู้เอาเราไปไว้ในเมืองนรก จะจัดการเสียให้เที่ยงธรรม แต่ร้องอยู่ดังนี้เป็นนิจเนือง ๆ

ฝ่ายเทพบุตรซึ่งลงมาตรวจโลกที่ในเมืองมนุษย์ ครั้นได้ยินถ้อยคำอันนี้ ก็เก็บเอาเนื้อความไปทูลกับพระอิศวร ๆ ได้ทรงฟังดังนั้นก็โกรธ จึ่งรับสั่งกับเทพบุตรกิมแซใช้ให้ไปเอาตัวมาจะทำโทษ เทพบุตรกิมแซจึ่งกราบทูลว่า สุมาตองสองเป็นคนมีสติปัญญา ซึ่งจะทำโทษนั้นของดไว้ก่อน เอาตัวส่งไปในเมืองนรกชำระความดูก่อน พระอิศวรเห็นชอบด้วย จึ่งรับสั่งให้เทพบุตรกิมแซให้ลงไปยังเมืองนรก ให้สุมาตองสองชำระความในคืนหนึ่งให้สำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จ ก็ให้ไว้ในเมืองนรก พระยายมได้แจ้งข้อรับสั่งดังนั้น จึงใช้ทหารผีทั้งสองให้ไปเอาตัวสุมาตองสองมาให้จงได้

ฝ่ายสุมาตองสอง ในเวลาคืนวันนั้น นั่งอยู่แต่ผู้เดียว เหลือบไปเห็นทหารผีทั้งสองรูปร่างหน้าตาร้ายกาจ ก็สะดุ้งตกใจกลัว ขยับลุกขึ้นจะหนี พอทหารผีคนหนึ่งเข้าจับชายเสื้อ คนหนึ่งก็จับสายรัดเอวพาวิ่งไป เท้านั้นมิได้จดดิน บัดเดี๋ยวใจก็ถึง จึ่งแลไปเห็นยี่ห้อที่บนบานประตูสามตัวว่า สิมโสเตียน ทหารทั้งสองก็ผลักสุมาตองสองเข้าไปในประตู จึ่งแลไปเห็นผู้หนึ่งสวมเสื้อหมวกอย่างเจ้านั่งอยู่ที่ชำระความ ทหารผีจึงบอกให้สุมาตองสองคุกเข่าลงคำนับ พระยายมจึงขู่ด้วยเสียงอันดังว่า มึงเป็นผู้เล่าเรียนในทางขนบธรรมเนียม เหตุใดจึงมาทำดูเหมือนบ้า มิได้รู้จักขนบธรรมเนียม มาติเตียนเรา สุมาตองสองจึ่งร้องตอบว่า ท่านก็ได้เป็นเจ้าเป็นใหญ่อยู่ในเมืองนรก การจะเป็นประการใด ท่านก็ทราบอยู่ในใจแล้ว ซึ่งจะเอาอำนาจมาข่มข้าพเจ้าซึ่งเป็นขุนนางจนถึงดังนี้ก็ไม่ควรเลย ขอท่านจงเอาแต่การยุติธรรมมาว่ากล่าวกันเถิด

พระยายมจึ่งว่า เราเป็นเจ้าในเมืองนรก ก็ต้องทำตามรับสั่งพระอิศวร เหตุไรมนุษย์ทั้งหลายจึ่งจะรู้ว่า ตัวเราดีและชั่ว จะมาแทนที่เรา นั่นเห็นควรแล้วแลฤๅ สุมาตองสองจึ่งว่า ธรรมดาฟ้าก็ย่อมมีความเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกจึ่งจะควร แต่บัดนี้ ท่านกลับมาบำรุงผู้อาสัตธรรมให้บริบูรณ์ ผู้ที่ตั้งอยู่ในยุติธรรมกลับตกต่ำ ผู้มีทรัพย์กลับเบียดเบียนซึ่งผู้ยากจน ข้อหนึ่ง ขุนนางไม่มีความสัตย์ซื่อต่อเจ้าแผ่นดิน ข้อสอง วงศานุวงศ์ไม่มีความปรองดองต่อกัน เห็นแก่ทรัพย์เป็นเบื้องต้น ประตูฟ้าอยู่สูงถึงเก้าชั้น เบื้องดินสิบตำแหน่งเป็นลำดับกัน ถ้ายากจนก็ย่อมมีโทษ ถ้ามั่งมีแล้วก็ปราศจากโทษ เปรียบเหมือนตัวข้าพเจ้าเป็นคนยากจนอยู่ฉะนี้ แต่อุตส่าห์เล่าเรียนพากเพียรถือสัตย์กตัญญูอยู่ดังนี้ การทั้งนี้ขอท่านจงตัดสินให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด พระยายมจึ่งว่า ธรรมดาในธรรมจักรก็ย่อมวนเวียนอยู่เป็นอันมาก ซึ่งจะใช้ชาติกันนั้น บางทีก็เร็ว บางทีก็ช้า บางทีก็ได้ในปัจจุบัน บางทีก็ไปได้ในชาติหน้า ผู้ซึ่งมั่งมีนั้น แต่ชาติก่อนได้ทำไว้แต่การดี มาชาตินี้จึ่งมีทรัพย์ ผู้ซึ่งยากจนนั้น แต่ชาติก่อนได้ทำบาปไว้ ครั้นมาชาตินี้จึ่งไม่มีทรัพย์ ถ้าผู้ใดทำบุญแลบาปนั้น ก็ย่อมมีเงาติดตามตัวอยู่เป็นนิจ ท่านอย่าได้มีความสงสัยเลย

สุมาตองสองจึ่งว่า ถ้าฟ้าดินมิได้มีความลำเอียงแล้ว เหตุไรชาวบ้านจึ่งต้องแก้สินบนและเผากระดาษเงินกระดาษทองกันเล่า พระยายมได้ฟังดังนั้น ก็หัวเราะด้วยเสียงอันดัง จึ่งว่า ผู้เล่าเรียนโฉดเขลาเอง ซึ่งจะมาว่าเรานั้นไม่ถูก สุมาตองสองจึ่งว่า ถ้าบนกันไม่ได้แล้ว เหตุไรชาวบ้านจึ่งมีหนังและเซ่นวักตั๊กกะแตนกันเป็นนิจเล่า พระยายมจึงตอบว่า ธรรมดาบ้านเมืองถ้ามีความสุขก็ย่อมประพฤติกันตามนิยม ถ้าบนไม่ให้ตายได้แล้ว เจ้าแผ่นดินก็จะมีพระชนมพรรษาถึงหมื่นปี อันมนุษย์ทั้งหลายก็ย่อมโฉดเขลา จึ่งมานิยมในการเผากระดาษ ของเหล่านี้มิได้เป็นประโยชน์เลย สุมาตองสองจึ่งว่า ถ้าฟ้าแลดินเป็นสัตยธรรมแล้ว ผู้ซึ่งถือศีลแลทำทานแต่ผ้าก็ไม่มีจะนุ่งห่ม ข้าวก็ไม่มีจะบริโภคเลย ผู้ซึ่งเล่าเรียนถ้ายากจนแล้วจะไล่หนังสือก็ไม่ได้ การทั้งนี้ ถ้าท่านให้ข้าพเจ้าว่าราชการแทนแล้ว การซึ่งจะเบียดเบียนและคดโกงกันคงจะไม่มี

พระยายมจึ่งว่า ดีแล้ว บัดนี้ พระอิศวรผู้เป็นเจ้ามีรับสั่งลงมาให้ท่านชำระความในคืนหนึ่งให้สำเร็จโดยยุติธรรม ไปภายหน้าจะประทานยศศักดิ์ให้บริบูรณ์ ถ้าไม่สำเร็จในคืนหนึ่ง จะเอาตัวเป็นโทษ ไม่ให้กลับไปเมืองมนุษย์ สุมาตองสองได้ฟังดังนั้นก็ยินดีจึ่งตอบว่า ซึ่งมีรับสั่งมาทั้งนี้ก็สมคะเนนึกข้าพเจ้า

