- ๓ -
อ้ายขวัญฝากลาย
ายในโรงนาของเจ้าเรียม ตาเรืองซึ่งเมื่อแรกก็คิดถึงความดีของเจ้าขวัญอยู่บ้าง แต่ลงท้ายก็ถูกลูกชายกับเจ้าจ้อยปั่นหั และซ้ำแม่เจ้าเรียมสำทับเข้าอีกจนตาเรืองต้องเข้ารอยเดิม คือ มองเห็นเจ้าขวัญเป็นอ้ายขวัญลูกมหาสัตรู แล้วก็หันเข้ารุกราญทารุณบุตรสาวตามคำแนะนำของเจ้าเริญ คือ จับเจ้าเรียมตีตรวนขาไว้กับเสาข้างที่นอน หวังตัดไฟเสียก่อนที่หัวลมจะมาถึงอีก

๗ วันของเจ้าเรียมมันก็เหมือนตกนรก เมื่อก่อนคิดว่าพ่อจะเห็นอกเห็นใจ จะได้ส่งข่าวไปให้เจ้าขวัญรู้และจัดคนมาสู่ขอ แล้วเจ้าเรียมก็จะเปนสุข ได้อยู่ใกล้เจ้าขวัญตลอดวัน พอลืมตาขึ้นหรือค่ำลงก็จะมีเจ้าขวัญอยู่ข้างเคียง ฟังมันพูดฟังมันวอน เมื่อเจ้ามีโมโห มันก็พูดออเซาะตลกขบขัน แต่ความคาดความฝันนั้นต้องเหลวไป เพราะพ่อแกกลับความคิด แต่วันนั้นมาจนป่านนี้ก็ร่วมเข้า ๘ คืนที่เจ้าเรียมต้องกินแต่น้ำตา เจ้าขวัญเล่าก็คอยหาย หรือมันจะล้มเจ็บลงอีกเพราะแผลนั่นมิใช่เล็กน้อย

นับแต่วันเกิดเหตุมา เจ้าขวัญต้องนอนแซ่วอยู่เพราะพิษแผลทำให้มีไข้ ไปไหนไม่ได้ แม้จะถูกผู้ใหญ่เขียนซักไซ้ไล่เลียงเท่าไร เจ้าขวัญก็ไม่รับ คงยืนคำอยู่แต่ว่าถูกคนแอบฟันผิดตัว และไม่รู้ว่าเปนใคร คอยฟังข่าวทางเจ้าเรียมก็หายเงียบ จนล่วงเข้าวันที่ ๗ บาดแผลค่อยทุเลา พอจะไปไหนมาไหนได้ เจ้าขวัญจึงออกสืบฟังข่าวเจ้าเรียมจนรุ่งขึ้นวันที่ ๘ ก็ได้รับหนังสือลายมือเจ้าเรียมลอบฝากเจ้ารอดน้องชายมาให้ เล่าถึงความทุกข์ยากทรมานที่เจ้าได้รับเพราะเจ้าเริญกับเจ้าจ้อยเปนคนปั่นหัวให้พ่อกลับใจ

พอรู้ว่า ตาเรืองกับอ้ายเริญอ้ายจ้อยหักหลังและทารุณกับเจ้าเรียมคนรัก ก็สุดที่เจ้าขวัญจะระงับโทษะ ลืมความเจ็บ ลืมความกลัว ชิชิ พ่อเรืองนะ มิเสียแรงเปนผู้ใหญ่ พูดจาสับปรับแต่พอพ้นตัว เมื่อไม่สมาแล้ว กูก็ไม่ว่า ยังทำกับเจ้าเรียมอีก นี่ตกลงมันจะหลอกฟันอ้ายขวัญเล่นเปล่า ๆ งั้นหรือ

มันลับดาบอยู่ตั้งแต่บ่าย อ้ายขวัญเจ้าทุ่งยิ้มเหยเมื่อเอามือจับคมดูรู้สึกหนับ ๆ นานแล้วซีนะที่มึงมิไดกินเลือด สนิมขึ้นออกเกรอะ ค่ำนี้แหละ คืนนี้เถอะ กูจะให้มึงดื่มเลือดให้อิ่มทีเดียว

เวลาค่ำเข้าใต้เข้าไฟไปแล้วกระทั่งล่วงมาอีกจนยามเศษ เจ้าจ้อยก็คงยังไม่กลับมา นั่งคุยฟุ้งถึงสมบัติพัศถารไร่นาสาโทอยู่กับตาเรืองกับเจ้าเริญ และมีลูกน้องตามมาเปนเพื่อนด้วยอีก ๒ คน ต่างเสพสุราอาหารกันจนมึนเมาด้วยทุนทรัพย์ของเจ้าจ้อย

เจ้าเรียมถูกล่ามโซ่อยู่ในโรงนาชั้นล่าง จะนั่งนอนไม่เปนศุขสักท่าเดียว ซูบผอมตรอมตรมด้วยความทุกข์ใจ ข้าวปลาไม่เปนอันกิน เสียงที่เจ้าจ้อยคุยโขมงได้ยินชัดทุก ๆ คำ และคำที่สำคัญสกิดใจก็คือ แนะให้พ่อนำเจ้าไปขายไว้ที่บางกอกพอเรื่องเจ้าขวัญสงบเงียบลงสักครึ่งค่อนปี เจ้าจ้อยจะเปนคนออกเงินให้ไปถ่ายมาแล้วมันจะขอเอาเปนเมีย

เสียงฝาจากทะลุและดังแกรก ๆ ที่ข้างหลัง พอเหลียวไปก็เห็นเงาปลาบเข้าตา เจ้าเรียมตกใจแทบสิ้นสติจะหนีก็ไม่พ้นเพราะขาติดโซ่ครั้นจะตะโกนเรียกพี่ชายหรือพ่อให้ช่วยคงไม่ได้ยินเพราะมัวคุยกันเอะอะและกำลังเมาเฟะไปตามกัน กระทั่ง

ฝาจากถูกตัดทะลุเปนช่องใหญ่สนัด อารามตกใจเจ้าเรียมโผหนีไปสุดโซ่ล้มลง พอขยับปากจะตะโกนเรียกพ่อก็ได้ยินเสียงจุปากแล้วเรียกชื่อเจ้าค่อย ๆ

"เรียมพี่มาแล้ว"

จำเสียงได้ว่าใช่คนอื่น

"พี่ขวัญ โธ่เอ๋ยพี่ขวัญจ๋า"

เจ้าขวัญตรงเข้าประคองแขนสั่นละริกมือลูบคลำโซ่เส้นใหญ่ที่ข้อเท้า น้ำตาหยดในฉับพลัน

"โถ เรียมเอ๋ย เจ้าต้องทรมานเพราะพี่แท้ ๆ แล้วนี่เราจะทำยังไงกันดีเล่านี่"

เจ้าเรียมเงยหน้าขึ้นดูเจ้าคนรักสดุ้งสดุดใจ

"นั่นพี่ขวัญหน้าเปนอะไรจึงดำจนฉันจำแทบไม่ได้"

"พี่มอมด้วยดินหม้อหวังจะมาหาเจ้าซี"

เจ้าเรียมไม่เชื่อสนิท "ยังกะจะไปปล้นหรือทำร้ายใคร"

"เปล่าหรอกเจ้า พี่มอมมาก็เกลือกว่าจะมีเรื่องกลัวคนจำได้เท่านั้น" เจ้าขวัญพูดเฉไฉไม่เห็นเปนข้อสำคัญ

แล้วสองรักสองราก็เพลินไปชั่วขณะที่พบกัน มันจากกันมาเจ็ดคืนเหมือน๗ปี แม้เจ้าเรียมจะติดโซ่ เจ้าขวัญจะระบมแผลก็ไม่มีใครนึกถึง กอดกันไปร้องไห้กันไป หัวใจมันโศรกเศร้าสงสารกันมากเกินกว่าจะรักกัน ยิ่งเจ้าขวัญรู้ความที่เจ้าเรียมเล่าให้ฟังว่าเจ้าจ้อยยุให้ขายเจ้าแก่พวกพ้องมันที่บางกอกเพื่อเอาเงินมาถ่ายนาแลหวังจะแยกกันด้วยแล้ว เจ้าขวัญก็แทบคลั่งใจตาย สองมือเหนี่ยวรั้งแทบว่าจะกระชากตรวนให้ขาดสบั้น

"ไปเสียกับพี่เถอะเรียม"

"แล้วเราจะไปอยู่ที่ไหนเล่าจึงจะพ้นตาเขา"

"ขึ้นบางกอกซี เรี่ยวแรงพี่มีพอทำงานเลี้ยงเจ้าหรอกเรียมเอ๋ย"

เจ้าเรียมซบหน้าลงกับตักเจ้าขวัญฟูมฟายน้ำตา อยู่จะตายหรือไปจะรอดยังไม่แน่ใจ เผื่อไปผิดพ้องกันขึ้นหรือเจ้าขวัญไปเห็นผู้หญิงสมัยในบางกอกเข้าแล้วเจ้าจะทำอย่างไร กลับมาอยู่นาหรือ จะดูหน้าใครได้เล่าในย่านบางกะปิ ลงท้ายเจ้าเรียมก็คิดสงสารเรียมเอง

