หน้า ๑๓๐–๑๔๔ สารบัญ
ฝ่ายเตียวคีเห็นทหารหามศพเสี่ยงหยงไปทิ้งเสียดังนั้นก็โกรธ จึงเข้าไปทูลว่า เสี่ยงหยงเป็นคนสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน เข้ามาทัดทานว่ากล่าว พระองค์กลับโกรธ เสี่ยงหยงน้อยใจฆ่าตัวเสียฉะนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า ราชสมบัติท่านเห็นจะเป็นของผู้อื่นแล้ว พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังเตียวคีว่ากล่าวหยาบช้าก็ขัดเคืองนัก จึงให้ทหารจับตัวเตียวคีไปนาบด้วยเสาทองแดงจนเนื้อไหม้เกรียมเหม็นเขียวตระหลบไปทั้งวัง เตียวตีก็ขาดใจตาย พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จเข้าไปตำหนักตึกนางขันกี จึงตรัสบอกความซึ่งทำโทษเสี่ยงหยงกับเตียวคีให้นางขันกีฟัง แล้วปรึกษานางขันกีว่า นางเกียงฮองเฮาผู้ตายนั้นเป็นบุตรเกียงฮวนฌ้อ เจ้าเมืองตังลู้ เกียงฮวนฌ้อมีทแกล้วทหารมากกว่าร้อยหมื่น ถ้ารู้ว่า ทำโทษนางเกียงฮองเฮาถึงสิ้นชีวิต เห็นเกียงฮวนฌ้อจะคิดการกบฏ เราวิตกนัก เจ้าจะคิดประการใด นางขันกีจึงทูลว่า ข้าพเจ้าเป็นสตรี คิดไปมิถึง ขอให้หาฮุนต๋งเข้ามาเฝ้า ปรึกษากับฮุยต๋งจึงจะควร พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังนางขันกีว่าก็เห็นชอบด้วย จึงตรัสชมว่า เจ้ามีสติปัญญา บรรดาหญิงทั้งแผ่นดินไม่มีเสมอสอง สมควรจะเป็นมเหสีเอก พระเจ้าติวอ๋องจึงให้หาฮุยต๋งเข้ามาเฝ้าที่ข้างใน จึงตรัสปรึกษาฮุยต๋งว่า บรรดาขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยก็ต้องโทษตายเสียเป็นหลายคน ขุนนางซึ่งมิได้ซื่อตรงต่อเราจะลอบลักให้หนังสือลับไปถึงเกียงฮวนฌ้อว่า ทำโทษเกียงฮองเฮาตาย เห็นเกียงฮวนฌ้อจะคิดการกบฏยกมากระทำแก่เมืองเรา บุนไทสือเล่าไปปราบหัวเมืองฝ่ายเหนือยังไม่กลับมา หาผู้ใดจะสู้รบต้านทานกองทัพเมืองตังลู้ไม่ เราวิตกนัก ท่านจะคิดประการใด ฮุยต๋งจึงทูลว่า ตั้งแต่เกียงฮองเฮา โตไทสือ ป่วยเป๊ก เสี่ยงหยง เตียวคี รับอาสาตาย ขุนนางทั้งปวงก็ระส่ำระสายอยู่ ขอให้มีหนังสือรับสั่งไปหาทั้งสี่หัวมเองเอกเข้ามาเมืองหลวง แล้วจับฆ่าเสีย หัวเมืองน้อยทั้งปวงจะคิดการกบฏก็เห็นจะปราบปรามง่ายเหมือนหนึ่งเสือถอนเขี้ยวเสียแล้ว พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นชอบด้วย จึงให้ฮุยต๋งแต่งหนังสือสี่ฉบับข้อความต้องกัน ให้ม้าใช้แยกทางกันไปทั้งสี่หัวเมือง