ในขณะนั้น พระยายมก็พาสุมาตองสองเข้าไป ณ ที่สำหรับแต่งตัว จึ่งเอาหมวกแลเสื้อยศของตัวออกสวมใส่ให้สุมาตองสอง แล้วออกมาที่ว่าราชการ ตีกลองสัญญาขึ้น ในขณะนั้น มีทหารผีข้างที่สองคน คนหนึ่งศีรษะเป็นกระบือ คนหนึ่งศีรษะเป็นม้า เข้ามาคำนับ แล้วก็ยืนอยู่ตามตำแหน่งพร้อมด้วยขุนนางทั้งหลาย ฝ่ายสุมาตองสอง ครั้นได้เห็นดังนั้น จึงนึกแต่ในใจว่า ในเมืองนรกนี้โตใหญ่เหลือที่ประมาณได้ มีสัตว์นรกเป็นอันมาก ซึ่งพระอิศวรกำหนดมาให้เราชำระความแต่คืนเดียวเท่านั้น เห็นจะเหลือสติปัญญา ครั้นจะไม่รับว่าราชการ บุคคลทั้งหลายก็จะว่า เราเป็นคนไม่มีปัญญา คิดดังนั้นแล้วจึ่งเรียกขุนนางเจ้าพนักงานเข้ามาสั่งว่า ตัวเราได้รับว่าราชการกำหนดในคืนหนึ่ง เป็นการจวนนัก ท่านจงเร่งคัดข้อความมาให้เราโดยเร็ว ฝ่ายขุนนางเจ้าพนักงานจึ่งยื่นคำฟ้องขึ้นแปดฉบับตั้งแต่ครั้งแผ่นดินไซ่ห้านยังตกค้างอยู่จนบัดนี้ได้ประมาณสามร้อยปีเศษแล้ว ยังมิได้ชำระตัดสินให้สำเร็จ ขอท่านจงตรวจดูเถิด สุมาตองสองจึงรับเอาคำฟ้องแปดฉบับมาพิจารณาดู ข้อหนึ่ง เป็นความกดขี่ฆ่าคนสัตย์ซื่อ ห้านสิ้น ๑ แพอวด ๑ หยินโป ๑ เป็นโจทก์ เล่าปัง ๑ นางลีเฮา ๑ เป็นจำเลย ข้อสอง เป็นความแก่งแยงกันให้ตรอมใจตาย ฟำแจ้ง ๑ เป็นโจทก์ ตันแผง ๑ เป็นจำเลย ข้อสาม ฆ่าผู้มีคุณ เตงก๋อง ๑ ฮวนโกย ๑ เป็นโจทก์ เล่าปังเป็นจำเลย ข้อสี่ ไม่ผิดแกล้งพาลเอาชีวิตกัน นางเซกซี ๑ นางลีซี ๑ นางอองซี ๑ ยู่อี ๑ เซียวเต้ ๑ ฮวนซันอ๋อง ๑ เป็นโจทก์ นางลีเฮาเป็นจำเลย ข้อห้า ฮังอี๋เป็นโจทก์ สีมาถอง ๑ อองอี ๑ เอี่ยวเซียน ๑ ลีเซง ๑ ฮาก๋อง ๑ เอียวบู๊ ๑ เป็นจำเลย ข้อหก หาว่าใช้อุบายล่อลวงให้ถึงแก่ความตาย ลองโจ๋ ๑ เป็นโจทก์ ห้านสิ้น ๑ เป็นจำเลย ข้อเจ็ด หายอมสามิภักดิ์แล้วฆ่าเสีย เตียนก๋อง ๑ เป็นโจทก์ ห้านสิ้น ๑ เป็นจำเลย ข้อแปด หาแกล้งถอดวงศ์ญาติออกจากที่ขุนนางแล้วผลาญให้สิ้นชีวิต เล่าอิ๋ว ๑ เล่าโขย ๑ เป็นโจทก์ นางลีเฮา ๑ ลิสอก ๑ ลิซ้าน ๑ ลิฮับ ๑ เป็นจำเลย

ฝ่ายสุมาตองสอง ครั้นได้เห็นแล้ว ก็ยิ้มอยู่ จึ่งว่า การแต่เล็กน้อยเท่านี้ เหตุใดจึ่งชำระตัดสินไม่สำเร็จได้ เพราะคนชำระการไม่เที่ยงธรรม เห็นแก่สินบน จึ่งชำระไปไม่สำเร็จได้ แล้วจึ่งเรียกผู้คุมให้ไปเอาโจทก์จำเลยมาให้พร้อมกัน ณ ที่ชำระความ จึ่งถามห้านสิ้นว่า เมื่อครั้งตัวอยู่กับฮังอี๋เป็นคนถือทวน จะคิดอุบายพูดจาสิ่งอันใด ฮังอี๋ก็ไม่นับถือ ตัวจึ่งได้หนีไปอยู่กับฮันอ๋อง ๆ จึ่งได้ปลูกโรงพิธีตั้งเป็นแม่ทัพ แล้วมาภายหลังก็เลื่อนที่เป็นสามเจ๊อ๋อง เหตุใดจึ่งได้คิดกบฏ จนตัวตายยังจะฟ้องหาเจ้านายของตัวอีก ดังนี้ควรแล้วฤๅ ห้านสิ้นจึ่งว่า การซึ่งฮันอ๋องชุบเลี้ยงนั้น ข้าพเจ้าก็ยังคิดถึงบุญคุณอยู่เป็นนิจ ครั้นทราบว่า สะพานจันโตไฟไหม้เสีย จึ่งได้ชักออกทางตันฉองมาเมืองสามจิ๋น แล้วปราบเองหยอง และจับงุยป้า ซึ่งเอาเมืองเตียวเป็นที่พัก แล้วจึ่งไปตีเมืองเอี๋ยน ตั้งเมืองเจ๋เจ็ดสิบหัวเมืองฝ่ายทิศตะวันออก ได้ปราบทหารหกนาย ให้ไปติดตามฌ้อปาอ๋องที่แม่น้ำออกัง ความชอบข้าพเจ้าก็มีเป็นอันมาก หมายใจว่า จะให้มีความสุขไปชั่วบุตรแลหลาน ไม่ได้นึกว่า ฮันอ๋องได้เมืองแล้วจะลบหลู่บุญคุณ ถอดออกจากที่อ๋อง ให้นางลีเฮากับเสียวโหคิดอุบายล่อลวงข้าพเจ้าไปที่บียองเก๋ง แล้วซุ่มทหารไว้มัดข้าพเจ้า ใส่โทษว่า เป็นกบฏ ให้ฆ่าเสียสามชั่วโคตร ได้ทนทุกข์สังเวชมาถึงสามร้อยปีเศษแล้ว ขอไต้อ๋องจนตัดสินให้ด้วยเถิด

สุมาตองสองจึ่งว่า ท่านเป็นแม่ทัพ ใจองอาจ ปราศจากปัญญา ไม่มีผู้ช่วยคิดฤๅ จึ่งต้องให้เขาล่อลวงมัดเหมือนทารก ในขณะนี้จะมาโกรธแค้นผู้ใดได้ ห้านสิ้นจึ่งว่า ข้าพเจ้ามีคนปรึกษาอยู่ผู้หนึ่งชื่อ กวยถอง แต่ไม่ตลอดต้นปลาย ละข้าพเจ้าเสีย จึ่งต้องอุบายสตรี สุมาตองสองจึ่งใช้ทหารผีไปเอาตัวกวยถองมาแล้วถามว่า ห้านสิ้นว่า ท่านเป็นที่ปรึกษาไม่ตลอดปลายจริงฤๅ กวยถองจึ่งตอบว่า ซึ่งข้าพเจ้าไม่ตลอดต้นปลายนั้น เพราะห้านสิ้นมิได้เชื่อฟังคำข้าพเจ้า ตัวจึ่งต้องตาย เมื่อตอนห้านสิ้นตีเมืองเจ๋ได้แล้ว ข้าพเจ้ามีหนังสือไปกราบทูลขอที่เจ๋อ๋อง ปรารถนาจะระงับราษฎรในเมืองเจ๋ให้เรียบร้อย ฮันอ๋องโกรธจึ่งว่า ศึกเมืองฌ้อยังไม่สำเร็จ จะมาคิดเอาที่เจ๋อ๋อง ในขณะนั้น เตียวเหลียงกับตันเผงจึ่งเอามือสะกิดเท้าแล้วกระซิบว่า กำลังนี้ยังจะใช้คน การเล็กน้อยจะเป็นการใหญ่ ฮันอ๋องได้สติแล้วว่า เป็นชายชาติทหาร จะคิดอันใดก็ได้สำเร็จเถิด จึ่งให้เตียวเหลียงถือตราใบตั้งเป็นสามเจ๋อ๋อง เพราะฉะนั้น จึงเห็นว่า ฮันอ๋องจะมีความสงสัย ข้าพเจ้าจึ่งยุให้ห้านสิ้นคิดกบฏ ห้านสิ้นไม่เชื่อว่า ให้คิดกบฏ ข้าพเจ้ากลัวว่า จะมีโทษ จึ่งได้แกล้งทำเป็นเสียจริตแล้วหนีไป ภายหลังเกิดเหตุขึ้นที่ยียองเก๋ง มิได้เกี่ยวข้องในตัวข้าพเจ้า