"ขอผัดให้ฉันมีเวลากรึกกรองก่อนเถอะพี่ขวัญ"

"ตามใจเจ้าเถอะ เมื่อไหร่จะให้พี่มาฟังข่าวล่ะ คืนพรุ่งนี้ได้ไหม" เจ้าขวัญคยั้นถามเสียงหอบ

"ซักมะรืนจะดีกว่า"

"ดีเหมือนกัน"

เสียงข้างบนฮากันครืนขึ้นด้วยความสนุกสนานในคำพูดของเจ้าเริญ

ต่อมาอีกครู่ใหญ่ ๆ เสียงเจ้าจ้อยกับพวกบอกลาเพราะดึกมากแล้ว ทั้งเปนเวลาเดือนมืด

"ระวังอ้ายขวัญน๊ะพ่อจ้อย อ้ายนี่มันลอบกินสำคัญนัก" เสียงเจ้าเริญพูดทีเล่นทีจริง

"ฮ้า–พ่อเริญ ก๊อผิดไปซี" จ้อยตอบเสียงส้น ๆ บอกว่ากำลังห้าวเพราะฤทธิ์สุรา "ถ้าฉันกลัวอ้ายขวัญลาก้อ อีวันนั้นไม่กล้าถีบหน้ามันหรอก"

เจ้าขวัญซึ่งสงบฟังอยู่ข้างล่าง แทบจะอดไม่อยู่ กัดกรามกรอดด้วยโทษะ "เดี๋ยวเถอะอ้ายจ้อย เดี๋ยวก็คงรู้หรอกว่ามึงดีหรือกูดี มึงจะมาสักเท่าไหร่ก็ช่างหัวมึงเถอะ ถ้าเลือดไม่เจิ่งทุ่งไปมึงเรียกกูอ้ายหมาขวัญก็แล้วกัน"

"พี่ลาก่อนละน๊ะเรียมน๊ะ" มันหันมากระซิบปลอบใจนางคนรัก "ประเดี๋ยวเขาถือไฟลงมาส่ง อ้ายจ้อยเห็นพี่เข้าจะไปกันใหญ่" แล้วกอดรัดเจ้าเรียม จูบแล้วจูบเล่าเจ้าเรียมก็ไม่วายน้ำตาไปได้"

"วันมะรืนพี่จะมาอีก เจ้ารีบเช็ดหน้าเสียเพราะเปื้อนดินหม้อจากพี่แล้วอย่าลืมแซมจากที่พี่ตัดเข้ามาด้วย เดี๋ยวจะเกิดความใหญ่ ลาละเรียมพี่ลาก่อน คืนมะรืนนี้อย่าลืม" มันสั่งเสียเร็วปร๋อ หยิบดาบคู่มือขึ้นจบท่วมหัวเล็ดลอดออกไปทางเดิม ละเจ้าเรียมให้ร้องไห้อยู่แต่เดียวดาย

เมื่อตาเรืองกับเจ้าเริญตามมาส่งจนสุดเขตต์นาแล้ว เจ้าจ้อยกับพวกก็บอกลาอีกหนหนึ่ง แล้วก็พากันเดินมุ่งหน้าข้ามไปทางปลายอันนาโน้น

ทางจะกลับบ้านเจ้าจ้อย เมื่อพ้นทุ่งนาแล้วต้องผ่านวัด ความเคยชินและฤทธิ์เหล้าทำให้เจ้าจ้อยกับพวกครึกครื้นร้องเพลงลั่นตลอดทางโดยไม่สทกสท้านหรือเกรงอกเกรงใจใคร

พอผ่านพระเจดีย์ เจ้าเพื่อนที่เดินหลังสุดร้องโอ๊ยแล้วล้มลง

"ข้าถูกฟันแล้ว พี่จ้อย"

เจ้าจ้อยกับเพื่อนอีกคนหนึ่งขนลุกเกรียวสร่างเมา กำดาบมั่นหันกลับโดยเร็ว

เจ้าคนมอมหน้าโพกหัว ปราดออกจากท้ายพระเจดีย์ วิ่งเข้าใส่ไม่รอให้ตั้งตัวแล้วฟันเจ้าลัดเพื่อนเจ้าจ้อยที่ขวางหน้า เจ้าลัดยกดาบขึ้นรับ แต่มันฟันเร็วและหนักใจหาย บุกตลุยเสียเจ้าลัดตั้งตัวไม่ติด ถอยกรูด ๆ หลังปะทะกับเจ้าจ้อยพอเหลียวดูเพราะกลัวล้มและเข้าใจว่า เจ้าหน้าดำมีพวกมาด้วย ก็ถูกฟันผ่าลงกลางแสกอย่างเต็มดาบเลือดกระจาย