ฝ่ายกีเซียง เจ้าเมืองไซรกี ครั้นเวลาเช้า ออกว่าราชการ ขุนนางพร้อมกัน พอนายประตูเข้าไปบอกว่า มีหนังสือรับสั่งมาแต่เมืองหลวง กีเซียงจึงให้ขุนนางออกไปเชิญหนังสือรับสั่งเข้ามา แล้วจุดธูปเทียนคำนับตามธรรมเนียม จึงฉีกผนึกออกอ่าน ในหนังสือรับสั่งนั้นว่า หัวเมืองฝ่ายเหนือเกิดโจรผู้ร้ายกำเริบนัก ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินได้ความเดือดร้อน บัดนี้ ให้บุนไทสือยกไปราบปรามยังมิกลับมา และในเมืองหลวงทุกวันนี้หาผู้ใดที่จะปรึกษาราชการไม่ ให้เจ้าเมืองเอกทั้งสี่ไปช่วยคิดราชการทำนุบำรุงแผ่นดินให้อาณาประชาราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ถ้าผู้ใดช่วยปราบโจรผู้ร้ายในเมืองหลวงสงบลงเมื่อใด จะให้เลื่อนที่เป็นขุนนางผู้ใหญ่ยิ่งขึ้นไป ให้เจ้าเมืองไซรกีเร่งเข้าไปเมืองหลวงโดยเร็ว กีเซียงอ่านหนังสือรับสั่งแล้วจึงให้เลี้ยงโต๊ะผู้ถือหนังสือตามธรรมเนียม ผู้ถือหนังสือคำนับแล้วลากลับไปเมืองหลวง
ฝ่ายกีเซียง ครั้นข้าหลวงไปแล้ว พิเคราะห์ดูชะตาก็รู้ว่า เคราะห์ร้ายนัก จะได้ความลำบาก แต่มิเป็นไร จึงคิดว่า รับสั่งให้หา ครั้นจะมิไปก็เป็นขัดรับสั่ง กีเซียงจึงให้หาซันงีเสง หลำจงกวด ขุนนางทั้งสอง กับเป๊กอิบโค้ผู้บุตรมา แล้วบอกว่า เราพิเคราะห์ดูชะตาเราเคราะห์ร้าย ซึ่งมีหนังสือรับสั่งให้หาเราเข้าไปเมืองหลวงครั้งนี้ เห็นว่า พระเจ้าติวอ๋องจะทำโทษ ถ้าเราไปเมืองหลวงแล้ว อยู่ภายหลังผู้ใดอย่าเราไปเลย จงรักษาบ้านเมืองให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขเหมือนดังเราอยู่ ถ้าราษฎรชายหญิงจะขัดสนเงินทองและข้าวปลาอาหารสิ่งใด ให้ซันงีเสงกับเป๊กอิบโค้จัดแจงแจกจ่ายให้ตามสมควร อย่าให้ราษฎรในเมืองได้ความเดือดร้อน แม้นเกิดโจรผู้ร้ายนอกเมือง ให้หลำจงกวดปราบปรามจงราบคาบ เป๊กอิบโค้ได้ฟังดังนั้นจึงคำนับแล้วว่า บิดาเคราะห์ร้าย จงอยู่รักษาเมืองเถิด ข้าพเจ้าจะไปเมืองหลวงแทน กีเซียงจึงว่า มีรับสั่งเฉพาะมาให้หาบิดา ครั้นจะให้เจ้าไปแทนตัวก็ผิดด้วยรับสั่ง พระเจ้าติวอ๋องจะทรงพระโกรธ เจ้าจงอยู่รักษาเมืองเถิด อย่าวิตกถึงบิดาเลย กีเซียงจึงเข้าไปข้างใน คำนับนางไทเกียงผู้มารดา แล้วเล่าความให้มารดากับนางไทกียิมผู้ภรรยาทั้งสองฟังทุกประการ แล้วกีเซียง เจ้าเมืองไซรกีคนนี้ มีเมียยี่สิบสี่คน