หน้า ๗๘–๙๐ สารบัญ
ฝ่ายหุนต๋งจู๊ซึ่งปลอมชาวเมืองคอยฟังข่าวอยู่ แลเห็นเป็นแสงสว่างขึ้นที่ในวัง พิจารณาดูก็รู้ว่า พระเจ้าติวอ๋องเผากระบี่ซึ่งทำไว้ด้วยเลขยันต์นั้นเสียแล้ว ปิศาจกลับกำเริบขึ้นมาดังเก่า จึงคิดว่า เราตั้งใจเข้ามาทำด้วยเวทมนตร์ หมายจะขับปิศาจเสียให้พ้นจากเมืองจิวโก๋ บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องเชื่อคำขันกีปิศาจ มันแกล้งทำมารยาทูลยุยง เสียงแรงเราเข้ามาทำการก็หาสมความคิดไม่ หุนต๋งจู๊ตกใจนัก จึงทำนายไว้ว่า ชะตาเมืองจิวโก๋จะสิ้นเชื้อวงศ์พระเจ้าเสี่ยงทางแต่เพียงพระเจ้าติวอ๋ององค์นี้แล้ว จะเกิดรบพุ่งกัน เกียงจูแหยซึ่งอยู่ ณ เขาขุนหนุนจะออกมาเป็นกุนสือทำนุบำรุงแซ่จิ่วขึ้นเป็นกษัตริย์ครองเมืองจิวโก๋สืบไป หุนต๋งจู๊จึงเดินไปถึงตึกโต้ไทสือ วันนั้น โต้ไทสือมิได้อยู่ เข้าไปว่าราชการอยู่ในวัง หุนต๋งจู๊จึงจารึกอักษรไว้ที่ผนังตึกภายนอก แล้วกลับไปที่อาศัย
ฝ่ายโต้ไทสือออกจากวังมาถึงบ้าน เห็นอักษรมีผู้มาเขียนไว้ที่ผนังตึกผิดประหลาดอยู่ จึงแวะเข้าไปอ่านในหนังสือนั้นว่า เฮาหลีปิศาจเข้ามาปลอมปนอยู่ในวัง ทำอุบายมารยาจะให้กษัตริย์เมืองจิวโก๋สิ้นเชื้อพระวงศ์ ตั้งแต่ปีม้าไปถึงปีหนูครบเจ็ดขวบ เลือดชาวเมืองจิวโก๋จะดาษแดงทั่วแผ่นดิน หัวเมืองฝ่ายตะวันตกจะเลื่องลือเกียรติยศ โต้ไทสืออ่านหนังสือแล้วก็ตกใจ จึงถามคนใช้ผู้อยู่เฝ้าบ้านว่า ผู้ใดเขียนอักษรไว้ คนใช้จึงบอกว่า ซินแสคนหนึ่งมิได้รู้จักหน้ามาเขียนไว้ โต้ไทสือเห็นถ้อยคำในหนังสือนั้นว่ากล่าวหลักแหลมอยู่ เกรงความจะฟุ้งเฟื่องไป จึงให้คนใช้ลบล้างอักษรนั้นเสีย แล้วขึ้นมาบนตึก นั่งตรึกตรองตามกระแสเรื่องราวความในหนังสือวึ่งจารึกไว้ให้ลบเสียนั้น ก็เห็นว่า ผู้ซึ่งมาจารึกอักษรนี้ชะรอยจะเป็นฤษีซึ่งมาทำเลขยันต์ขับปิศาจในพระราชวังเป็นมั่นคง ครั้นเวลาค่ำลง จึงขึ้นไปบนกวนแซ่เหลาเป็นที่สำหรับดูดาว เวลาดึกประมาณเวลาสามยามเศษ ดาวพระมหากษัตริย์ขึ้นมา มีเมฆหมอกมืดเหมือนควันเพลิงเข้าบดบังดาวกษัตริย์ไว้ให้รัศมีมัวหมองไม่ผ่องใสเหมือนแต่ก่อน โต้ไทสือเห็นดังนั้นจึงคิดว่า บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลงด้วยนางขันกี มิได้เสด็จออกว่าราชการ เราเป็นขุนนางมาถึงสามชั่วกษัตริย์แล้ว เมื่อเห็นเหตุจะบังเกิดแก่พระมหากษัตริย์ฉะนี้ จะนิ่งเสียไม่ควร โต้ไทสือจึงทำเรื่องราวกราบทูลฉบับหนึ่ง พอเวลารุ่งดช้า จึงไปเล่าเนื้อความซึ่งได้ดูดาวให้เสี่ยงหยง ขุนนางผู้ใหญ่ ฟังทุกประการ แล้วว่า ขอท่านจงนำเรื่องราวข้าพเจ้าขึ้นกราบทูลแก่พระเจ้าติวอ๋องให้ทราบด้วย เสี่ยงหยงรับเรื่องราวมาอ่านดู เห็นชอบด้วยการแผ่นดิน จึงพาโต้ไทสือเข้าไปวัง ให้โต้ไทสือยับยั้งอยู่แต่ที่หอหนังสือ เสี่ยงหยงนำเรื่องราวโต้ไทสือเข้าไปถึงพระตำหนักข้งใน จึงให้ฮองงีกั๋ว ผู้อยู่รักษาพระตำหนัก ขึ้นไปกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า เสี่ยงหยงจะขึ้นมาเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้หาขึ้นมาเฝ้าบนตำหนักนั้น จึงตรัสถามเสี่ยงหยงว่า เราอยู่ถึงที่ข้างใน มิใช่ตำแหน่งขุนนางเคยเฝ้า เหตุใดท่านจึงล่วงเข้ามาในที่ห้ามฉะนี้ มีธุระร้อนประการใดหรือ เสี่ยงหยงจึงทูลว่า เวลาคืนนี้ โต้ไทสือดูดาวเห็นรัศมีดาวของพระองค์มัวหมอง เพราะปิศาจคอยย่ำยีอยู่ โต้ไทสือทำเรื่องราวมาให้กราบทูล ครั้นจะคอยเฝ้าอยู่ที่ข้างหน้า พระองค์ก็มิได้เสด็จออก ข้าพเจ้าเห็นเหตุจะบังเกิดแก่พระองค์ จึงเข้ามาถึงที่ห้าม หวังจะกราบทูลเรื่องราวโต้ไทสือให้ทราบ เสี่ยงหยงจึงเอาเรื่องราวโต้ไทสือถวายต่อพระหัตถ์พระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องรับหนังสือมาคลี่ออกอ่าน ใจความว่า ข้าพเจ้า โต้ไทสือ ผู้เจ็บร้อนด้วยแผ่นดิน ขอกราบทูลให้ทราบ ด้วยคำโบราณกล่าวไว้สืบมาว่า บ้านเมืองใดจะอยู่เย็นเป็นสุข สิ่งซึ่งเป็นสิริมงคลก็บังเกิดในบ้านเมืองนั้น ถ้าเมืองใดจะเกิดอันตราย สิ่งอันมิได้เป็นมงคลก็เกิดมีมาต่าง ๆ เวลาคืนนี้ ข้าพเจ้าดูฤกษ์บน เห็นดาวของพระองค์เศร้าหมอง เพราะปิศาจเข้ามาอยู่ในวัง ครั้นเมื่อพระองค์เสด็จอยู่ ณ ที่เสด็จออกขุนนาง หุนต๋งจู๊เอากระบี่ลงเลขยันต์เข้ามาขับปิศาจ พระองค์มิได้ชื่อฟัง ให้เผาเลขยันต์และกระบี่เสีย ปิศาจจึงกำเริบทวีขึ้นทุกวัน ตั้งแต่พระองค์ได้บุตรเชาฮูเข้ามาไว้ในวัง มิได้เสด็จออกว่าราชการที่ข้างหน้า ขุนนางทั้งปวงซึ่งเคยเฝ้าตามตำแหน่งมิได้เฝ้า ต่างคนมีใจเศร้าหมองเหมือนดังเมฆหมอกอันบังแสงพระจันทร์ไว้ให้มือ พระเจ้าติวอ๋องทรงอ่านออกชื่อหุนต๋งจู๊ ขัดเคืองพระทัยว่า หุนต๋งจู๊มาทำให้นางขันกีป่วยแทบจะสิ้นชีวิต จนต้องเผาเลขยันต์และกระบี่ซึ่งหุนต๋งจู๊ทำไว้เสีย นางขันกีจึงรอดจากความตาย บัดนี้ โต้ไทสือเอาความหุนต๋งจู๊นั้นมาว่าอีกเล่า พระเจ้าติวอ๋องจึงผินพระพักตร์ไปตรัสปรึกษากับนางขันกีว่า โต้ไทสือทำเรื่องราวมาว่ากล่าวฉะนี้ เจ้าจะเห็นประการใด นางขันกีจึงคำนับแล้วทูลว่า วันวานนี้ หุนต๋งจู๊เป็นคนรู้ทำกฤตยาคม