หน้า ๓๐๕–๓๑๖ สารบัญ
ฝ่ายเอียวจอง ไต้หูสีหยิน ซึ่งอยู่ ณ เมืองจิวโก๋ ครั้นรู้ว่า บุนอ๋องตาย เกียงจูแหยและหัวเมืองทั้งปวงคิดกันตั้งกีฮวดเป็นบูอ๋องแทนบิดา จึงไปแจ้งความกับเตียวอ๋อง บูจู๋ ซึ่งเป็นพระราชบุตรพระเจ้าติวอ๋อง แล้วก็พากันเข้าไปเฝ้ากราบทูลให้แจ้งเรื่องความทุกประการ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า กีฮวดนั้นมันเป็นลูกเล็ก ถึงจะทำประการใดก็จะสู้บุญเราที่ไหนได้ ท่านอย่าวิตกเลย เอียวจอง ไต้หูสีหยิน จึงทูลว่า ซึ่งพระองค์จะไว้พระทัยว่า เป็นเด็ก จะสู้บารมีไม่ได้นั้น ไม่ควร ด้วยเกียงจูแหยเป็นคนมีสติปัญญาความรู้มาก หลำจงกวดเล่าก็เป็นทหารมีฝีมือกล้าแข็งนัก จะละไว้ไม่ได้ ขอให้คิดอ่านปราบปรามเสีย พระเจ้าติวอ๋องก็มิได้ตรัสตอบประการใด เอียวจอง ไต้หูสีหยิน มีความโกรธ ถวายบังคมลาลุกเดินมาแล้วบ่นว่า ทีนี้วงศ์เสี่ยงทางจะสูญแล้ว กีฮวดจะได้เป็นเจ้าแผ่นดินสืบไป จึงเผอิญให้เป็นดังนี้
ครั้นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จขึ้นแล้ว ขุนนางทั้งปวงต่างคนก็ต่างไปบ้าน จะได้คิดราชการสิ่งไรหามิได้ ครั้นอยู่วันหนึ่งเป็นปีใหม่ พระเจ้าติวอ๋องรับสั่งให้ขุนนางและภรรยาเข้าไปกินโต๊ะในวัง พวกผู้ชายนั้นนั่งรับพระราชทานอยู่นอกมู่ลี่ที่พระเจ้าติวอ๋องเสวย บรรดาพวกผู้หญิงรับพระราชทานข้างในกับพระมเหสีและนางนักสนมทั้งปวง
ฝ่ายนางอึ้งกุยหุย ผู้น้องบูเสงอ๋อง ที่เป็นพระมเหสีฝ่ายซ้ายนั้น ก็มาด้วย ครั้นเห็นนางกาสี พี่สะใภ้ ก็มีความยินดี มานั่งใกล้ ต่างคนก็ต่างคำนับปราศรัยกัน นางขันกีแลเห็นก็รู้ว่า คนนี้เป็นภรรยาบูเสงอ๋อง ก็บังเกิดความแค้นคิดพยาบาทบูเสงอ๋องเมื่อครั้งเอานกมาไล่จิกนางเมื่อกลายเพศเป็นเสือปลาที่ในสวน วันนี้ จะคิดแก้แค้นฆ่าเมียมันเสีย แล้วก็ทำอุบายไปนั่งลงริมนางกาสี นางกาสีก็ตกใจ ยอบตัวลงคำนับ นางขันกีก็รับคำนับแล้วปราศรัยถามว่า อายุเจ้าได้เท่าไร นางกาสีจึงบอกว่า อายุข้าพเจ้าสี่สิบเก้าปี นางขันกีว่า ท่านแก่กว่าเราแปดปี จงเป็นพี่เราเถิด เราจะยอมเป็นน้องท่าน นางกาสีตอบว่า ท่านเป็นพระอัครมเหสี ข้าพเจ้าเป็นแต่เมียขุนนาง อย่าว่าดังนั้น ไม่ควร นางขันกีตอบว่า ถึงเราเป็นมเหสี ก็เป็นลูกไพร่ ท่านเป็นภรรยาบูเสงอ๋องซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เราทั้งสองก็พอสมควรจะรักกัน จึงให้ยกโต๊ะมาตั้งที่นั้น จึงรินสุราให้นางกาสี นางกาสีก็รับ แล้วชวนกันกิน