สุมาตองสองจึ่งถามห้านสิ้นว่า เหตุใดท่านจึ่งไม่เชื่อกวยถอง ห้านสิ้นตอบว่า เมื่อเดิมมีหมอดูผู้หนึ่งชื่อ ฆ้อฮอก ได้ดูลักษณะข้าพเจ้าว่า อายุเพียงเจ็ดสิบสอง จึ่งมิได้คิดกบฏ ไม่รู้ว่า อายุแต่สามสิบสอง สุมาตองสองจึ่งเรียกตัวฆ้อฮอกเข้ามาแล้วถามว่า ห้านสิ้นมีอายุแต่สามสิบสอง เหตุใดท่านจึ่งว่ามีอายุถึงเจ็ดสิบสองนั้นไม่สมควรเลย แต่ว่าปีนี้แลปีหน้าก็พอควรอยู่แล้ว เหตุใดจึ่งดูล้วงหน้าไปจนเหลือเกินดังนี้เล่า

ฆ้อฮอกจึ่งว่า ธรรมดาเกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งจะประกอบการที่เจริญอายุและถอยอายุก็มี ห้านสิ้นนี้ควรจะมีอายุถึงเจ็ดสิบสอง ข้าพเจ้าดูไม่ผิดเลย แต่ห้านสิ้นและฌ้อปาอ๋องก็ไม่รู้จักทางจะไปเมืองโปต๋ง พบคนตัดฟืนที่กลางทาง จึงถามว่า จะไปเมืองโปต๋งทางไหน คนตัดฟืนก็ชี้บอกทางให้ แล้วห้านสิ้นเกรงจะมีทหารติดตามมา ความจะรู้แพร่งพรายไป จึ่งฆ่าคนตัดฟืน ปรารถนาจะให้ความสูญ ก็จึ่งถอยอายุไปอีกสิบปี เมื่อเสียวโหช่วยเสนอความชอบให้ แล้วฮันอ๋องปลูกโรงพิธีให้ห้านสิ้นขึ้นอยู่ที่สูงนั้น ฮันอ๋องก็ไหว้ห้านสิ้น ๆ ไว้ยศทำเฉยเสีย จึ่งถอยอายุอีกสิบปี เมื่อครั้งฮันอ๋องใช้ลี้เสงไปเกลี้ยกล่อมเจ้าเมืองเจ๋ให้มาสวามิภักดิ์ เจ๋อ๋องโกรธลี้เสงว่ามาล่อลวง จึ่งใช้ทหารจับลี้เสงทอดน้ำมันเสีย จึ่งได้ถอยอายุอีกสิบปี แล้วเมื่อห้านสิ้นคิดกลอุบายจัดทัพซุ่มทหารไว้สิบกองเป็นกระบวนค่ายชื่อ จวดกีติน ฆ่าทหารเมืองฌ้อเสียร้อยหมื่น ทหารเอกพันคน อาศุภซ้อนกันดังภูเขา จึ่งถอยอายุไปอีกสิบปี

ฝ่ายสุมาตองสองจึ่งว่า ท่านก็รู้การล่วงหน้าแล้ว เหตุใดท่านจึ่งไม่ตักเตือนห้านสิ้นให้คิดอ่านรักษาตัวจงดีเล่า ฆ้อฮอกได้ฟังดังนั้น ก็มิได้ตอบประการใด ฝ่ายห้านสิ้นจึ่งว่า เดิมเสียวโหได้เสนอความชอบให้เป็นแม่ทัพ ครั้นภายหลังมาคิดให้โทษ ได้ดีแลชั่วก็เพราะเสียวโห ข้าพเจ้ายังแค้นอยู่ สุมาตองสองจึ่งเรียกเสียวโหเข้ามาถามว่า เหตุใดท่านจึ่งเป็นคนกลับกลอก ได้อุปถัมภ์เขาแล้วภายหลังกลับให้โทษเขาฉะนี้ เห็นควรแล้วหรือ เสียวโหจึ่งว่า เมื่อห้านสิ้นเข้าสวามิภักดิ์อยู่ฮันอ๋องไปครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าตามไปในเวลากลางคืนเอาตัวกลับมา ครั้นภายหลัง ห้านสิ้นคบคิดกับตันฮี้คิดขบถ เมื่อจะยกทัพไปปราบตันฮี้นั้น ได้สั่งนางลีเฮาให้เอาใจใส่ในราชการ นางลีเฮาจึ่งเรียกข้าพเจ้าไปในพระราชวัง ปรึกษาราชการจะกำจัดห้านสิ้น ข้าพเจ้าได้ช่วยทูลว่า ห้านสิ้นมีความชอบเป็นอันมาก การซึ่งเป็นขบถยังมิได้จะแจ้งเลย ขอท่านอย่าเพ่อทำโทษก่อน ด้วยผู้คนในบ้านจะแกล้งห้านสิ้นประการใดก็ไม่ทราบ นางลีเฮาโกรธว่า ข้าพเจ้าเป็นใจกับห้านสิ้น จะทำโทษ ก็เป็นที่จนใจ ภายหลังทัพตันฮี้แตกแล้ว เมื่อห้านสิ้นเข้าไปในพระราชวังถูกอุบายนั้น เป็นความคิดของนางลีเฮา ข้าพเจ้าไม่ทราบ ห้านสิ้นได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึ่งว่า เมื่อเขาเอาญาติพี่น้องของเราไปฆ่าสามชั่วโคตร ท่านช่างไม่มีความเมตตาบ้างเลย เสียวโหได้ฟังก็นิ่งอยู่มิได้ตอบประการใด

สุมาตองสองจึ่งให้จดถ้อยคำไว้ แล้วเรียกแพอวดซึ่งเป็นที่ไต้เหลียงอ๋องเข้ามาถามว่า นางลีเฮาฆ่าท่านด้วยโทษสิ่งใด แพอวดจึ่งว่า ข้าพเจ้าได้ช่วยปราบปรามบ้านเมืองให้แก่ฮันอ๋องจนสำเร็จ ครั้นภายหลัง ฮันอ๋องไปปราบตันฮี้ นางลีเฮาบังเกิดความมักมากในทางประเวณี จึ่งถามขันทีว่า บรรดาข้าราชการรูปร่างผู้ใดจะสะอาด ขันทีจึ่งกราบทูลว่า แพอวดรูปร่างสะสวย นางลีเฮาจึ่งใช้ขันทีให้ไปทั้งกลางวันกลางคืนหาตัวข้าพเจ้าไปในพระราชวัง แล้วจึ่งจัดโต๊ะมาเลี้ยง ครั้นข้าพเจ้าเสพสุราได้ประมาณสามถ้วย นางลีเฮาก็มีใจกำเริบขึ้น จะทำการประเวณีกับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือสัตย์กตัญญู ไม่ปลงใจด้วย ก็กริ้วโกรธ จึ่งใช้ขันทีให้เอากระบองอาญาสิทธิ์ตีข้าพเจ้าจนตาย แล้วจึ่งปรึกษากับนางลีกู๋ผู้น้องสาวคิดใส่โทษข้าพเจ้าว่า เป็นขบถ ให้ฆ่าเสียสามชั่วโคตร แล้วเอาเนื้อไปทำเนื้อส้ม ห้ามมิให้ทำการฝังศพ ฝ่ายนางลีเฮาจึ่งว่า แพอวดพูดจาไม่จริง ขอท่านอย่าได้เชื่อฟัง ธรรมดาผู้ชายก็ย่อมเกี้ยวสตรี สตรีจะเกี้ยวผู้ชายนั้นผิดไป เมื่อท่านเข้าไปในพระราชวัง เห็นชาววังรูปงดงาม ก็พูดจาเกี้ยว ด้วยธรรมเนียมเป็นขุนนางเกี้ยวภรรยาเจ้า โทษก็ต้องตัดศีรษะ ฝ่ายแพอวดจึ่งว่า เมื่อท่านตกอยู่ในกองทัพเมืองฌ้อ ได้ทำชู้กับเสียวโห ตัวข้าพเจ้าไม่มีความผิด มาใส่โทษว่า เป็นขบถ ให้ฆ่าเสียสามชั่วโคตร ทำดังนี้เห็นดีแล้วหรือ นางลีเฮาได้ฟังดังนั้นก็มีสีหน้าซีดสลดลง ก็มิได้ตอบประการใด ก้มหน้านิ่งอยู่ สุมาตองสองจึ่งว่า ท่านไม่มีผิดจริง แต่เมื่อจะฆ่าท่านนั้น ไม่มีผู้แก้ไขฤๅ แพอวดจึ่งว่า ข้าพเจ้ามีที่ปรึกษาคนหนึ่งชื่อ ยงเทียด ทราบความแล้วก็กลัวตายหนีไป ทิ้งข้าพเจ้าไว้ ขอท่านช่วยชำระด้วยเถิด