มีลูกเก้าสิบเก้าคน และนางไทกี เมียหลวง เป็นมารดาเป๊กอิบโค้ นางไทยิม เมียรอง เป็นมารดากีฮวด ฝ่ายนางไทเกียงผู้มารดาได้ยินกีเซียงว่าดังนั้นก็ตกใจ จึงว่า ชะตาเจ้าถึงที่ร้ายแจ้งอยู่แล้ว ซึ่งจะเข้าไปเมืองหลวงครั้งนี้ แม่คิดวิตกนัก เกลือกจะมีอันตราย เจ้าไปเร่งระมัดระวังตัวให้จงดี อย่าให้มีความผิด นางไทเกียงจึงคำนับบวงสรวงเทพยดาทั้งปวงว่า จงช่วยพิทักษ์รักษาบุตรข้าพเจ้าให้ได้กลับมาครองเมืองเถิด กีเซียงจึงฝากบุตรภรรยาแก่มารดาแล้วคำนับลาออกมา จัดทหารและคนสนิทที่มีสติปัญญา ฝีมือกล้าแข็ง ได้สิบห้าคน กับสิ่งของเครื่องบรรณาการ เสร็จแล้วก็ขึ้นม้ายกออกจากเมืองไซรกี
ฝ่ายเป๊กอิบโค้ กีฮวด บุตรใหญ่ทั้งสอง กับซันงีเสง หนึ่ง หลำจงกวด หนึ่ง มอก๋งซุย หนึ่ง จิวก๋งต้าน หนึ่ง เตียวก๋งเซ็ก หนึ่ง ปิดก๋ง หนึ่ง เองก๋ง หนึ่ง ซินกะ หนึ่ง ซินเปียน หนึ่ง ไทเตี๋ยน หนึ่ง บ๊อเถียน หนึ่ง ขุนนาทั้งปวง ต่างคนตามส่งกีเซียงทางไกลเมืองไซรกีสี่ร้อยเส้น ถึงศาลาที่สำนัก เป๊กอิบโค้ กับกีฮวด ขุนนางทั้งปวง พร้อมกันคำนับส่งจอกสุราให้กีเซียงเป็นธรรมเนียมคำนับลา กีเซียงรับจอกสุราแล้วสั่งเป๊กอิบโค้และขุนนางทั้งปวงให้กลับไปรักษาบ้านเมือง กีเซียงก็ขึ้นม้าเดินทางประมาณแปดร้อยเจ็ดสิบห้าเส้น ถึงเขาเอียนซัว เห็นเมฆตั้งขึ้นมา ฟ้าร้องครืน ๆ จึงบอกแก่ทหารและคนใช้ว่า ฝนห่าใหญ่จะตก กีเซียงก็พาทหารเข้าอาศัยใต้ร่มไม้ริมเชิงเขาเอียนซัว พอเกิดพายุใหญ่ ฝนตก ฟ้าผ่าลงมายอดเขาทลาย ครั้นฝนขาดเม็ดแล้ว กีเซียงแลไปเห็นสว่างอยู่ริมเชิงเขาเหมือนแสงดาว ก็รู้ว่า ดาวทหารตกลงมา จึงสั่งคนใช้ว่า จงชวนกันไปหาดาวมาให้จงได้ คนทั้งปวงมิได้รู้ว่า ดาวอยู่แห่งใด ขัดคำสั่งมิได้ ต่างคนก็ไปเที่ยวหาดาวตามเชิงเขามาพบกุฏิฝังศพโบราณ เห็นเด็กน้อยคนหนึ่งยืนร้องไห้อยู่ ไม่มีพ่อแม่ คนใช้ก็อุ้มเด็กนั้นมาส่งให้กีเซียง กีเซียงก็ดูลักษณะรูปร่างเด็กคนนั้นก็รู้ว่า นานไปจะมีวาสนา ฝีมือกล้าแข็งในการรบ และเด็กคนนี้หาบิดามารดามิได้ ควรจะเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม ให้บรรจบกับบุตรเป็นร้อยหนึ่ง กีเซียงก็ให้คนใช้อุ้มเด็กนั้นตามกีเซียงออกจากที่สำนักนี้เดินมาตามทาง พอมีผู้เฒ่าคนหนึ่งสวนทางมา กีเซียงเห็นผู้เฒ่าคนนั้นรูปร่างสมบูรณ์อ้วนพี ผิวเนื้อเหลือง เห็นจะเป็นผู้วิเศษ จึงลงจากม้า คำนับผู้เฒ่า