พอพระเจ้าติวอ๋องเสด็จมาทอดพระเนตรเห็นนางกาสี นางกาสีตกใจ วิ่งไปแอบอยู่ริมฉาก พระเจ้าติวอ๋องก็ตรัสถามนางขันกีว่า ผู้ใดมานั่งกินโต๊ะอยู่กับเจ้าแล้ววิ่งไป นางขันกีจึงทูลว่า ข้าพเจ้าชวนนางกาสีซึ่งเป็นภรรยาบูเสงอ๋องมากินด้วย พระเจ้าติวอ๋องก็ตรัสว่า ดีแล้ว นางขันกีก็กระซิบทูลว่า นางกาสีรูปงาม พระองค์จะทอดพระเนตรหรือ ข้าพเจ้าจะเรียกตัวมา พระเจ้าติวอ๋องจึงว่า คนรูปงามเราก็จะใคร่เห็นอยู่ แต่ว่าเขาเป็นเมียบูเสงอ๋อง จะเรียกมานั้นผิดด้วยอย่างธรรมเนียม เขาจะนินทาได้ นางขันกีจึงว่า นางอึ้งกุยหุยผู้น้องบูเสงอ๋องก็เป็นเมียของพระองค์ พระองค์กับบูเสงอ๋องก็เหมือนพี่น้องกัน การแต่เพียงนี้ก็เห็นหาผิดอย่างธรรมเนียมไม่ ขอเชิญพระองค์เสด็จไปเสียก่อน แล้วข้าพเจ้าจะพานางกาสีไปอยู่บนเตียะแซเหลา พระองค์จึงเสด็จตามไปทอดพระเนตรเถิด พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จไป นางขันกีจึงจูงข้อมือนางกาสีขึ้นไปเที่ยวเล่นบนพระที่นั่งเตียะแซเหลาอันสูง ครั้นขึ้นไปถึงชั้นเก้า นางกาสีแลลงมาเห็นที่กองกระดูกคนไว้เป็นอันมาก แล้วเห็นสระใส่สุรา และกระทะตั้งต้มส่าเหล้า กับหลาวเหล็กปักไว้ มีศพเก่าใหม่เน่าเป็นหนองเหม็นเป็นที่โสโครก จึงถามนางขันกีว่า เหตุไรจึงทำไว้ดังนี้ นางขันกีบอกว่า รับสั่งให้ทำไว้สำหรับผู้โทษผิดแล้วมัดทิ้งลงไป นางกาสีก็ตกใจตัวสั่นไม่สบาย นางขันกีเห็นดังนั้นจึงว่า พี่ไม่สบายใจแล้ว เชิญขึ้นไปกินเหล้าด้วยกันบนไซร้เก๋งเถิด นางกาสีก็ไป
ฝ่ายนางอึ้งกุยหุยเห็นพี่สะใภ้ไปกับนางขันกีช้านาน จึงให้คนไปตามดู คนใช้กลับมาบอกว่า นางขันกีกับนางกาสีนั่งเสพสุราอยู่บนพระที่นั่งเตียะแซเหลา นางอึ้งกุยหุยก็คิดกริ่งใจ จึงให้กลับคอยแอบดู ถ้าเห็นเหตุผลประการใด ให้กลับมาบอกจงเร็ว หญิงคนใช้ก็กลับไป
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องมานั่งเสพสุราอยู่ด้วยขุนนางสักหน่อยหนึ่ง แล้วมีพระทัยผูกพันถึงนางกาสี จึงเสด็จขึ้นไปบนพระที่นั่งเตียะแซเหลา นางกาสีเห็นก็ตกใจ ลุกลงมาแอบอยู่ใต้โต๊ะ พระเจ้าติวอ๋องจึงทอดพระเนตรดูนางกาสี เห็นรูปทรงงามต้องพระทัย จึงตรัสว่า เจ้านั่งแอบอยู่ที่นั่นไยเล่า จงมานั่งด้วยกัน นางกาสีลุกขึ้นคำนับแล้วทูลว่า พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ จะเรียกข้าพเจ้าผู้เป็นข้าไปนั่งด้วยนั้นไม่สมควร นางขันกีจึงว่า พี่อย่าพูดดังนั้นเลย พระเจ้าติวอ๋องทรงพระเมตตา