- ๕ -
เจ้าพ่อบรรดาล

กลับจากบางกะปิมาถึงบ้าน เรียมไม่ศุขใจเสียเลยเข้านอนแต่หัวค่ำแม้จะฝืนใจหลับตาสักเท่าใดก็ไม่สำเร็จ พอหลับตาลงเปนเห็นหน้าเจ้าขวัญทุกที่ หน้าตามันซื่อเหมือนใจ นึกรังเกียจในความบ้านนอกของมันเวลานั้น แต่เวลานี้ โธ่ ขวัญช่างน่าสงสารเสียจริงเธอเชื่อฉันเพราะเธอรักฉัน บาปจริง บาปอย่างน่าละอายตัวเองทีเดียวที่ฉันหลอกคนซื่อ ๆ อย่างขวัญ

​เดือนขึ้นแสงจันทร์ลอดเข้ามาทางน่าต่างตึกเรียมสดุ้งขนลุกเกรียวคล้ายวิญญานเจ้าขวัญมากระซิบเตือนที่ข้างหูว่า เรียมเอ๋ย เดือนขึ้นแล้ว พี่มาคอยเจ้าอยู่นานแล้ว

เรียมไม่สามารถจะทนอยู่บนตึกอีกต่อไปได้ แม่นายกำลังหลับอย่างสบาย เพราะอ่อนเพลียเมื่อยล้าที่ต้องนั่งมาในเรือนาน ๆ เรียมลงจากตึกตรงมาศาลาท่าน้ำซึ่งเปนที่สำราญตั้งใจว่าจะนั่งตากลมพอให้ง่วงและลืมคิดถึงสิ่งต่าง ๆ แล้วกลับขึ้นนอน

แสงเดือนเตือนใจยิ่งขึ้นทุกขณะทำให้วิญญาณเธอล่องลอยกลับบางกะปิอิก ป่านนี้เจ้าขวัญกำลังคอยเธอ มันคงอิ่มอกอิ่มใจนักที่มันจะได้พบเธอไปตามนัด เมื่อนึกถึงเจ้าขวัญก็ทำให้เรียมมองเห็นภาพลำน้ำสายเล็กคดคุ้ง มีกอเข้าขึ้นอยู่ริมฝั่งที่เปนนา ร่มไทรรากไทรเมื่อครั้งโน้นทำให้เธอคิดไม่วายเลย เจ้าขวัญกำลังกอดเธอพลอดพร่ำฝากรักด้วยความจริง ชายแพรแดงกำลังหวั่นไหวด้วยลมปลิว ศาลเทพารักษ์กลาดเกลื่อนด้วยตุ๊กตาและเครื่องเส้นสังเวยเจ้าพ่อ สิ่งเหล่านี้ผุดขึ้นให้เธอคิดอีก และที่ติดหูติดตายิ่งกว่านี้คือ ธูปเทียนของเจ้าขวัญที่ปักไว้คู่กับเธอ และคำสาบาลของมันซึ่งเธอน่าจะลืมเสียแล้วนาน กลับฟื้นหูขึ้นมาอีก

เรียมเศร้า ยิ่งคิดแล้วยิ่งเศร้า เจ้าขวัญใช่อื่นไกลเลยแม้จะเปนชาวไร่ชาวนามันก็รักจริง หัวใจรักของมันหลักแหลมแก่กล้า มิเพราะมันรักหรือพี่เริญกับพ่อจึงอยู่โดยสวัสดี ส่วนนายจ้อยต้นเรื่องถูกฟันอย่างหนำใจ เรียมคิดขนลุกขนพองถึงคืนหลัง๓ปีโน้น ขวัญมอมหน้าตัดฝาเข้าไปในโรงนา มันมาหาด้วยความรักที่ซื่อสัตย์ฝ่าอันตราย แล้วเธอเล่า ขณะนั้นรู้สึกเช่นไร รักมัน หลงมัน โธ่ เอ๋ย ขวัญ เอ๋ย ฉันผิดเสียแล้วที่หลอกลวงทรมานให้คอยฉันจนป่านนี้ โอ้ พี่ขวัญ ฉันผิดลึกนัก ฉันลืมแผลเก่าของฉันเพราะกรุงเทพฯ แท้ ๆ กรุงเทพฯ ให้ความเพลิดเพลินซึ่งฉันไม่เคยพบเลยในทุ่งบ้านเรา ฉันหลับอยู่ทุ่งบางกะปิตั้งแต่เกิดมาจนรุ่นสาว และฉันก็เสียสาวเพราะขวัญของฉัน ฉันมาตื่นเอาในกรุงเทพฯ เพียง ๓ ปีเท่านั้นฉันก็ลืมที่นอนซึ่งหลับอย่างแสนสบายมาแต่เล็ก ฉันกำลังหลับอยู่กลางพระนครเมื่อ ๓ ปีมานี้ และก็บางกะปินี่เองที่ปลุกให้ฉันตื่นรู้จักบ้านเกิดเมืองนอนของฉันอีกครั้งหนึ่งเมื่อกลับจากบางกะปิ เมื่อกลับจากเธออย่างหญิงเจ้าเล่ห์ นายขวัญ พี่ขวัญ บางกะปิของเราปลุกฉันตื่นแล้ว บางกะปิของเราทุกหย่อมหญ้าวังน้ำนั่นสุขกว่ากรุงเทพฯ เปนไหน ๆ