แล้วถามว่า ท่านอาศัยอยู่เขาไหน ท่านมาพบข้าพเจ้าเวลานี้จะไปแห่งใด หุนต๋งจู๊รู้จัดหน้าว่า เป็นเจ้าเมืองไซรกี จึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อ หุนต๋งจู๊ อาศัยอยู่ถ้ำยกเทียวต๋ง คำไทยว่า ถ้ำศิลาแก้ว อยู่แทบเชิงเขาจงลำซัว ขณะเมื่อฝนตกห่าใหญ่ ดาวทหารตก ข้าพเจ้าจึงมาเที่ยวหา พอพบท่าน ท่านจะไปแห่งใดจึงมาทางนี้
กีเซียงรู้ว่า หุนต๋งจู๊เป็นฤษี คำนับขออภัย จึงแจ้งความแต่หลังให้ฟังทุกประการ แล้วบอกว่า เมื่อฝนตกขาดเม็ด ข้าพเจ้าได้เด็กคนหนึ่ง กีเซียงจึงอุ้มเด็กนั้นมาให้ดู หุนต๋งจู๊ก็รู้ว่า เด็กนั้นคือดาวเกียงแซตกลงมาเกิด หุนต๋งจู๊จึงว่า ท่านจะไปเมืองจิวโก๋ครั้งนี้ กว่าจะได้กลับมาช้าหลายปีอยู่ อย่าพาเด็กน้อยไปให้เป็นห่วงเลย ข้าพเจ้าจะขอรับเลี้ยงไว้ เมื่อท่านกลับมาจากเมืองหลวง จึงส่งให้ท่านไปเมื่อไซรกี กีเซียงจึงว่า ซึ่งท่านจะขอบุตรข้าพเจ้าเลี้ยงไว้ก็ตามเถิด แต่เด็กคนนี้ยังไม่มีชื่อ ขอท่านจงขนานชื่อให้แก่บุตรข้าพเจ้าด้วย หุนต๋งจู๊จึงให้ชื่อว่า หลุยจินจู๊ หุนต๋งจู๊ก็รับหลุยจินจู๊กลับไปถ้ำที่อาศัย กีเซียงก็ขึ้นม้าพาทหารเดินทางไปหลายวัน ใกล้ถึงเมืองจิวโก๋
ฝ่ายเกียงฮวนฌ้อ เจ้าเมืองตังลู้ งกจงฮู เจ้าเมืองนำเป๊กเฮา ซ่องเฮ่าเฮ้า เจ้าเมืองปักเป๊กเฮ้า ครั้นแจ้งว่า มีรับสั่งให้หา ก็รีบมาถึงเมืองจิวโก๋พร้อมกันทั้งสามหัวเมือง เข้าอาศัยอยู่กงก๋วน ยังมิได้เฝ้า คอยกีเซียงเจ้าเมืองไซรกีอยู่ พอกีเซียงมาถึง ก็ออกไปรับเข้ามาที่กงก๋วน ต่างคนคำนับกันตามธรรมเนียม พอเพลาค่ำลง ทั้งสามหัวเมืองก็ให้ยกโต๊ะมาเลี้ยงกีเซียง เกียงฮวนฌ้อ งกจงฮู ซ่องเฮ่าเฮ้า ทั้งสี่คนนั่งกินโต๊ะอยู่พร้อมกัน เกียงฮวนฌ้อจึงถามกีเซียงว่า เหตุใดท่านจึงมาช้า กีเซียงจึงบอกว่า เมืองข้าพเจ้าอยู่ไกล จึงมามิทันท่าน เกียงฮวนฌ้อก็รินสุราคำนับส่งให้กีเซียง กับซ่องเฮ่าเฮ้า งกจงฮู ทั้งสี่คนเสพสุราพูดจากัน งกจงฮูรู้ว่า ซ่องเฮ่าเฮ้าเป็นคนสอพลอ จึงว่าแก่ซ่องเฮ่าเฮ้าว่า มิได้กรุณาแก่ราษฎร คบคิดกันกับฮิวฮุน ฮุยต๋ง กราบทูลพระเจ้าติวอ๋องให้เกณฑ์คนหัวเมืองใหญ่น้อยเข้ามาปลูกพระที่นั่งชมดาว ผู้ซึ่งมีทรัพย์เอาเงินทองมาให้ก็ปล่อยเสีย ผู้ซึ่งยากไร้หาเงินจะให้มิได้ก็เร่งรัดเอาตัวมาตรากตรำทำการจนตายและหนีไปเป็นอันมาก ราษฎรหัวเมืองทุกวันนี้ได้ความเดือดร้อนเพราะท่าน ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ยินดังนั้นก็โกรธ ลุกขึ้นผลักเอางกจงฮู แล้วว่า ตัวกล่าวหยาบช้าเหลือเกิน มิได้เกรงใจเรา งกจงฮูก็โกรธ ฉวยจอกสุราขว้างเอาซ่องเฮ่าเฮ้า ทั้งสองทุ่มเถียงกันอื้ออึง กีเซียงห้ามงกจงฮูกับซ่องเฮ่าเฮ้าว่า ท่านทั้งสองอย่าวิวาทกันเลย ซึ่งงกจงฮูกล่าวทั้งนี้หวังจะเตือนสติท่าน ท่านกับงกจงฮูก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ด้วยกัน จะวิวาทกันเหมือนเด็กน้อยฉะนี้ไม่ควร เวลานี้ก็ดึกแล้ว ไปหลับนอนเสียเถิด พอได้ยินเสียงคนนอกกงก๋วนร้องเข้ามาว่า ท่านทั้งสี่คนพากันกินสุราสบายอยู่แต่วันนี้เถิด รุ่งขึ้นพรุ่งนี้ เลือดจะไหลอยู่ที่ตะแลงแกง กีเซียงได้ยินจึงถามคนว่า ผู้ใดร้องเข้ามา ให้สืบเอาตัวจงได้ คนใช้จึงพาเอาตัวเอียวฮกเข้ามาคำนับกีเซียง กีเซียงจึงถามว่า ท่านรู้ความประการใดหรือ เอียวฮกบอกว่า ข้าพเจ้าเป็นคนใช้สำหรับรักษากงก๋วน สืบรู้ความว่า พระเจ้าติวอ๋องเชื่อคำนางขันกีให้ฆ่าเกียงฮองเฮาเสีย ยังแต่พระราชบุตรทั้งสองก็สั่งให้ฆ่าเสีย พอเกิดพายุหอบพาพระราชบุตรไป ซึ่งมีหนังสือรับสั่งให้หาท่านทั้งสี่คนเข้ามาครั้งนี้หมายจะจับฆ่าเสีย เกียงฮวนฌ้อได้ยินว่า เกียงฮองเฮาตาย ก็ร้องไห้ล้มลงจนสลบไป กีเซียง กับงกจงฮู ซ่องเฮ่าเฮ้า ช่วยกันแก้ไขเกียงฮวนฌ้อฟื้นขึ้นมา กีเซียงจึงว่าแก่เกียงฮวนฌ้อว่า บุตรท่านก็ตายแล้ว ถึงท่านจะต้องไห้รักจนน้ำตาเป็นโลหิตออกมา บุตรก็หาเป็นคืนมาไม่ จงระงับความโศกเสียเถิด เราทั้งสี่คนควรจะเข้าชื่อกันทำเรื่องราวกราบทูลถามถึงผิดนางเกียงฮองเฮาถวายเพลาเช้าพรุ่งนี้ เกียงฮวนฌ้อเห็นชอบ จึงอดกลั้นความโศกไว้ ทั้งสี่คนก็ทำเรื่องราวในเวลากลางคืน
ฝ่ายฮุยต๋งกับฮิวฮุน ขณะเมื่อสี่หัวเมืองใหญ่มาพร้อมกันแล้ว จึงเข้าไปที่ข้างในกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า หัวเมืองทั้งสี่มาถึงพร้อมกันสมดังพระองค์ดำริไว้แต่ก่อนแล้ว เวลาพรุ่งนี้ หัวเมืองเข้ามาเฝ้า เห็นจะทำเรื่องราวเข้ามาถวายด้วย พระองค์อย่าทรงฟังเรื่องราวนั้นเลย จะเสียท่วงทีไป ขอให้มีรับสั่งให้จับไปฆ่าเสียเถิด พระเจ้าติวอ๋องตรัสว่า ท่านอย่าวิตกเลย เราจะให้จับสี่หัวเมืองฆ่าเสียในเวลาพรุ่งนี้ ขณะเมื่อฮิวฮุน ฮุยต๋ง เฝ้าพระเจ้าติวอ๋องนั้นเป็นเวลาเย็น ครั้นเพลาค่ำ ก็บังคมลาไปบ้าน