สุมาตองสองจึ่งเรียกยงเทียดเข้ามาถามว่า เหตุใดท่านจึ่งไม่ซื่อสัตย์ต่อเจ้านายแล้วหนีเอาตัวรอดทิ้งให้ตายด้วยมือสตรี ดังนี้ควรแล้วฤๅ ยงเทียดจึ่งตอบว่า เมื่อนางลีเฮาจะประหารชีวิตห้านสิ้นนั้น ข้าพเจ้าก็ทราบว่า การครั้งนี้คงจะถึงได้เหลียงอ๋อง ครั้นภายหลังกลางคืนก็เป็นที่สงสัย จึ่งเตือนสติไต้เหลียงอ๋อง ไต้เหลียงอ๋องก็ไม่เชื่อฟังคำของข้าพเจ้า ฝ่ายสุมาตองสองจึ่งว่า เมื่อไต้เหลียงอ๋องสิ้นชีวิตนั้น แต่คนนอกก็คิดสังเวช ท่านเป็นข้าราชการ ไม่ได้ตามเจ้า แต่จะอยู่ครอบครองครอบครัวของเจ้าไว้ก็ไม่ได้ ท่านนี้มีความผิดเป็นอันมาก แล้วให้เจ้าพนักงานจดถ้อยคำไว้ จึ่งเรียกหยินโปซึ่งเป็นทีกิ๊วกังอ๋องเข้ามาแล้วให้การว่า ข้าพเจ้ากับห้านสิ้น แพอวด มีความชอบเสมอกัน มิได้คิดขบถ แกล้งฆ่าเสีย ในขณะนั้นฮันอ๋องจึ่งตอบว่า ซึ่งห้านสิ้น แพอวด ตาย เราก็มีความเสียดายอยู่ แต่อ้ายหน้าดำหยินโปนี้เป็นขบถ ฆ่าผู้ถือรับสั่ง ดูกิริยาจะชิงเอาราชสมบัติ จึ่งได้ฆ่าเสีย ยังจะมาฟ้องกล่าวโทษกันอีกเล่า หยินโปจึ่งว่า ท่านอย่าพูดมากไป ข้าพเจ้าจะว่าให้ฟัง เมื่อครั้งข้าพเจ้าเสพสุราอยู่ที่เก๋งบอง กังเต๋งผู้ถือรับสั่งเอาเนื้อส้มมาให้ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึ่งบริโภค ครั้นเห็นเล็บมือเข้า ก็มีความสงสัย จึ่งถามผู้ถือรับสั่งว่า เนื้ออันใด ผู้ถือรับสั่งก็ไม่บอก ข้าพเจ้าจึ่งชักกระบี่ออกขู่ถาม ผู้ถือรับสั่งจึ่งบอกว่า เนื้อแพอวด ข้าพเจ้าจึ่งอาเจียนออกมา จึ่งได้ฆ่าผู้ถือรับสั่งเสีย ซึ่งฮันฮ๋องกล่าวโทษว่าเป็นขบถนั้นมิจริง ขอท่านจงช่วยชำระให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด

ฝ่ายสุมาตองสองได้ฟังดังนั้นก็รู้ชักว่า แกล้งฆ่ากันจริง จึ่งว่า น่าสังเวช อ๋องทั้งสามนี้ไม่ควรจะตายเลย ซึ่งแผ่นดินฮั่นนี้ท่านทั้งสามได้ปราบปรามให้ ชาติหน้าจะแบ่งเป็นสามก๊ก ยกความช่วยเหลือให้เป็นบำเหน็จรางวัลกับท่าน แล้วให้จดหมายเป็นถ้อยคำไว้ ข้อสอง ฟำแจ้งเป็นโจทก์ ตันแผงเป็นจำเลย ฟำแจ้งให้การว่า เมื่อข้าพเจ้าอยู่กับฮังอี๋ ก็ตั้งใจโดยสุจริต มิได้คิดเห็นแก่ชีวิต หมายใจว่า จะเอาชัยชนะเมืองฮั่นให้จงได้ ไม่ทราบว่า อ้ายขบถตันแผงมันจะคิดกลอุบายให้ฌ้อปาอ๋องเกิดความระแวงสงสัยว่า ข้าพเจ้าไม่เป็นคนซื่อสัตย์ ฝ่ายตันแผงจึ่งตอบว่า ธรรมดาเป็นขุนนาง ต่างคนมีเจ้านาย ก็ต้องหาความชอบไว้บ้าง เหตุใดจึ่งได้ทรยศหนีไปสามภักดิ์อยู่กับฮันอ๋อง ดังนี้จะมิเป็นขบถฤๅ ตันแผงได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอยู่ มิได้ตอบเป็นประการใด สุมาตองสองจึ่งว่า ของเน่าก็ย่อมมีหนอน คนมักสงสัย จึ่งได้เชื่อคำยุยง ถึงตันแผงจะทำกลอุบายประการใด ถ้าฮังอี๋ไม่สงสัยแล้ว ใครจะทำอันตรายท่านได้ ฟำแจ้งจึ่งตอบว่า ฮังอี๋เป็นคนมีสัตย์ งูจูอี๋เป็นคนสอพลอ แต่คนทั้งสอง ถ้าจะพูดจาสิ่งอันใด ก็เชื่อฟังกัน ข้าพเจ้าได้ตักเตือนฮังอี๋เป็นหลายครั้ง จนถูกงูจูอี๋ผลักตกจากเก้าอี้ ถึงจะมีปัญญาก็ใช้ไม่ได้ มีทุกข์มิรู้ที่จะฟ้องกับผู้ใด จึ่งได้ลากลับไปปบ้าน ยังไม่ทันจะถึงบ้าน ก็บังเกิดความแค้นจนเป็นฝีขึ้นในท้องตาย