เมื่อเสียเจ้าลัดลงอีกคนหนึ่งที่นับว่ายอดนักเลงและฝีมือดีก็เท่ากับเจ้าจ้อยมองเห็นป่าช้าจะหนีก็เปนการทิ้งเพื่อนอย่างบัดซบ จึงจำใจจำสู้

เกือบจะพูดได้ว่า เจ้าจ้อยเปนนักเลงเที่ยวมาก็นัก แต่ยังไม่เคยได้ประจญกับฝีมืออย่างอ้ายหน้ามอมคนนี้เลย มันฟันมาแล้วถึงสองคนก็ไม่เห็นเหน็ดเหนื่อยหรือเพลี่ยงพล้ำเลย ดาบฉวัดเฉวียนรวดเร็วจนตาลายปิดแทบไม่ถูก และในครู่ต่อมา เจ้าจ้อยก็มุ่งแต่จะฟันช่วงคอจึงปล่อยอกว่าง เลยถูกเจ้าคนมอมหน้ายกเท้าถีบอกเต็มแรง จนเท้าหลุดจากพื้นดินหงายหลังอย่างไม่ได้หลักดาบกระเด็นไปไกล

เพียงเสียงหัวเราะอย่างแค้น ๆ ในลำคอของมันเท่านั้น เจ้าจ้อยก็ใจหายหมดสติ มันเสียงอ้ายขวัญแท้ ๆ

แล้วเท้าก็เหยียบลงบนอก มือจิกศีร์ษะสับเอา ๆ ๓–๔ แผล พอเลือดเข้าตาแล้วก็ลุกขึ้นวิ่งผละหนืออกหลังวัด โผนลงคลองดำน้ำหายไปโผล่ทางเหนือน้ำโน้น แล้วก็ดำต่อไปอีก

ฟ้าขาวเช้าตรู่ ท้องนากำลังปลอดโปร่งเพราะลมดีอากาศสดชื่นใจในตอนเช้า เสียงแห้ง ๆ ของรวงเข้าสุกกวัดแกว่งกระทบกันเมื่อต้องลม เจ้าเอี้ยงและสาริกาต่างก็ลงจิกเมล็ดเข้าที่เกลื่อนกลาดตามดินเปนฝูง ๆ

สายวันนั้น ผู้ใหญ่เขียนก็ได้รับหมายจากอำเภอให้ส่งตัวเจ้าขวัญลูกชายซึ่งนอนจับไข้คลุมโปงอยู่ไปไต่สวนถานดักทำร้ายเจ้าจ้อยกับพวก ซึ่งทำให้ผู้ใหญ่เขียนหัวเราะหึ ๆ ลูบหัวลูกชายด้วยความรักใคร่ แล้วพูดว่า เมื่อมึงติดกูก็ยังอยู่อีกทั้งคนว๊ะ อ้ายขวัญไปเถอะไปสู้ความเขา

ในช่วงบ่าย เจ้าขวัญก็ขี่อ้ายเรียวกลับนาด้วยหน้าตายิ้มแย้มเบิกบาน โดยทางอำเภอเห็นเปนข้อใส่ไคล้ เพราะคนโกรธกัน ทั้งเจ้าขวัญก็กำลังเจ็บนอนจับไข้มา ๗–๘ วันแล้วตัวคนเดียวที่ไหนจะห้าวหาญสามารถไปฟันเจ้าจ้อยกับพวกเสียไปไม่ไหวทั้งสามคน เปนอันว่าเจ้าจ้อยเสียโฉมหน้าไป ๓–๔ แผล เจ้าลัดแขนแทบขาด และเจ้าอีกคนหนึ่งที่ถูกเข้าก่อนเส้นน่องขาดเดินกระโผลกไปตลอดชาติเปล่า ๆ แต่เมื่อฟังนัยรู้นัยกันแล้ว ตลอดย่านบางกะปิและกินมาจนต้นน้ำแสนแสบ ใคร ๆ ก็พากันชำเลืองซุบซิบมาทางเจ้าขวัญทั้งสิ้น ยิ่งเจ้าเริญกลัวหัวหด พอค่ำลงก็เข้านอนแทบจะกอดดาบหลับ แต่เจ้าเรียมยิ้มทั้งน้ำตา นึกเคารพยำเกรงเจ้าคนรักขึ้นอีกจับใจ พี่ขวัญของข้า มิเสียแรงเลยที่ข้าได้เลือกแล้วสมใจนัก อ้ายเสือแสนแสบ อ้ายเจ้าทุ่งปลายน้ำบางกะปิ พ่อทูนหัวของเรียม