ฝ่ายทั้งสี่หัวเมือง ครั้นเวลาเช้า ก็พากันไปเตรียมเฝ้าพร้อมกันกับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวง พอพระเจ้าติวอ๋องเสด็จออก ต่างคนคุกเข่าลงคำนับเฝ้าอยู่ตามตำแหน่ง เกียงฮวนฌ้อจึงส่งเรื่องราวให้ปิกันถวยต่อพระหัตถ์ พระเจ้าติวอ๋องจึงรับมาวางไว้ แล้วตรัสถามเกียงฮวนฌ้อว่า ตัวมีโทษผิดเป็นข้อใหญ่อยู่ รู้ตัวแล้วหรือ เกียงฮวนฌ้อจึงทูลว่า ข้าพเจ้าไปอยู่รักษาเมืองตังลู้ รู้ว่า มีรับสั่งให้หา จึงมาเฝ้า แต่ข้าพเจ้าได้ยินข่าวเล่าลือไปว่า พระองค์เชื่อคำคนยุยง ผู้หาผิดมิได้ให้เป็นผิด แล้วหลงเชื่อแต่นางขันกีจนฆ่าพระมเหสีเสีย ทำการทั้งนี้เหมือนดังจะแกล้งทำลายพระองค์ให้เสื่อมเกียรติยศ ซึ่งตรัสว่า ข้าพเจ้ามีโทษผิดข้อใหญ่นั้นยังไม่แจ้ง
พระเจ้าติวอ๋องได้ทรงฟังดังนั้นก็โกรธ จึงตรัสว่า ลูกสาวของตัวแกล้งใช้เกียงฮวนมาทำร้ายเรา เราก็ฆ่าเสีย จึงให้หาตัวท่านเข้ามาจะบอกความ กลับว่ากล่าวหยาบช้าอีกเล่า ตัวเป็นกบฏต่อเรา พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้บูซูจะให้เอาตัวเกียงฮวนฌ้อไปฆ่าเสีย กีเซียง ซ่องเฮ่าเฮ้า กับงกจงฮู จึงกราบทูลทัดทานว่า เกียงฮวนฌ้อเป็นคนสัตย์ซื่อ เห็นจะหาเป็นกบฏประทุษร้ายต่อพระองค์ไม่ ขอให้ทรงอ่านดูเรื่องราวซึ่งเกียงฮวนฌ้อถวายนั้นก่อน พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงหยิบเรื่องราวเกียงฮวนฌ้อมาคลี่ออกจำใจอ่าน ในหนังสือนั้นว่า ข้าพเจ้า กีเซียง ซ่องเฮ่าเฮ้า งกจงฮู เกียงฮวนฌ้อ ทำเรื่องราวกราบทูล ด้วยอย่างธรรมเนียมพระมหากษัตริย์แต่ก่อนนั้นย่อมเอาพระทัยใส่กิจราชการบ้านเมือง แล้วเลี้ยงคนมีความสัตย์กตัญญู มิได้เลี้ยงคนพาล แผ่นดินจึงเป็นสุขสืบมา บัดนี้ พระองค์มาเชื่อฟังนางขันกี กับฮิวฮุน ฮุยต๋ง ทูลยุยงให้ฆ่าพระมเหสีและพระราชบุตรเสีย ขุนนางซึ่งมีกตัญญูเพ็ดทูลทัดทานก็กลับเอาโทษ แล้วซ้ำมีกฎหมายไว้ว่า ถ้าผู้ใดเอาถ้อยความมากราบทูล ก็จะเอาตัวผู้นั้นใส่ประทัดใหญ่จุดเผาเสียให้กระดูกละเอียด ซึ่งฮุยต๋ง ฮินฮุน ทูลให้ทำดังนี้เหมือนจะปิดปากผู้ซึ่งมีกตัญญูต่อแผ่นดินเสียทั้งนั้น ขุนนางและราษฎรทั้งปวงได้ความเดือดร้อนนัก ดุจอยู่ในที่มืดมิได้เห็นแสงพระจันทร์พระอาทิตย์ ถ้าพระองค์ฆ่านางขันกี กับฮุยต๋ง ฮิวฮุน เสีย เหมือนทำลายเมฆอันปิดดวงพระอาทิตย์ให้สว่าง และผู้ซึ่งจะรับพระราชอาญาตายไปแต่ก่อนนั้นพระองค์ก็จะเห็นว่า