จึงตรัสเรียก เชิญมานั่งกินด้วยกันให้สบายเถิด แล้วพระเจ้าติวอ๋องจึงรินสุราส่งให้นางกาสี นางกาสีจึงทูลว่า บูเสงอ๋องก็เป็นข้าของพระองค์ ได้ทำราชการโดยสัตย์สุจริตมานานแล้ว เหตุไรพระองค์มากระทำแก่ข้าพเจ้าดังนี้เล่า แล้วนางก็ทูลลาเดินหลีกออกไป พระเจ้าติวอ๋องก็ลุกขึ้นกั้นหน้าไว้พลางส่งสุราให้ นางกาสีโกรธ ปัดถ้วยกระเด็นไป แล้วว่า พระองค์มาทำดังนี้ ข้าพเจ้าได้ความเจ็บอายนัก เหมือนแกล้งตัดศีรษะเสีย แล้วตัดพ้อนางขันกีว่า เป็นเพราะเจ้าจึงเกิดการทั้งนี้ แต่นางกาสีทูลลาพระเจ้าติวอ๋องเป็นหลายครั้ง พระเจ้าติวอ๋องก็ไม่ให้ไป นางกาสีก็จนใจ จึงวิ่งออกไปหน้าชานข้างนอก นางคิดสงสารถึงสามีกับบุตร ก็ร้องไห้ ครั้นเห็นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จมาตาม ก็ร้องว่า เป็นกรรมแต่ก่อนได้ทำไว้มาทันแล้ว จึงเกิดการทั้งนี้เป็นที่เจ็บอาย จำจะไว้ความสัตย์ในแผ่นดินให้เทวดามนุษย์เห็นเถิดว่า ซื่อตรงต่อสามี นางกาสีก็โจนลงมาตาย
ฝ่ายคนสนิทนางอึ้งกุยหุยซึ่งแอบฟังอยู่นั้น ก็วิ่งมาบอกนางอึ้งกุยหุย นางอึ้งกุยหุยก็รีบขึ้นไปบนพระที่นั่ง เห็นแต่พระเจ้าติวอ๋องกับนางขันกีอยู่ที่นั้น รู้ว่า นางกาสี พี่สะใภ้ ตายแน่แล้ว จึงทูลว่า พระองค์มาคิดการกับนางขันกีดังนี้ จนนางกาสีตายนี้ ชอบอยู่แล้วหรือ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ใครจะได้ทำอะไรก็หาไม่ นางกาสีเห็นเรามาก็ตกใจวิ่งหนีพลัดตกลงไปตายเอง นางอึ้งกุยหุยจึงว่า อย่าตรัสแก้ไปเลย ข้าพเจ้ารู้อยู่สิ้นแล้ว นางจึงด่านางขันกีว่า เกิดเหตุทั้งนี้ก็เพราะมึงพยาบาทพี่กูครั้งเอานกมาจิกเมื่อมึงเป็นเสือปลา จึงแกล้งยุยงให้พระเจ้าติวอ๋องหลงเชื่อทำการทั้งนี้ จนพี่สะใภ้กูตาย แล้วนางก็เข้าตบตีนางขันกี นางขันกีสู้หลบหลีกด้วยคิดว่า จะสู้รบด้วยกำลังฤทธิ์ บัดนี้เล่าก็กลัวว่า พระเจ้าติวอ๋องจะรู้ว่า เป็นปิศาจ จึงสู้ทนความเจ็บ ร้องว่า พระองค์ช่วยข้าพเจ้าด้วย พระเจ้าติวอ๋องจึงผลักนางอึ้งกุยหึยออกไป แล้วว่า นางขันกีเขาได้ทำไม โกรธเขาเปล่า ๆ ตัวเป็นแต่มเหสีฝ่ายซ้าย ว่าล่วงเกินดังนี้ผิดหนักหนา นางอึ้งกุยหุยโกรธ วิ่งเข้าตีเอาพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องถีบเอานางอึ้งกุยหุยตกเตียะแซเหลาลงไปตาย แล้วพระเจ้าติวอ๋องเสด็จมานั่งนิ่งคิดถึงการที่ตัวทำผิดให้รำคาญพระทัย