แกล้งนำความเท็จเข้ามากราบทูลว่า ปิศาจปลอมอยู่ในวัง ให้กิตติศัพท์เลื่องลืออื้ออึงไปทั้งเมือง ขุนนางทั้งปวงก็พลอยทุกข์ร้อนด้วยเกรงว่าพระองค์จะมีอันตรายครั้งหนึ่งแล้ว บัดนี้ โต้ไทสือยังซ้ำนำเนื้อความหุนต๋งจู๊มากราบทูลอีกเล่า ข้าพเจ้าเห็นว่า จะเป็นพรรคพวกร่วมคิดกันกับหุนต๋งจู๊แกล้งยุยงให้พระองค์สงสัยว่า ข้าพเจ้าเป็นปิศาจ จะกำจัดเสียจากวัง หวังจะให้ข้าพเจ้าหาที่พึ่งมิได้ ขอให้เอาตัวโต้ไทสือไปฆ่าเสียจึงจะชอบ พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังนางขันกีทูลดังนั้นก็ทรงพระโกรธโต้ไทสือ จึงตรัสแก่เสี่ยงหยงว่า โต้ไทสือไม่ซื่อตรงต่อเรา แกล้งนำเอาความชั่วมาว่ากล่าวฉะนี้ เราเห็นว่า โต้ไทสือพรรคพวกหุนต๋งจู๊เป็นมั่นคง ชอบให้ตัดศีรษะเสียบประจาน อย่าให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่าง เสี่ยงหยงได้ฟังดังนั้นจึงทูลว่า โต้ไทสือเป็นขุนนางรับราชการในตำแหน่งพนักงานสำหรับดูฤกษ์บนมาถึงสามชั่วกษัตริย์แล้ว บัดนี้ โต้ไทสือเห็นดาวสำหรับพระองค์เศร้าหมอง จึงทำเรื่องราวให้ข้าพเจ้ากราบทูล พอรู้พระองค์ว่าดีและร้ายตามตำรับซึ่งได้เล่าเรียนมา หวังจะเอาความชอบ จะได้เป็นพวกหุนต๋งจู๊แกล้งมากราบทูลให้ขัดเคืองพระทัยหามิได้ ซึ่งพระองค์จะลงอาญาให้ฆ่าเสียนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า โต้ไทสือผิดแต่ครั้งเดียว ข้าพเจ้าจะขอชีวิตไว้สักครั้งหนึ่ง พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า โต้ไทสือเอาความมิดีมาว่ากล่าวให้กำเริบไปทั้งเมือง โทษถึงตาย ซึ่งจะให้มีชีวิตอยู่ในแผ่นดินนั้นมิได้ เสี่ยงหยงกราบทูลขอโทษโต้ไทสือเป็นหลายครั้ง พระเจ้าติวอ๋องก็มิให้ จึงออกมาบอกโต้ไทสือตามเรื่องราวซึ่งได้กราบทูลทุกประการ แล้วว่า บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธ จะให้ฆ่าท่านเสีย เราได้ทูลขอโทษเป็นหลายครั้ง พระเจ้าติวอ๋องก็ไม่ให้
ขณะเมื่อเสี่ยงหยงกับโต้ไทสือพูดกันยังมิทันสิ้นคำ พอมีผู้รับสั่งมาบอกโต้ไทสือว่า ท่านทำเรื่องราวให้เสี่ยงหยงกราบทูลให้ขัดเคืองนั้น มีรับสั่งให้เอาตัวท่านไปฆ่าเสีย ผู้รับสั่งก็ให้ถอดเสื้อหมวกสำหรับขุนนางออกเสีย แล้วมัดมือโต้ไทสือไปถึงสะพานมังกร พอพบขุนนางผู้หนึ่งชื่อ ป่วยเป๊ก ป๋วยเป๊กเห็นโต้ไทสือจึงเข้าไปถาม เหตุใดท่านจึงต้องผูกมัดมาฉะนี้ โต้ไทสือจึงเล่าความให้ป๋วยเป๊กฟังแล้วว่า บัดนี้ พระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธ จะให้ฆ่าข้าพเจ้าเสีย