มีผิดหรือหาผิดมิได้ แล้วกลับพระทัยเสียใหม่ แผ่นดินก็จะเป็นสุขเหมือนครั้งพระเจ้าเงียวซุน ซึ่งข้าพเจ้ากราบทูลนี้เพราะมีกตัญญู ถึงจะลงพระราชอาญาตามกฎหมายก็มิได้อาลัยแก่ชีวิต พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตรแล้วทรงพระโกรธ ฉีกหนังสือทิ้งเสีย จึงตรัสว่า อ้ายเหล่านี้บังอาจหยาบช้าให้กูได้ความอัปยศ แล้วสั่งบูซูให้เอาขุนนางทั้งสามคนไปฆ่าเสีย อย่าให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่าง ฮินฮุน ฮุยต๋ง จึงกราบทูลว่า เกียงฮวนฌ้อนั้นคิดจะทำร้ายพระองค์มานานแล้ว หากบารมีพระองค์มากอยู่ ไม่ทำได้ งกจงฮูก็เป็นคนหยาบช้า มิได้เกรงพระราชอาญา คนทั้งสองนี้โปรดให้ฆ่าเสียควรแล้ว แต่ซ่องเฮ่าเฮ้านั้นคนสัตย์ซื่อ แล้วอุตส่าห์พากเพียรทำพระที่นั่งชมดาว พระที่นั่งบรรทมนั้น เป็นความชอบอยู่ จะขอพระราชทานโทษไว้ครั้งหนึ่งก่อน พระเจ้าติวอ๋องก็โปรดให้ ปิกัน บ๋วยจือ มุยจี๋วคี มุยจิวเอี๋ยน ปกฮี ซกซี ทั้งเจ็ดคน จึงกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ซึ่งจะฆ่าขุนนางผู้ใหญ่เสียนั้น จงทรงพระดำริดูก่อน ด้วยโบราณว่าไว้ว่า เสนาบดีผู้ใหญ่เหมือนพระบาทพระมหากษัตริย์ทั้งสองข้าง แล้วเกียงฮวนฌ้อก็เป็นหัวเมืองใหญ่อยู่ฝ่ายตะวันออก ได้รบพุ่งข้าศึกปราบปรามหัวเมืองให้ราบคาบ ราษฎรฝ่ายตะวันออกก็อยู่เย็นเป็นสุข ซึ่งจะเป็นกบฏ ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย กีเซียงก็เป็นหัวเมืองใหญ่ฝ่ายตะวันตก แล้วมีน้ำใจโอบอ้อมอารี รักษาราษฎรเหมือนบิดารักษาบุตร หัวเมืองฝ่ายตะวันตกมิได้มีโจรผู้ร้าย เพลากลางคืน ราษฎรก็มิได้ต้องปิดประตูเรือน และผู้ซึ่งทำผิดกีเซียงก็มิได้กระทำโทษดุจอาญาหัวเมืองทั้งปวง เป็นแต่เขียนวงให้ยืนทรมานตัวอยู่พอสมควร แล้วก็สั่งสอนให้ทิ้งความชั่วเสีย ราษฎรชาวเมืองทั้งปวงรักใคร่สรรเสริญกีเซียงเป็นอันมาก ซึ่งจะให้ฆ่ากีเซียงเสียนั้น ราษฎรทั้งปวงก็จะระส่ำระสายเสียใจนัก งกจงฮูเล่าก็เป็นหัวเมืองใหญ่ ทำราชการโดยสุจริต มิได้เบียดเบียนราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน แล้วก็เป็นข้าหลวงเดิมมาแต่ก่อน ข้าพเจ้าจะขอชีวิตขุนนางทั้งสามคนนี้ไว้ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เกียงฮวนฌ้อนั้นเห็นจะเป็นกบฏจริง กีเซียง งกจงฮูนั้นว่ากล่าวหยาบช้านัก