เรียมหลบหน้าลงเพราะแสงจันทร์เตือนใจเธออยู่เสมอว่าเจ้าขวัญกำลังคอยอยู่กลางสายน้ำ เจ้าขวัญผู้อาภัพที่เกิดมาเปนชาวนา เพราะเจ้าขวัญขาดอารยธรรม ส่วนเรียมกำลังอาบความเจริญรุ่งเรืองของพระนครเธอจึงรังเกียจและหลีกลี้มาเสียแต่เมื่อบ่าย แต่วิญญาณเจ้าขวัญและความศักดิ์สิทธิ์ของธรรมชาติท้องทุ่งท้องน้ำ ธรรมชาติซึ่งลิขิตไว้ประจำทุ่งบางกะปิตลอดลำน้ำ และทุ่งแสนแสบ ทั้งสองฟากมีมหาอำนาจเหนือวิญญาณเจ้าเรียมแต่เกิดมาจนสาวใหญ่เปนเวลานาน ๒๐ ปี เมื่อกลับไปบางกะปิอีกเพียงวันเดียว ธรรมชาติเหล่านั้นก็ทำให้เธอระลึกได้ว่า บางกะปิคือบ้านเกิดเมืองนอน ระฤกถึงเหตุการณ์และการกระทำหนหลังซึ่งเธอได้ร่วมคิดร่วมใจกับเจ้าขวัญไว้แต่กาลโน้น

ยิ่งคิดยิ่งละอายตนเองที่เธอหลอกลวงเจ้าขวัญใจซื่อ ความสงสารกับความหลังเข้าจับใจเธอ พระจันทร์ยิ่งแจ่มเธอก็ยิ่งร้องไห้ ทำอย่างไรเสียเจ้าขวัญก็ต้องคอยเธอจนกว่าเดือนจะตก แล้วมันจะคิดอย่างไรรู้สึกอย่างไรเมื่อไม่เห็นเธอ มันต้องร้องไห้อยู่กับกระไดน้ำเปนแน่เทียว มันเปนหนุ่มใจเพ็ชร์ เมื่อเสียใจถึงที่สุดมีดที่มือมันเกลือกจะฆ่ามันเสียเองก็ได้ ฉันจะบาปมากทีเดียวถ้าเธอเปนไปเช่นนั้น ขวัญของฉัน ฉันจะไม่นอนหลับในถิ่นที่ไม่ใช่บ้านเกิดฉันอีกต่อไป บางกะปิเปนบ้านของเรา ฉันเกิดบางกะปิ หญ้านาและรวงเข้าบางกะปิให้ความเติบโตแก่ฉันมากและนาน ตั้งแต่วันคลอดจนเปนสาวใหญ่ โอ้ ขวัญ ฉันเปนสาวบางกะปิ เธอก็เจ้าหนุ่มปลายน้ำที่นั่น ฉันเสียสาวแล้วกับเธอ แผลฉันฝากไว้ที่เธอและเธอก็มีแผลเพราะฉัน แผลเก่าของเรา

เดือนตก-ลมตก เรียมคิดไปเคลิ้มไปจนดึกสงัด เธอจึงหวลขึ้นตึกอันแสนสุขเมื่อ ๓ ปีก่อน

ในวันรุ่งขึ้นไม่ทันสายเท่าไหร่ ตาเรืองกับเจ้ารอดก็มาถึงบ้านคุณนาย การมาของตาเรืองเปนข่าวไม่ดีสำหรับเรียมคือแม่เจ้าเจ็บมากเต็มที ครั้นจะให้คนอื่นมาก็เกรงไปว่าคุณนายจะไม่ยอมให้เจ้าเรียมไปบ้านอีก ฉะนั้นตาเรืองจึงต้องมารับด้วยตัวเอง

เรียมเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าคล้ายจะไปค้างนานหลายวัน แต่การจะกลับบางกะปิของเธอครั้งนี้ดูเต็มอกเต็มใจมาก กิริยาภายนอกของเธอหามีใครเข้าใจถึงไม่นอกจากเธอเข้าใจเธอเอง คุณนายมิได้คิดเปนอื่นนอกจากความสงสารเปนห่วงไปว่าเรียมจะต้องไปลำบากเรื่องอาหารการกินและการหลับนอนในสภาพเช่นนั้น แล้วตาเรืองก็พาเจ้าเรียมอำลาคุณนายลงเรือแจวที่แกเตรียมของแกมาเอง ซึ่งเปนนิสสัยของแกว่าไม่ควรจะต้องเสียค่ารถค่าเรือให้เปลืองโสหุ้ย