ขอท่านให้กรุณาช่วยเพ็ดทูลขอโทษข้าพเจ้าไว้ด้วย ป่วยเป๊กได้แจ้งความดังนั้นก็ตกใจ จึงว่าแก่ผู้คุมว่า ท่านจงงดโต้ไทสือไว้ก่อน เราจะเข้าไปทูลขอโทษโต้ไทสือ ว่าแล้วก็รีบไป พอพบเสี่ยงหยงเดินมา ป่วยเป๊กจึงเข้าไปคำนับเสี่ยงหยงแล้วถามว่า โต้ไทสือผิดด้วยสิ่งใด เสี่ยงหยงจึงเล่าความให้ฟังแล้วว่า ทุกวันนี้ พระเจ้าติวอ๋องเชื่อฟังนางขันกี นางขันกีจะทูลประการใดก็เชื่อฟัง สั่งให้ฆ่าโต้ไทสือเสีย เราทูลขอโทษเป็นหลายครั้ง พระเจ้าติวอ๋องก็ไม่โปรด เราจนในความคิด มิรู้ที่จะทำประการใด ป่วยเป๊กจึงว่า โต้ไทสือเป็นขุนนางซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน พระเจ้าติวอ๋องเชื่อฟังนางขันกี จะให้ฆ่าโต้ไทสือเสียนั้น ข้าพเจ้าเสียดายโต้ไทสือนัก ขอท่านจงพาข้าพเจ้าไปเฝ้า จะทูลขอโทษโต้ไทสืออีกสักครั้งหนึ่งก่อน เสี่ยงหยงก็พาป่วยเป๊กเข้าไปถึงพระที่นั่งข้างใน เสี่ยงหยงกับป่วยเป๊กจึงขึ้นไปเฝ้า ป่วยเป๊กทูลถามถึงโทษโต้ไทสือ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า โต้ไทสือคบคิดกันกับหุนต๋งจู๊เอาความเท็จมาว่า ปิศาจเข้ามาอยู่ในวัง ให้กิตติศัพท์เลื่องลือไป โต้ไทสือโทษถึงตาย เราจึงให้เอาไปฆ่าเสีย ป่วยเป๊กจึงทูลว่า ครั้งแผ่นดินพระเจ้าเงี่ยวฮองเต้นั้น พระองค์ตั้งอยู่ในยุติธรรม ขุนนางและอาณาประชาราษฎรทั้งแผ่นดินได้อยู่เย็นเป็นสุข ผู้ซึ่งเป็นคนโกหกสอพลอ พระองค์กำจัดเสีย มิได้ใช้สอยเป็นขุนนาง ผู้ซึ่งมีสติปัญญาและมีใจเจ็บร้อนซื่อตรงด้วยการแผ่นดิน พระองค์ชุบเลี้ยงให้เป็นขุนนางตามสมควร โต้ไทสือคนนี้เป็นขุนนางสัตย์ซื่อต่อแผ่นดิน ถ้าพระองค์จะเชื่อฟังนางขันกีและจะให้ฆ่าโต้ไทสือเสียนั้น ข้าพเจ้าเห็นว่า ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินจะกำเริบเดือดร้อน ข้าพเจ้าขอให้งดโทษโต้ไทสือไว้ครั้งหนึ่ง พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ตรัสว่า เสียแรงเราเลี้ยงท่านเป็นขุนนาง ไม่เจ็บร้อนด้วยเรา กลับไปเข้าด้วยคนผิด ด้านหน้าเข้ามาขอชีวิตโต้ไทสือ โทษท่านชอบตีด้วยกระบองจึงจะควร นางขันเห็นว่า พระเจ้าติวอ๋องทรงพระโกรธ จึงทูลซ้ำเติมว่า ป่วยเป๊กมิได้เกรงพระราชอาญา ล่วงเกินเข้ามาเฝ้าพระองค์ถึงที่ข้างในเป็นที่ห้าม แล้วให้หน้ากระหยิบตาให้แก่ข้าพเจ้า โทษป่วยเป๊กถึงที่ตายแล้ว ขอให้เอาตัวไปจำไว้ ให้เจ้าพนักงานทำเสาทองแดงใหญ่ จึงเอาเพลิงเผาเสาทองแดงให้แดง แล้วเอาป่วยเป๊กมาผูกมัดโอบเสาทองแดงไว้จนกว่าจะตาย อย่าให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่าง พระเจ้าติวอ๋องเห็นชอบด้วย จึงสั่งทหารให้ฆ่าโต้ไทสือเสีย แล้วให้เอาตัวป่วยเป๊กไปจำไว้ เร่งทำเสาทองแดงขึ้นสำหรับจะทำทาป่วยเป๊กตามคำนางขันทีทุกประการ ทหารก็ทำตามรับสั่ง