ฝ่ายพวกผู้หญิงบ่าวนางกาสีซึ่งตามมา นั่งคอยอยู่ที่ประตูช้านาน ไม่เห็นนายกลับออกไป ก็ประหลาดใจ จึงเดินมาพบหญิงในวังคนหนึ่ง ถามว่า เห็นนางกาสี ภรรยาบูเสงอ๋อง หรือ หญิงนั้นจึงบอกตามจริงว่า นางกาสี นางอึ้งกุยหุย ทำผิด ตายที่พระที่นั่งเตียะแซเหลาทั้งสองคนแล้ว หญิงที่เป็นบ่าวนั้นก็ตกใจ พากันวิ่งกลับไปบ้าน พอบูเสงอ๋องนั่งเสพสุราอยู่กับอึ้งฮุยปิว อึ้งฮุยป้า อึ้งเบ๋ง น้องชาย กับอึ้งเทียนหลก อึ้งเทียนเสียง ผู้บุตรชาย กับเจียวกี๋ เหลียวหวน งอเกียม ทหาร จึงเข้าไปคุกเข่าคำนับแล้วบอกว่า นางกาสีกับนางอึ้งกุยหุยนั้นเป็นโทษ ตายที่พระที่นั่งเตียะแซเหลา บูเสงอ๋องได้ฟังดังนั้นก็ตกใจนิ่งตรึกตรองอยู่ อึ้งเทียนหลก อึ้งเทียนเสียง ผู้เป็นบุตร ครั้นได้ยินว่า มารดาตาย ก็พากันร้องไห้ อึ้งฮุยปิว อึ้งฮุยป้า อึ้งเบ๋ง ผู้น้องบูเสงอ๋อง มีความสงสาร แล้วคิดโกรธ จึงว่า ซึ่งนางกาสี นางอึ้งกุยหุย ตายนั้นเหตุด้วยจะไว้สัตย์ต่อพี่ท่าน จึงสู้เสียชีวิต อันพระเจ้าติวอ๋องมาทำการครั้งนี้ผิดมนุษย์ในแผ่นดินนัก ไม่ควรเราจะให้อยู่สืบไป จำจะฆ่าเสีย ก็ชวนกันจัดแจงหาอาวุธวุ่นวายอยุ่ บูเสงอ๋องเห็นดังนั้นจึงร้องด่าว่า อ้ายใจโจร จะพากันทำการกบฏให้กูตายด้วย อันพระเจ้าติวอ๋องนี้มีพระคุณกับเราทั้งโคตรจึงเจ็ดชั่วคนได้สองร้อยปีแล้ว สมบัติพัสถานและเครื่องแต่งตัวทั้งปวงก็ได้เพราะบุญบารมีท่าน เมื่อเมียกับน้องของกูผิด ท่านฆ่าเสีย ก็ตามทีเถิด อย่าเป็นธุระเอ็งทั้งปวงเลย น้องทั้งสามคนได้ฟังดังนั้นก็กลัวพี่ชาย เอาอาวุธไปไว้เสีย แล้วมานั่งที่โต๊ะรินสุราสู่กันกิน แล้วชวนกันหัวเราะ บูเสงอ๋องเห็นบุตรร้องไห้คร่ำครวญถึงมารดา ก็คิดรำคาญใจ โกรธน้อง ชักกระบี่ออก แล้วจึงว่า เจ้าเหล่านี้หัวเราะอะไร หัวเราะเยาะเราหรือ แล้วเงื้อกระบี่จะฟัน อึ้งฮุยปิวจึงห้ามน้องให้นิ่งอยู่ แล้วว่า ซึ่งพระเจ้าติวอ๋องมีพระคุณ ทรงพระเมตตาทำนุบำรุงเลี้ยงท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ได้ไส้เผ้าและหมวกอันมียศนั้น ก็พระเดชพระคุณหาที่สุดไม่ แต่ข้าพเจ้าคิดเห็นว่า คนทั้งปวงจะนินทาท่านว่า หลงรักยศและสมบัติยิ่งกว่าชีวิตน้องและภรรยา จนพระเจ้าติวอ๋องทำหยาบช้าถึงเพียงนี้ ก็ยังสู้ทน หามีความโกรธและเจ็บอายไม่ ขอท่านจงตรึกตรองดูให้ดีก่อน เห็นจะอยู่เป็นข้าราชการสืบไปจะเป็นสุขแล้วก็ตามเถิด บูเสงอ๋องแต่นิ่งตรึกตรองอยู่ช้านาน แล้วหวนคิดว่า เสียแรงเรารักท่าน ช่วยทำนุบำรุงแผ่นดินโดยความสัตย์ ควรหรือมาเชื่อคำปิศาจ ทำกับภรรยาและน้องเราจนเสียชีวิต คุณกับโทษก็ลบล้างกัน ซึ่งจะอยู่ทำราชการด้วยสืบไป มันก็จะยุยงด้วยกลอุบายต่าง ๆ ก็จะฆ่าเราเสียสักวันหนึ่ง แล้วว่า ซึ่งเจ้าว่านั้น พี่เห็นด้วยแล้ว แต่จะทำหุนหันโดยด่วนนั้นไม่ได้ จำจะคิดให้ดี ด้วยเป็นการใหญ่อยู่ อึ้งเบ๋งจึงว่า บูอ๋องซึ่งเป็นใหญ่ในเมืองไซรกีก็คิดกระทำการตีเมืองและเกลี้ยกล่อมอาณาประชาราษฎรเข้าด้วยสักสองส่วนแล้ว เห็นจะได้เป็นเจ้าแผ่นดินเป็นมั่นคง ถ้าเราหนีไปเข้าด้วยทำการก็จะมีความชอบ บูเสงอ๋องก็เห็นชอบด้วย จึงว่า ใจของพี่คิดแค้นพระเจ้าติวอ๋องนัก เมื่อใดได้กระทำทดแทนเสียให้สาแก่ใจก่อนจึงจะไป แล้วสั่งทหารให้หาบรรดาบ่าวไพร่ซึ่งอยู่ในบ้านมีบัญชีพันคนนั้นจัดแจงอาวุธไว้ให้พร้อมในวันนี้ จึงเอาเกวียนสี่ร้อยเล่มมาบรรทุกสิ่งของและพรรคพวก ผู้หญิงที่จะได้ล่วงหน้าไปก่อนนั้นให้มีทหารกำกับป้องกันไปด้วย ครั้นเวลาคนนอนหลับ ให้เกวียนและพรรคพวกทั้งปวงไปคอยอยู่ตรงประตูไซรหมึงนอกเมือง แต่ตัวบูเสงอ๋อง กับอึ้งเบ๋ง ผู้น้อง กับจิวกี ทหารเอก ต่างคนถืออาวุธเข้าไปที่ประตูวัง จิวกีจึงร้องว่า มีการร้อน ให้เชิญเสด็จออกมาเร็ว ๆ ทหารที่รักษาประตูอยู่นั้นก็บอกกันต่อ ๆ เข้าไป
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องบรรทมอยู่ในที่ หาหลับไม่ ด้วยมีความวิตกถึงการที่นางกาสีและนางอึ้งกุยหุยตายนั้น ไม่มีความสบายพระทัย พอมีผู้มากราบทูลว่า คนมาร้องว่า มีราชการร้อน ให้เสด็จออกไปโดยเร็ว พระเจ้าติวอ๋องก็ตกพระทัย ด้วยมิได้รู้ว่า จะมีเหตุ คิดว่า ขุนนางมาแจ้งราชการ จึงทรงพระแสงง้าวเสด็จออกมาข้างหน้า จิวกีเห็นก็ร้องว่า ท่านเป็นกษัตริย์ ทำการมิชอบ ข่มเหงภรรยาบูเสงอ๋องซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ผิดอย่างธรรมเนียม หาควรไม่ แล้วรำง้าวเข้าไปจะฟันพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องก็ต่อสู้ด้วยพระแสงง้าว อึ้งเบ๋งจึงเข้าช่วย ขณะเมื่อจิวกี อึ้งเบ๋ง สู้กับพระเจ้าติวอ๋องอยู่นั้น บูเสงอ๋องร้องห้ามว่า อย่าเพ่อทำวุ่นวาย เราจะพูดกับพระเจ้าติวอ๋องก่อน คนทั้งสองก็ไม่ฟัง ยิ่งทำการบุกรุกเข้าไป พระเจ้าติวอ๋องต่อสู้ได้สามสิบเพลง สิ้นกำลัง ถอยกลับเข้าวัง อึ้งเบ๋งขยับจะไล่ตาม บูเสงอ๋องก็วิ่งเข้ายุดมือไว้ ห้ามว่า อย่าทำให้ถึงชีวิตเลย ไม่ควร แล้วก็พากันมาขึ้นม้ารีบไปทางประตูด่านตะวันตก พาสมัครพรรคพวกซึ่งคอยอยู่นั้นอพยพหนีไป ในเวลานั้น ราษฎรชาวเมืองรู้เหตุ ต่างคนตกใจกลัว ต่างปิดประตูบ้านประตูตึก ไม่มีคนเดินไปมาตามถนนหนทาง