ฝ่ายสุมาตองสองจึ่งว่า งูจูอี๋ทำให้ผู้มีสติปัญญาอับเฉา จึ่งได้เป็นทีให้ตันแผงทำกลอุบาย ถ้าฟำแจ้งยังอยู่ เมืองฌ้อก็ไม่เสีย แล้วให้จดถ้อยคำไว้ ข้อสาม เตงก๋อง ฮวนโกย เป็นโจทก์ เล่าปังเป็นจำเลย เตงก๋องจึงให้การว่า เมื่อครั้งฮันอ๋องต้องล้อมอยู่ที่เมืองเพงเสงนั้น ข้าพเจ้าเห็นฮันอ๋องมีลักษณะเหมือนมังกร ก็ให้มีความกรุณา จึ่งปล่อยเสีย ได้ช่วยชีวิตไว้เมื่อจวนตัว ไม่ทราบว่า ฮันอ๋องได้เป็นกษัตริย์ขึ้นแล้ว จะประหารชีวิตข้าพเจ้าเสีย ฝ่ายฮันอ๋องจึ่งว่า เตงก๋องนี้เป็นทหารสนิทของฮังอี๋ ได้พบข้าศึกแล้วปล่อยเสีย ควรแล้วฤๅ เป็นคนทรยศต่อเจ้า จึ่งฆ่าเสีย ปรารถนาจะมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไปภายหน้า เตงก๋องจึ่งตอบว่า เมื่อเลี้ยงโต๊ะที่ฮองหมึงนั้น หางเปก ฮวนโกย ได้รำกระบี่กัน ท่านไว้ใจ ก็ไม่ซื่อตรงต่อฮังอี๋เหมือนกัน เหตุใดจึ่งไม่ฆ่าเสียเล่า กลับตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ยังอีกผู้หนึ่งชื่อ ยองซี เป็นทหารคนสนิทของฌ้อปาอ๋อง สามิภักดิ์กับท่าน ๆ ก็ตั้งเป็นขุนนาง แต่ข้าพเจ้าผู้เดียวเหตุใดจึ่งได้ขัดเคืองนัก ฮันอ๋องได้ฟังดังนั้นก็มิได้ตอบประการใด ก้มหน้านิ่งอยู่ สุมาตองสองจึ่งให้เจ้าพนักงานจดถ้อยคำไว้ แล้วจึ่งเรียกฮวนโกยเข้ามาถามว่า ฮันอ๋องฆ่าท่านด้วยโทษสิ่งใด ฮวนโกยให้การว่า เมื่อครั้งฌ้อปาอ๋องใช้อุบายให้หางจ๋องรำกระบี่ ข้าพเจ้าได้ป้องกันฮันอ๋องไว้ มิได้คิดแก่ชีวิต ไม่ทราบว่า ฮันอ๋องจะคิดลบหลู่บุญคุณ ใช้ทหารให้ฆ่าข้าพเจ้าเสีย จึ่งเห็นว่า ฮันอ๋องเป็นคนไม่ดี แต่กีสิ้นตายที่ตำบลเองหยองยังทำเพิกเฉยเสีย ไม่ควรจะเป็นเจ้าบ้านผ่านเมืองเลย ฮันอ๋องได้ฟังดังนั้นก็มิได้ตอบประการใด สุมาตองสองจึ่งว่า ฮันก๋องนี้ไม่ดีจริง เป็นคนทรยศต่อผู้มีคุณ เหมือนสมคำที่เตงก๋อง ฮวนโกย กล่าว แล้วให้พนักงานจดเอาถ้อยคำไว้ ข้อสี่ นางเซกซี นางลิซี นางอองซี ยูอี เซียวเต้นั้น ฮวนซันอ๋องเป็นโจทก์ นางลีเฮาเป็นจำเลย ครั้นภายหลังฮันอ่องสวรรคต นางลีเฮาอุบายเรียกข้าพเจ้าแม่ลูกเข้าไปในพระราชวัง เอายาพิษกรอกยูอีจนสิ้นชีวิต แล้วให้สาวใช้เอาเข็มแทงข้าพเจ้า แล้วตัดมือเท้าข้าพเจ้า เอาไปทิ้งที่ถ่ายอุจจาระ ข้าพเจ้าแม่ลูกมีโทษทัณฑ์ประการใด จึ่งทำถึงสาหัสดังนี้ สุมาตองสองได้ฟังดังนั้นก็กลั้นน้ำตามิได้ จึ่งให้พนักงานจดเอาถ้อยคำไว้ นางลิซีก็ให้การว่า พระเจ้าฮุยเต้นั้นไม่มีพระราชโอรส แต่นางลีเฮามีใจปรารถนาจะล้างผลาญแซ่เหลาเสีย จะยกแซ่ลี้ขึ้นเป็นกษัตริย์ ยังเกรงขุนนางผู้ใหญ่อยู่ คิดอุบายใช้คนสนิทลอบไปหาหญิงราษฎรที่มีครรภ์เข้ามาปรนนิบัติ แล้วว่า ผู้ใดคลอดเป็นบุรุษ จะให้ครองราชสมบัติ จึ่งเผอิญข้าพเจ้าคลอดเป็นบุรุษ นางลีเฮากลัวว่า ข้าพเจ้าจะได้เป็นใหญ่ จึ่งเรียกเข้าไปที่บียองเก๋ง เอาสุรายาพิษกรอกข้าพเจ้าจนถึงแก่ความตาย ครั้นภายหลัง พระเจ้าฮุยเต้สิ้นพระชนม์ บุตรข้าพเจ้าก็ได้ครองราชสมบัติทรงพระนามว่า พระเจ้าเซียวเต้ ครั้นพระเจ้าเซียวเต้เจริญวัยขึ้น ก็ทราบความเดิม แล้วจึ่งได้เขียนรูปข้าพเจ้าไว้บูชาที่เก๋ง นางลีเฮากลัวความจะแพร่งพราย จึ่งให้จับพระเจ้าเซียวเต้ขังจนตาย ทำทั้งนี้เป็นที่สังเวชนัก ขอท่านจงได้เมตตาด้วยเถิด สุมาตองสองได้ฟังก็โกรธจึ่งว่า นางลีเฮานี้เปรียบเหมือนไก่ตัวเมียขัน ทำให้เสียธรรมเนียม จะทำการสิ่งใดก็เอาแต่อำเภอใจ มิได้ปรึกษาหารือกับผู้ใด ดังนี้ จะเป็นพระมเหสีเอกมิได้ นางลีเฮาก็มิได้ตอบประการใด นั่งนิ่งอยู่

นางอองซีให้การว่า ข้าพเจ้ากับนางลิซีมาคราวเดียวกัน ข้าพเจ้ามีบุตรผู้หนึ่งชื่อ หวง ได้เป็นกษัตริย์อีก ก็กลัวว่า ราชสมบัติจะไม่ได้กับแซ่ลี้ จึ่งยกบุตรข้าพเจ้าขึ้นครองราชสมบัติแทนพระเจ้าเซียวเต้ แล้วเอายาพิษมากรอกข้าพเจ้าจนตาย ครั้นภายหลัง บุตรข้าพเจ้าก็ทราบความอันนี้เข้า นางลีเฮาเกรงว่า ฮวนซันอ๋องจะคิดพยาบาท จึ่งใช้ให้จับฮวนซันอ๋องใส่ในกระสอบผ้าทุบเสียจนตาย แล้วให้ประกาศว่า ฮวนซันอ๋องเป็นโรคปัจจุบันตาย ตั้งแต่โบราณมาก็มิได้เห็นผู้ใดทำความชั่วดั่งนี้เลย ต่างคนก็กอดคอกันร้องไห้ สุมาตองสองจึ่งว่า ท่านทั้งหกแม่ลูกอย่ามีความโทมนัสน้อยใจ แล้วให้จดถ้อยคำไว้ ข้อห้า ฮังอี๋เป็นโจทก์ สิมาถอง อองอี๋ เอียวเซียน ลีเซง ฮาก๋อง เอียวบู๊ เป็นจำเลย จึ่งถามฮังอี๋ว่า ผู้ที่ทำลายเมืองฌ้อนั้นคือห้านสิ้น เหตุใดมาฟ้องทหารทั้งหกเล่า ฮังอี๋ให้การว่า ข้าพเจ้ามีจักษุเสียเปล่า ไม่รู้จักคนดีคนชั่ว ซึ่งห้านสิ้นละข้าพเจ้าไปสามิภักดิ์กับฮันอ๋อง ก็มิได้มีความโกรธนักเลย แต่พวกสิมาถองนั้น ข้าพเจ้าแค้นดังเพลิงลุกในอก เมื่อข้าพเจ้าแตกหนีไป ไม่รู้จักทาง พบชาวนา จึ่งถามว่า ทางจะไปเมืองฌ้อทางไหนเล่า จึ่งชี้มือไปทิศตะวันตก แต่ชาวนาผู้นั้นก็เป็นทหารของข้าพเจ้าชื่อ ฮาก๋อง ไม่ทราบว่า จะหลอกให้เข้าไปในที่ล้อม ข้าพเจ้าผู้เดียวได้ตีกระบวนทัพซึ่งล้อมอยู่นั้นแตกถึงสามครั้ง จึ่งหนีออกจากที่ล้อมไปได้ พบบินจูที่แม่น้ำออกังเอาเรือมาคอยรับจะให้ข้าพเจ้าหนีไปเมืองฌ้อ ข้าพเจ้าจึ่งเหลียวหลังดูเห็นกองทัพใกล้เข้ามา แล้วเห็นทหารซึ่งตามมานั้นเป็นสิมาถอง ก็หมายใจว่า จะมาช่วยชีวิต ไม่ทราบว่า จะมาเร่งรัดให้เชือดคอตาย แล้วตัดศีรษะไปเอาความชอบ ทำดังนี้ควรฤๅ ฝ่ายพวกสิมาถองจึ่งร้องขึ้นพร้อมกันว่า เมื่อครั้งท่านเผาพระราชวัง แล้วขุดพระศพพระเจ้าจิ่นซีฮ่องเต้ เอาเงินทองมาเป็นอาณาประโยชน์ตัวเอง แล้วฆ่าพระเจ้างีเต้กับจูเองเต้เสีย ตั้งตัวเป็นไซฌ้อปาอ๋อง ทำการดังนี้ คนทั้งหลายจึ่งเอาใจออกหาก

ฝ่ายสุมาตองสองจึ่งว่า ฮังอี๋นี้ไม่ดี ฆ่าพระเจ้างีเต้กับจูเองเต้เสีย พวกสิมาถองเป็นคนทรยศ จะยกโทษให้ไม่ได้ จึ่งให้จดถ้อยคำไว้ ข้อหก ลองโจ๋เป็นโจทก์ ห้านสิ้นเป็นจำเลย ลองโจ๋ให้การว่า เมื่อข้าพเจ้าไปตีเมืองเจ๋ ห้านสิ้นต้านทานฝีมือไม่ได้ จึ่งใช้ให้ทหารเอาเสาธงไปปักกลางแม่น้ำทำอุบายล่อลวงทหารข้าพเจ้าตายเป็นอันมาก ในขณะนั้น พวกทหารเมืองฌ้อเข้ามาร้องกล่าวโทษห้านสิ้นประมาณร้อยหนึ่ง ฝ่ายสุมาตองสองจึ่งว่า ท่านทั้งหลายอย่าโทมนัสเลย เราจะชำระตัดสินให้โดยยุติธรรม จึ่งให้จดถ้อยคำไว้ ข้อเจ็ด เตียนก๋องเป็นโจทก์ ห้านสิ้นเป็นจำเลย จึ่งถามเตียนก๋องว่า ห้านสิ้นกับท่านก็อยู่ต่างเมืองกัน เหตุใดจึ่งมากล่าวโทษห้านสิ้นเล่า เตียนก๋องจึงตอบว่า ห้านสิ้นนี้เป็นคนไม่มีสัตย์ เห็นแก่ประโยชน์ความชอบ เมื่อครั้งฮันอ๋องใช้ลี้เสงมาเกลี้ยกล่อม ข้าพเจ้าก็ยอมสามิภักดิ์ ครั้นภายหลัง ห้านสิ้นใช้ทหารให้จับครอบครัวบุตรภรรยาข้าพเจ้าประหารชีวิตเสียจนสิ้น แล้วเอาความดีไปแจ้งแก่ฮันอ๋อง ทำดังนี้ควรแล้วฤๅ สุมาตองสองจึ่งว่า ห้านสิ้นนี้ทำการเหลือเกินนัก จึ่งให้จดเอาถ้อยคำไว้ ข้อแปด เล่าอิ๊ว เล่าโขย เป็นโจทก์ นางลีเฮา ลิสอก ลิซาน ลิฮับ เป็นจำเลย เล่าอิ๊ว เล่าโขย ให้การว่า เมื่อฮันอ๋องสิ้นพระชนม์แล้ว นางลีเฮาก็ปรารถนาจะยกแซ่ลี้ขึ้นเป็นกษัตริย์ เกรงข้าพเจ้าทั้งสองอยู่ จึงอุบายเอาหญิงแซ่ลี้ให้เป็นภรรยา ข้าพเจ้าทั้งสองไม่รู้อุบาย จึ่งยอมเป็นเขยพวกแซ่ลี้ ครั้นภายหลัง ก็ใช้ทหารให้จับข้าพเจ้าทั้งสองขังไว้ในตึกมืด ฝ่ายสุมาตองสองได้ฟังดังนั้นก็โกรธเป็นกำลังจึ่งว่า นางลีเฮานี้มีความผิดเป็นอันมาก ฟ้าและดินก็ไม่เข้าด้วยแล้ว จึ่งให้จดถ้อยคำไว้ แล้วเรียกห้านสิ้นเข้ามาว่า ท่านจงไปเกิดที่ตำบลเจียวกุ๋น เป็นบุตรโจสงชื่อ โจโฉ ชื่อครูตั้ง เบงเตก เป็นมหาอุปราช ภายหลังเป็นงุยอ๋องอยู่เมืองฮูโต๋ แบ่งแผ่นดินฮั่นกึ่งหนึ่ง เหตุท่านมิได้คิดขบถ ต่อถึงบุตรท่านเป็นกษัตริย์ จึ่งตั้งท่านเป็นบูเต้เป็นการตอบแทน ฮันอ๋องนั้นจงไปเกิดในวงศ์ห้าน เป็นพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่ในชาตินั้นอย่าให้มีความสุข ให้โจโฉข่มเหงอยู่เสมอเป็นนิจ เป็นการใช้ชาติซึ่งมิได้มีความเมตตาแก่ขุนนางทั้งปวง นางลีเฮานั้นจงไปเกิดที่บ้านแซ่ฮก เป็นมเหสีของพระเจ้าเหี้ยนเต้ ภายหลังให้โจโฉเอาผ้ารัดคอตายแล้วฆ่าเสียสามชั่วโคตร เป็นการใช้ชาติซึ่งฆ่าห้านสิ้นสามชั่วโคตรนั้น แล้วเรียกเสียวโหเข้ามาว่า ท่านจงไปเกิดเป็นเอียวสิว ชื่อครูตั้ง แตกโจ เป็นที่สมุหบาญชีของโจโฉ ภายหลังให้โจโฉฆ่าเสีย เป็นการใช้ชาติ เรียกเซียกองตู่เข้ามาว่า ท่านจงไปเกิดที่ตำบลซัวจ๋วน ชื่อ ลี้แปะเฉีย ภายหลังโจโฉเอาไปใช้แล้วฆ่าเสีย เป็นการใช้ชาติซึ่งกล่าวโทษห้านสิ้น แล้วเรียกหยินโปเข้ามาว่า ท่านจงไปเกิดที่เมืองกังตั๋งเป็นบุตรซุ่นเกียนชื่อ ซุ่นกวน ชื่อครูตั้ง ตองบอง ได้ครองราชสมบัติในเมืองกังตั๋ง มีเมืองโทเก้าหัวเมือง ๆ ตรีแปดสิบเอ็ดหัวเมือง เป็นการตอบแทนเมื่อชาติก่อนท่านได้ความลำบาก แล้วเรียกแพอวดเข้ามาแล้วว่า ท่านจงไปเกิดที่ตำบลตกกุ๋น ที่บ้านมีต้นหม่อน เป็นบุตรเล่าเหงชื่อ เล่าปี่ ชื่อครูตั้ง เฮียนเตก จงตั้งตัวเป็นกษัตริย์ เป็นที่นับถือแก่คนทั้งหลาย เป็นการตอบแทนด้วยชาติก่อนท่านมิได้คิดคดทรยศผู้ใด แล้วเรียกลีกู๋เข้ามาว่า ท่านไม่ควรจะช่วยนางลีเฮาทำการทุจริต เปรียบเหมือนเอาปีกมาใส่ให้กับเสือ จงไปเกิดที่ตำบลสานฉวน เป็นภรรยาเล่าอ๋าน ภายหลังให้เล่าอ๋านฆ่าเอาเนื้อมาต้มให้เล่าปี่กิน เป็นการใช้ชาติ