ฝ่ายเสี่ยงหยงเห็นดังนั้นจึงคิดว่า พระเจ้าติวอ๋องเชื่อฟังนางขันกี ให้ฆ่าโต้ไทสือ และจับป่วยเป๊กไปทำโทษ จะว่ากล่าวทัดทานก็มิได้เชื่อฟัง จะอยู่เป็นข้าเฝ้าสืบไป เห็นว่า นางขันกีจะทูลให้ฆ่าเสียเป็นมั่นคง จึงทูลว่า ข้าพเจ้าทำราชการมาถึงสามแผ่นดินจนแก่ชรา ทั้งสติปัญญาก็เคลิ้มเขลา จะว่ากล่าวสิ่งใดก็ฟั่นเฟือนหลงลืม จะขอลาออกนอกราชการไปอยู่บ้านเก่าทำไร่ไถนาหาเลี้ยงชีวิตกว่าจะตาย พระเจ้าติวอ๋องก็โปรดให้ไป เสี่ยงหยงก็คำนับลาพระเจ้าติวอ๋องออกมาจากวัง
ฝ่ายปิกันกับขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงรู้ว่า เสี่ยงหยงทูลลาออกจากที่ขุนนางผู้ใหญ่จะไปบ้านเก่า ต่างคนก็พากันไปตามส่ง ฝ่ายเสี่ยงหยง ครั้นมาถึงที่ขุนนางไปมาหยุดพัก จึงลงจากม้า แล้วลาปิกันกับขุนนางทั้งปวงว่า ท่านจงอุตส่าห์ทำราชการ ระวังตัวอย่าให้ระแวงความผิด ปิกันจึงว่า ตั้งแต่ท่านกับข้าพเจ้าทำราชการมาด้วยกันช้านาน ครั้งนี้ท่านจะหนีข้าพเจ้าไปหาที่สบายแล้วหรือ เสี่ยงหยงจึงว่า ข้าพเจ้ากับท่านทำราชการมาด้วยกัน ท่านก็ย่อมแจ้งอยู่ ข้าพเจ้าจะเพ็ดทูลสิ่งใด พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นชอบด้วย เพราะพระทัยกรุณานับถือว่าเป็นผู้เฒ่า ตั้งแต่พระองค์ได้นางขันกีมาไว้ พระทัยลุ่มหลง พระจริตก็ผิดกว่าแต่ก่อน บัดนี้ ข้าพเจ้าก็แก่ชรา กำลังน้อย มีแต่เคลิ้มเขลาหลงลืม เพ็ดทูลสิ่งใดก็ฟั่นเฟือน เห็นว่า นานไปจะไม่พ้นความผิด จึงคิดเบี่ยงบ่ายเอาตัวออกนอกราชการ ซึ่งท่านกับขุนนางทั้งปวงมาส่งข้าพเจ้าถึงที่นี่ขอบคุณนัก เชิญกลับเข้าเมืองหลวงเถิด เสี่ยงหยงว่าแล้วก็ร้องไห้ลาขุนนางทั้งปวงขึ้นม้าไป ปิกันกับขุนนางทั้งปวงก็กลับมาเมืองหลวง
ฝ่ายเจ้าพนักงานซึ่งไปทำเสาทองแดง ครั้นสำเร็จแล้ว ก็เข้าไปกราบทูลพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องสั่งให้ยกเสาทองแดงเข้าไปให้นางขันกีดู แล้วตรัสแก่นางขันกีว่า เวลาพรุ่งนี้ จะเอาตัวป่วยเป๊กไปทำโทษ ครั้นเวลารุ่งเช้า พระเจ้าติวอ๋องเสด็จออกที่นั่งออกขุนนาง ให้ยกเสาทองแดงมาตั้งไว้ จึงให้ตีกลองสัญญาประชุมขุนนาง