ครั้นเวลาเช้า พระเจ้าติวอ๋องเสด็จออก ขุนนางก็เข้าไปเฝ้ากราบทูลแจ้งราชการว่า บัดนี้ บูเสงอ๋องอพยพหนีไป พระเจ้าติวอ๋องแจ้งดังนั้นจึงตรัสเล่าความทั้งปวงให้ฟังทุกประการ ในขณะนั้น ทหารซึ่งรักษาประตูเหงาหมึงเห็นบุนไท้สือยกกองทัพกลับมา จึงเข้าไปบอกขุนนางให้กราบทูลพระเจ้าติวอ๋อง ครั้นทราบว่า บุนไท้สือมาก็ดีพระทัยนัก จึงให้ขุนนางทั้งปวงออกไปรับ ให้หามาเฝ้า เสด็จคอยท่าอยู่
ฝ่ายบุนไท้สือ ครั้นขุนนางออกไปบอกว่า รับสั่งให้หา ก็ลงจากหลังกิเลน รีบเข้ามาเฝ้าแจ้งความซึ่งไปปราบข้าศึกให้ทราบทุกประการ แล้วทูลถามถึงบูเสงอ๋องว่า ไปไหน จึงตรัสบอกว่า บูเสงอ๋องหนีไปในเวลาคืนนี้ ท่านจงคิดอ่านไปจับให้ได้ บุนไท้สือจึงทูลว่า ซึ่งบูเสงอ๋องหนีไปนั้นด้วยมีเหตุประการใด พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เมื่อขึ้นปีใหม่นี้ ขุนนางและภรรยามากินโต๊ะในวัง นางขันกีกับนางกาสีพากันขึ้นไปเล่นบนเตียะแซเหลา นางกาสีพลัดตกลงไปตาย แล้วนางอึ้งกุยหุยรู้ พาโลว่า เรากับนางขันกีแกล้งฆ่าพี่สะใภ้ แล้วกล่าวคำหยาบช้า เข้าตีเอาเรา เราก็ผลักออกไป ด้วยโทษที่นางทำผิด ก็เผอิญให้ตกลงไปตาย ผู้ใดจะเอาความไปยุยงบูสงอ๋องประการใดก็ไม่รู้ ครั้นเวลาดึก มาเรียกเราให้ออกไปที่ประตู แล้บูเสงอ๋อง อึ้งเบ๋ง จิวกี ชวนกันเข้าฟันแทงเอาเรา แล้วก็พากันหนีไป บุนไท้สือจึงทูลว่า ข้าพเจ้าเห็นน้ำใจบุนเสนอ๋องสัตย์ซื่อต่อพระองค์นัก แล้วก็เป็นข้าทำราชการมาถึงเจ็ดชั่วคนแล้ว ถ้าพระองค์มิทำให้ได้ความแค้นเคืองเหลือที่จะอดได้ อันที่จะมาทำล่วงเกินต่อพระองค์ดังนี้ ข้าพเจ้ายังสงสัยอยู่ ฝ่ายไต้หูฉือหยงจึงเรียนแก่บุนไท้สือว่า ซึ่งท่านสรรเสริญบูเสงอ๋องนั้นก็จริงอยู่ แต่ทว่า โทษบูเสงอ๋องซึ่งคบกันล่วงเกินมาทำอันตรายแก่พระเจ้าติวอ๋องจนถึงประตูวังนั้นผิดนัก ถึงมาตรว่าพระเจ้าติวอ๋องจะทำผิดประการใด ชอบจะอดออมไว้กว่าท่านจะกลับมา จึงจะควร บุนไท้สือจึงว่า ซึ่งถ้อยคำท่านว่านั้นก็ควรอยู่ แต่เราแจ้งความแต่ก่อนว่า คนทั้งปวงติเตียนพระเจ้าติวอ๋องว่า กระทำผิดต่าง ๆ จะได้มีผู้ใดกล่าวโทษบูเสงอ๋องแต่สักสิ่งหนึ่งก็หาไม่ มีแต่คำสรรเสริญทั้งแผ่นดิน ว่าแล้วก็ให้เขียนหนังสือให้ซือเค่งถือรีบไปถึงด่านหลิมตองก๋วน แซเหลงก๋วน ให้จัดทหารออกก้าวสกัดบูเสงอ๋องไว้ แล้วเราจะยกตามไป