ฝ่ายแพอวดจึ่งว่า ท่านจัดการดังนี้ก็สมควรอยู่แล้ว แต่ทว่า ท่านจะให้ข้าพเจ้าไปเป็นเจ้าเมืองเสฉวนนั้น จะคิดสู้รับกับเมืองกังตั๋ง เมืองฮูโต๋ เห็นจะเหลือกำลังเป็นแน่แท้ สุมาตองสองจึ่งว่า ท่านอย่าวิตกเลย แล้วเรียกยงเทียดเข้ามาว่า ท่านก็เป็นคนฉลาด อาจจะรู้การล่วงหน้าได้ จงไปเกิดเป็นแซ่ บัง ชื่อ ทอง ชื่อครูตั้ง ซูหงวน ฉายา อาจารย์ฮองซู เป็นที่ปรึกษาฝ่ายซ้ายของเล่าปี่ แล้วไปตายที่ตำบลลกหองโห เป็นการใช้ชาติ แล้วเรียกฟำแจ้งเข้ามาว่า ท่านก็มีสติปัญญาหาผู้เปรียบโดยยาก จงไปเกิดที่เมืองลงเสีย แซ่ จูกัด ชื่อ เหลียง ชื่อครูตั้ง ขงเบ้ง ฉายา อาจารย์ฮกหลง เป็นที่ปรึกษาฝ่ายขวาของเล่าปี่จนสิ้นชีวิต อย่าได้คิดทรยศต่อเจ้า เป็นการตอบแทน แล้วเรียกตันแผงเข้ามาว่า ท่านจงไปเกิดเป็นจิวยี่ ชื่อครูตั้ง คงกึน เป็นผู้สำเร็จราชการเมืองกังตั๋ง ภายหลังต้องอุบายของขงเบ้งอาเจียนเป็นโลหิตตายที่ตำบลปาขิว เป็นการใช้ชาติ แล้วเรียกงูจูกี๋เข้ามาว่า ท่านจงไปเกิดเป็นแซ่ ม้า ชื่อ เจก ชื่อครูตั้ง อิวเสียง เป็นทหารเล่าปี่ ภายหลังให้ขงเบ้งฆ่าเสีย เป็นการใช้ชาติ แล้วเรียกฮวนโกยเข้ามาว่า ท่านจงไปเกิดที่เมืองหวนเอี๋ยงชื่อ เตียวหุย ชื่อครูตั้ง เอ๊กเต็ก ฮังอี๋จงไปเกิดที่เมืองโอตั๋งนั้น ชื่อ กวนอู ชื่อครูตั้ง หุนต๋อง ท่านทั้งสองจงมีกำลังและฝีมือให้เข้มแข็ง แล้วไปสาบานเป็นพี่น้องกับเล่าปี่ที่สวนยี่โถเป็นการตอบแทน แต่ม้าเฮกลองขูซึ่งกระโดดน้ำตายนั้นจงไปเกิดเป็นม้าเซกเทาสำหรับให้กวนอูขี่ทำศึกสงคราม แต่ฮังอี๋ ชาติก่อนได้ฆ่าพระเจ้างีเต้กับจูเองเต้ ไปเกิดเป็นแซ่ ลก ชื่อ ซุน ชื่อครูตั้ง เป็นเหงียน ท่านทั้งสองจงเป็นทหารเอกอยู่เมืองกังตั๋ง ฝ่ายฮังอี๋จึ่งว่า ทหารของข้าพเจ้าอีกสองคน จิวหลัน หนึ่ง ฮวนฌ้อ หนึ่ง ได้ติดตามจนตายในกลางศึก ข้าพเจ้ายังมีความเสียดายอยู่ ขอไต้อ๋องจงได้โปรดด้วยเถิด

สุมาตองสองจึ่งเรียกคนทั้งสองเข้ามา แล้วให้จิวหลันไปเกิดเป็นจิวฉอง ให้ฮวนฌ้อไปเกิดเป็นกวนเป๋ง เป็นทหารกวนอู กวนอูนั้นเป็นผู้มีสัตย์ ถ้าสิ้นชีวิตแล้ว จงไปเป็นเทพารักษ์ แล้วเรียกหางเป็กเข้ามาว่า ท่านจงไปเกิดเป็นงันเหลียงเถิด ยองชีนั้นจงไปเกิดเป็นบุนทิว ภายหลังให้กวนอูฆ่าเสียทั้งสองคน เป็นการใช้ชาติ แล้วเรียกสิมาถองเข้ามาว่า ท่านจงไปเกิดเป็นลิหยง เอียวซินไปเกิดเป็นเบียนซี อองจีจงไปเกิดเป็นอองเซก ลิเซงจงไปเกิดเป็นหันฮก ฮาก๋องจงไปเกิดเป็นขงซิว อาบู๊จงไปเกิดเป็นจิ๋นเตก เมื่อกวนอูข้ามห้าด่านได้ฆ่าทหารทั้งหกเสีย เป็นการใช้ชาติเขา แล้วเรียกเตงก๋องเข้ามาว่า ท่านจงไปเกิดที่ตำบลไหสานชื่อ อิกิม ชื่อครูตั้ง บุนเจก ภายหลังต้องน้ำท่วมแล้วกวนอูจับไปขังคุกไว้ เป็นการใช้ชาติ แล้วเรียกบินจู๋เข้ามาว่า ท่านจงไปเกิดที่ตำบลม้าอินชื่อ เตียวเหลียง ชื่อครูตั้ง บุนอ๋วน นั้น ภายหลังโจโฉจับท่านไปได้แล้วจะฆ่าท่านเสีย กวนอูขอไว้เป็นการตอบแทน แล้วเรียกกีสินเข้ามาสั่งว่า ท่านจงไปเกิดที่ตำบลเสียวสานชื่อ เตียวยุน ชื่อครูตั้ง จูหลง เป็นทหารเอกที่เมืองเสฉวน จะยกทัพไปตีที่ตำบลใด ก็มีชัยชนะทุกครั้ง จะตายก็โดยปกติ เป็นการตอบแทนเมื่อชาติก่อนท่านได้รับความลำบากมาก แล้วเรียกเซกซีเข้ามาว่า ท่านจงไปเกิดเป็นภรรยาหลวงเล่าปี่ ยูอีนั้นไปเกิดเป็นอาเต๋า ได้ครองราชสมบัติเป็นสุขอยู่สี่สิบปีเศษ นางลิซีจงไปเกิดเป็นภรรยาหลวงซุ่นกวน ฮวนซันอ๋องไปเกิดเป็นซ่วนเหลียง แบ่งเอาแผ่นดินฮั่นมาครอบครองส่วนหนึ่งเป็นการตอบแทน แล้วเรียกลองโจเข้ามาว่า ท่านจงไปเกิดที่ตำบลโบเหลงชื่อ ม้าเฉียว ชื่อครูตั้ง เผงซี กับพวกทหารซึ่งจมน้ำตาย จงไปเกิดเป็นทหารเมืองเสงเหลียง ภายหลังตีทัพโจโฉแตกที่ตำบลด่านตองก๋วนจนถึงแก่ตัดหนวดแลทิ้งเสื้อเกราะเสียนั้น เป็นการใช้ชาติ แล้วเรียกเตียนก๋องเข้ามาว่า ท่านจงไปเกิดเป็นโจรชื่อ เตียวหงุน เที่ยวหากินแต่เวลากลางคืน ภายหลังฆ่าบิดาและครอบครัวของโจโฉเสียที่กลางทาง เป็นการใช้ชาติ แล้วเรียกเล่าอิ๊ว หนึ่ง เล่าโขย หนึ่ง แล้วว่า ท่านจงไปเกิดในวงศ์ตระกูลฮั่น เล่าอิ๊วเป็นเล่าเปี้ยว ชื่อครูตั้ง เกงเสง ครองเมืองเกงจิว ตั้งตัวเป็นเสงบูหอ เล่าโขยนั้นเป็นเล่าเจียง ชื่อครูตั้ง กุยหยก นั้น ครองเมืองเสฉวน มีเมืองขึ้นสี่สิบเอ็ดหัวเมือง แล้วตั้งตัวเป็นจิ๋นบูหอเป็นการตอบแทน แล้วจึ่งเรียกลิสอก หนึ่ง ลิซาน หนึ่ง ลิฮับ หนึ่ง เข้ามาว่า ท่านเป็นคนทรยศต่อเจ้า จงไปเกิดเป็นม้าสำหรับให้คนทั้งหลายขี่ เป็นการใช้ชาติที่ใจชั่ว ฝ่ายพวกทูตนรกทั้งหลายพร้อมกันเห็นชอบด้วย สุมาตองสองจึ่งเรียกนางเพียวโบเข้ามาว่า ชาติก่อนท่านได้ให้อาหารห้านสินกิน จงไปเกิดเป็นบุตรสาวชัวหยงชื่อ ต่ำ ชื่อครูตั้ง นางบุนกี๋ ภายหลังโจโฉไปพบเข้าแล้วให้ทองคำแก่ท่านพันตำลึงเป็นการตอบแทน ในขณะนั้น พนักงานผู้หนึ่งจึ่งบอกแก่สุมาตองสองว่า ขอไต้อ๋องจงโปรดชำระความอีกข้อหนึ่งเถิด หางเหลียงเป็นโจทก์ เจียงหำ หนึ่ง ตังอี หนึ่ง สุมาหิน หนึ่ง เป็นจำเลย สุมาตองสองจึ่งเรียกหางเหลียงเข้ามาว่า ท่านก็เป็นอาของฌ้อปาอ๋อง จงไปเกิดเป็นเกียงอุย เจียงหำไปเกิดเป็นจงโหย ตั้งอีไปเกิดเป็นเตงงาย สุมาหินไปเกิดเป็นตงเต็ง ภายหลังตายด้วยฝีมือเกียงอุยทั้งสามคน เป็นการใช้ชาติ