ฝ่ายปิกันกับขุนนางทั้งปวงต่างคนเข้ามาพร้อมกัน แลเห็นเสาทองแดงตั้งอยู่ มิได้รู้ว่าจะทำประการใด ก็พากันนิ่งคิดสงสัยอยู่ พระเจ้าติวอ๋องเห็นขุนนางมาพร้อมแล้ว จึงสั่งจิบเตียกั่วให้เอาตัวป่วยเป๊กมา จึงสั่งให้เอาถ่านเพลิงกองเผาเสาทองแดงให้ร้อน แล้วชี้พระหัตถ์ไปที่เสาทองแดง ตรัสแก่ป่วยเป๊กว่า ท่านรู้จักหรือหาไม่ ป่วยเป๊กทูลว่า ข้าพเจ้ามิได้รู้จัก พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เสาทองแดงนี้ชื่อ เผาหลก สำหรับทำโทษคนหยาบช้า จะได้เป็นกฎหมายสืบไป ป่วยเป๊กได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงว่าแก่พระเจ้าติวอ๋องว่า ท่านเป็นคนหลงด้วยสตรี ทำให้เสียประเพณีกษัตริย์ เราเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เห็นผิดจึงทัดทาน กลับโกรธจะฆ่าเสีย ถึงเราจะตายก็ไม่เสียดายชีวิต แต่คิดวิตกอยู่ด้วยท่านจะทำให่เชื้อวงศ์พระเจ้าเสี่ยงทางสูญสิ้นครั้งนี้ พระเจ้าติวอ๋องได้ทรงฟังป่วยเป๊กกล่าวหยาบช้าก็ทรงพระโกรธ จึงสั่งทหารให้เอาโซ่ผูกเท้าและมือป่วยเป๊กโอบเสาทองแดง พัดถ่านเพลิงให้ร้อน ป่วยเป๊กร้องขึ้นคำเดียวก็ขาดใจตาย
ฝ่ายขุนนางทั้งปวงเห็นพระเจ้าติวอ๋องทำโทษป่วยเป๊กดังนั้น ต่างคนกลัวอาญาท้อใจอยู่ ในขณะนั้น หาผู้จะเพ็ดทูลประการใดไม่ พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จขึ้น ฝ่ายปิกัน ครั้นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จขึ้นแล้ว จึงพูดกันกับอึ้งป่วยฮอซึ่งเป็นบูเสี้ยงอ๋อง และขุนนางทั้งปวง ว่า เหตุทั้งนี้เพราะบุนต๋งไท้สือไปปราบหัวเมืองฝ่ายเหนือ มิได้อยู่ นางขันกีไม่เกรงผู้ใด จึงทูลยุยงให้พระเจ้าติวอ๋องทำโทษป่วยเป๊กด้วยเผาหลกจนสิ้นชีวิต ผิดอย่างธรรมเนียม ให้กิตติศัพท์เลื่องลือไปทั้งแผ่นดิน อึ้งป่วยฮอได้ฟังปิกันว่าดังนั้นก็โกรธ เอามือลูบหนวดแล้วว่า พระเจ้าติวอ๋องให้ทำเผาหลกสำหรับฆ่าขุนนางผู้ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินมิให้ทูลทัดทานทั้งนี้ เหมือนดังจะทำลายพระองค์เสียเอง พระเจ้าติวอ๋องเห็นจะสูญเชื้อวงศ์กษัตริย์เสียครั้งนี้เป็นมั่นคง ครั้นพูดกันแล้ว ต่างคนก็กลับไปบ้าน
ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋อง ครั้นไปถึงที่บรรทม พอนางขันกีออกมาคำนับรับเสด็จ จึงตรัสบอกว่า เผาหลกซึ่งเจ้าคิดให้ทำขึ้นไว้ครั้งนี้ขุนนางทั้งปวงกลัวเกรงนัก หาผู้ที่จะว่ากล่าวความสิ่งใดขึ้นไม่ แต่นี้ไป เราทั้งสองจะอยู่เป็นสุข ตรัสแล้วก็พานางขันกีเข้าที่ นางพนักงานข้างในก็พร้อมกันดีดกระจับปี่สีซอบำเรอพระเจ้าติวอ๋องแต่เวลาพลบค่ำจนถึงสองยามเศษ