ครั้นจะมิฆ่าเสีย ขุนนางทั้งปวงก็จะดูเยี่ยงอย่าง อึ้งปวยฮอ ขุนนางผู้ใหญ่ จึงทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า เกียงฮวนฌ้อ งกจงฮู สองคนนี้ก็ทำราชการมานานแล้ว ยังหามีความผิดไม่ กีเซียงเล่าน้ำใจก็สัตย์ซื่อ แล้วประมาณการไปได้ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง แล้วกีเซียง งกจงฮู เกียงฮวนฌ้อ ทั้งสามคนนี้มีทหารและหัวเมืองขึ้นเป็นอันมาก ถ้าจะให้ฆ่าเสียบัดนี้ ทหารและหัวเมืองทั้งปวงแจ้งว่า เจ้านายตายแล้ว ก็จะมีใจเจ็บแค้น ยกมาทำแก่เมืองหลวงทั้งสามทาง ก็เห็นจะป้องกันยาก บุนไทสือซึ่งไปตีเมืองปักไฮก็ยังหามาไม่ ซึ่งจะฆ่าขุนนางทั้งสามคนเสีย จงทรงพระดำริดูก่อน พระเจ้าติวอ๋องจึงว่า กีเซียงนั้นเราแจ้งอยู่ว่า มีสติปัญญา ซึ่งทำทั้งนี้เห็นกีเซียงจะเป็นพลอยเข้าชื่อด้วย หาได้ลงใจไม่ ท่านจะขอชีวิตไว้ก็ตามเถิด สืบไปเมื่อหน้า กีเซียงประทุษร้ายต่อเรา จะเอาโทษท่านด้วย แต่งกจงฮู เกียงฮวนฌ้อนั้น จำจะให้ฆ่าเสีย กาแก๋ ฮุยหยิน กับขุนนางสี่คนเข้าชื่อกันทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า ซ่องเฮ่าเฮ้าได้ทำพระที่นั่งชมดาวและพระที่นั่งบรรทมเป็นความชอบ กีเซียงนั้นมีสติปัญญาแล้วสัตย์ซื่อนัก ซึ่งยกโทษให้ก็ควรแล้ว แต่งกจงฮู เกียงฮวนฌ้อ ทั้งสองนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า ความชอบก็มีอยู่เป็นอันมาก ด้วยกฎหมายแต่ก่อนว่า ถ้าพระมหากษัตริย์ว่าราชการผิดขนบธรรมเนียมไป ขุนนางซึ่งพลอยเห็นชอบด้วยก็เป็นหากตัญญูไม่ ผู้ซึ่งเห็นผิดแล้วทูลทัดทาน ผู้นั้นก็เป็นที่สรรเสริญแก่คนทั้งปวงว่า มีกตัญญูต่อแผ่นดิน ซึ่งงกจงฮู เกียงฮวนฌ้อ ทำเรื่องราวถวายนั้นโดยกตัญญู แล้วก็ต้องตามอย่างธรรมเนียมแต่ก่อน ข้าพเจ้าเห็นว่า เป็นความชอบ หาควรจะฆ่าเสียไม่ พระเจ้าติวอ๋องก็ยิ่งทรงพระโกรธ จึงสั่งหูหยงให้เอาตัวงกจงฮูกับเกียงฮวนฌ้อไปฆ่าเสีย แล้วประกาศแก่ขุนนางทั้งปวงว่า ถ้าผู้ใดบังอาจหยาบช้าต่อเราเหมือนงกจงฮู เกียงฮวนฌ้อ เราจะเอาโทษถึงสิ้นชีวิต แล้วพระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จขึ้น หูหยงก็ไปลงอาญางกจงฮู เกียงฮวนฌ้อ ตามรับสั่ง ขุนนางทั้งปวงก็คิดสงสาร แต่กีเซียงนั้นร้องไห้รักงกจงฮูกับเกียงฮวนฌ้อเป็นอันมาก ทหารของเกียงฮวนฌ้อ งกจงฮู เห็นนายตายแล้ว ก็ลอบหนีไปในเพลากลางคืน