ครั้นชำระราชการเสร็จแล้ว ก็พอได้ยินเสียงไก่ขันเป็นเวลาเช้ามืด สุมาตองสองจึ่งลุกขึ้นจากที่ว่าราชการ แล้วเอาคำทั้งสิ้นขึ้นเสนอพระยายม ๆ ก็สรรเสริญว่า มนุษย์ผู้นี้มีสติปัญญาโดยแท้ ในขณะนั้น มีปิศาจผู้หนึ่งร้องเสียงอันดังว่า ท่านจัดการดังนี้ก็ย่อมเป็นที่สรรเสริญทั้งสี่ทิศ คดีของข้าพเจ้าข้อหนึ่ง บุตรประหารชีวิตบิดา ขอท่านจงช่วยชำระให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด สุมาตองสองจึ่งถามว่า ปิศาจนี้คือผู้ใด ปิศาจจึ่งบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อ ลิปุดอุย เป็นขุนนางที่บุนสื่นเหอนั้น อยู่เมืองจิ๋น สุมาตองสองจึ่งว่า เทวบัญชากำหนดให้ชำระแต่ในเวลาคืนหนึ่ง บัดนี้ ก็พ้นกำหนดเสียแล้ว เรารับชำระให้ไม่ได้ ฝ่ายพระยายมจึ่งว่า ความเรื่องนี้ขอท่านจงโปรดชำระให้สำเร็จด้วยเถิด สุมาตองสองจึ่งเรียกโจทก์แลจำเลยเข้ามาพร้อมด้วยกัน แล้วลิปุดอุยจึ่งให้การว่า เมื่ออิหยินไปเป็นตัวจำนำอยู่เมืองเตียว ข้าพเจ้ามีความสงสาร จึ่งยกจูกี๋ซึ่งเป็นภรรยาของข้าพเจ้าให้เป็นภรรยาอิหยิน แต่นางนั้นมีครรภ์ได้สองเดือน ไปอยู่กับอิหยินสิบเดือนจึ่งคลอดจูเจ้ง แล้วอิหยินจึ่งสัญญาว่า ถ้าช่วยคิดอุบายให้กลับไปเมืองจิ๋นได้ จะแบ่งราชสมบัติให้กึ่งหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงคิดอุบายพาอิหยินกลับไปเมืองจิ๋น อิหยินได้ครองราชสมบัติ จึ่งตั้งข้าพเจ้าเป็นขุนนางที่บุนสื่นหอ ภายหลังอิหยินสิ้นพระชนม์ จูเจ้งก็ครองราชสมบัติ ตั้งตัวเป็นจิ๋นซีฮ่องเต้ ฝ่ายนางจูกี๋ มารดาจูเจ้ง ก็มีใจกำเริบในการประเวณี ข้าพเจ้าจึ่งให้เล่าไอเข้าไปปฏิบัติ ภายหลังจูเจ้งทราบความ ก็โกรธข้าพเจ้านัก จึ่งให้สุรายาพิษข้าพเจ้ากินจนสิ้นชีวิต ทำการดังนี้ควรแล้วฤๅ ฝ่ายจูเจ้งได้ฟังดังนั้น ก็มิได้ตอบประการใด นั่งนิ่ง เล่าไอจึ่งให้การว่า ลิปุดอุยได้ไปทำการประเวณีกับนางจูฮองเฮา แล้วกลัวความผิดจะถึงตัวจริง จึ่งเอาข้าพเจ้ามาแปลงเป็นขันทีให้เข้าไปปรนนิบัตินางจูฮองเฮา ครั้นภายหลัง พระเจ้าจิ๋นซีฮ่องเต้ทราบความก็กริ้ว จึ่งให้ประหารชีวิตข้าพเจ้าเสียสามชั่วโคตร ขอท่านจงโปรดชำระให้ข้าพเจ้าด้วยเถิด สุมาตองสองจึ่งเรียกลิปุดอุยเข้ามาว่า ท่านมีคุณต่ออิหยินเป็นอันมาก จงไปเกิดเป็นลิโป้ ชื่อครูตั้ง ฮองเสี้ยน จงมีกำลังแลฝีมือให้เข้มแข็ง แล้วเรียกจูเจ้งเข้ามาว่า ท่านก็เป็นบุตรของลิปุดอุย จงไปเกิดเป็นตั้งโต๊ะ ชื่อครูตั้ง ตองเอ๋ง ภายหลังให้ลิโป้ผู้บุตรเลี้ยงฆ่าเสีย เป็นการใช้ชาติ เล่าไอจงไปเกิดเป็นอองอุ่น ขุนนางที่ไตซูต๋อฝ่ายกรมนา เป็นการตอบแทน นางจูกี๋ทำความชั่ว จงไปเกิดเป็นบุตรทาษ ให้อองอุ่นเลี้ยงเป็นบุตรชื่อ เตียวเสี้ยน แล้วอองอุ่นยกให้เป็นภรรยาลิโป้ ภายหลังจึ่งยกให้กับตั้งโต๊ะ

ฝ่ายสุมาตองสอง ครั้นชำระราชการเสร็จแล้ว จึ่งเอาคำตัดสินส่งให้พระยายม ๆ ก็นำขึ้นถวายต่อพระอิศวร ๆ จึ่งรับมาทอดพระเนตรแล้วตรัสชมสุมาตองสองว่า ความถึงสามร้อยปีเศษแล้ว ชำระคืนหนึ่งก็สำเร็จโดยยุติธรรม สมควรเป็นผู้มีสติปัญญาโดยแท้ แต่ชาตินี้ยังไม่มีโอกาส ชาติหน้าจงไปเกิดเป็นสุมาอี้ ชื่อครูตั้ง ตงตัด ภายหลังรวบรวมแผ่นดินสามก๊กเปลี่ยนนามเป็นแผ่นดินจิ้นสืบตระกูลไปชั่วบุตรหลาน แต่ห้านสิ้นซึ่งไปเกิดเป็นโจโฉนั้น ถึงจะมีบุตรหลาน ก็ต้องให้แซ่สุมาล้างผลาญ ตรัสดังนั้นแล้ว จึ่งมีเทวบัญชาให้สุมาตองสองกลับไปเมืองมนุษย์ ในขณะนั้น พระยายมจึ่งเชิญสุมาตองสองเสพสุราอยู่ สุมาตองสองขัดไม่ได้ ก็รับเอาถ้วยสุรามากินแล้วลาพระยายม ๆ ให้ทูตในเมืองนรกทั้งสองมาส่ง ครั้นถึงก็พอตกใจตื่นจึ่งรู้ว่า นิมิตฝัน แล้วบอกเล่าให้คนทั้งหลายฟัง จึ่งมีผู้จดหมายถ้อยไว้จนทุกวันนี้ จะจริงแลเท็จอยู่กับผู้กล่าว เรื่องสามก๊กอิ๋นจบแต่เท่านี้ ๏