เมื่อคืนนี้ เจ้าขวัญไม่เปนอันหลับนอน คิดเสียใจน้อยใจเจ้าเรียมเปนที่สุด มันคิดจะไม่อยู่บางกะปิอีกต่อไปเพราะเหลือที่จะทนความทุกข์ใจได้ บางครั้งมันคิดสั้นจะฆ่าตัวเอง กระทั่งรุ่งเช้ามันก็รีบเปิดคอกต้อนอ้ายเรียวออกทุ่ง ควายในคอกเจ้าขวัญมีอยู่สี่ตัวด้วยกันแต่โดยมากอีกสามตัวมักถูกใช้งานหนักเว้นแต่อ้ายเรียวแสนรู้ซึ่งเปนควายติดท้องที่ผู้ใหญ่เขียนซื้อแม่มันมาและตกลูกเปนอ้ายเรียวซึ่งเจ้าขวัญได้เลี้ยงมาแต่เล็กจนมันคุ้นภาษาคน

สักบ่าย ๆ เจ้าขวัญก็พาอ้ายเรียวไปริมน้ำอย่างธรรมดา มันตะเพิดอ้ายเรียวลงคลองแล้วตัวมันเองก็ซุดลงนั่งที่ข้างกอแขมริมคลอง ถ้าเปนอย่างก่อนนี้เจ้าขวัญก็คงอดที่จะลงอาบน้ำดำผุดดำว่ายมิได้ แต่เดี๋ยวนี้เจ้าขวัญรู้สึกว่า ลำน้ำนี้มิได้ให้ความเยือกเย็นสุขสบายแก่มันเหมือนเก่าก่อน เพียงแต่เห็นฝั่งเห็นตลิ่งก็ทำให้มันชอกช้ำจนเกือบจะต้องย้ายที่ทิ้งบางกะปิบ้านเกิดไปเสีย

อาการไข้ของแม่เจ้าเรียมมีเพ้อพกตลอดเวลา เจ้าเริญและตาเรืองต่างลงนิ้วเห็นว่า น่าจะถูกผีทุ่งผีท่าเปนแท้ และหนทางรักษาก็มองไม่เห็นทางใดดีกว่าให้เจ้าเรียมไปบนบานเจ้าพ่อไทร เพราะเจ้าเรียมเคยถวายตัวเปนลูกมาแต่เล็ก ยิ่งดึกก็ยิ่งเพ้อมากขึ้นจนเข้ายามเศษจึงสงบหลับไป

แม้จะเปนบ้านเกิดแต่ก็จากไปเสียนานจึงทำให้เจ้าเรียมผิดที่นอนไม่หลับ และยุ่งยากด้วยความในใจต่าง ๆ ตัดสินไม่เด็ดขาดลงไปได้ เมื่อพ่อกับพี่เริญหลับแล้ว เรียมจึงออกมาหลังโรงนาหมายจะนั่งตากลมพอเย็น ๆ ที่เจ้ารอดน้องชายนอนเฝ้าควาย พอมาถึงเห็นเจ้ารอดสุมไฟทิ้งไว้เกือบจะมอดหมด ส่วนตัวมันหลับกรนลั่น เรียมนั่งลงบนแคร่ไม้ข้าง ๆ มัน

ความเงียบสงัดทำให้เรียมคิดหวาดไปต่าง ๆ มองไปข้างหน้า ท้องทุ่งกำลังหลับสงบอยู่ในความมืด การจากบ้านไปนาน ๆ ของเรียมทำให้เธอขลาด แต่ก่อนแต่ไรเมื่ออยู่นาเธอจะไม่นึกรังเกียจความมืดเลย เพราะความมิดทำให้เธอกับพี่ขวัญได้ลอบพบกันอย่างไม่มีภัย

เสียงสุนักข์หอนไกล ๆ ทางลำกระโดงโน้น เรียมรู้สึกวิเวกมาก เพราะนาน ๆ จะได้ยินสักครั้งหนึ่ง เสียงนี้ทำให้ใจวังเวงคิดถึงธรรมชาติและความเปนอยู่หนหลังของเธอเมื่อครั้งก่อน ๆ เมื่อ ๓ ปีโน้นเธอจำได้ว่าเสียงสุนักข์หอนสุนักข์เห่าพอเงียบไปแล้วไม่ช้าเธอจะเห็นหน้าเจ้าขวัญลับ ๆ ล่อ ๆ อยู่แถวลำกระโดง

อีเกในคอกลุกยืนถอยหน้าถอยหลังหายใจฟึดฟัดจนเรียมแปลกใจ ชะเง้อดู เธอต้องผวาเข้ากอดเจ้ารอดน้องชายที่นอนหลับอย่างแสนขี้เซาตัวเนื้อสั่น จะออกเสียงปลุกก็ไม่กล้าจึงหมอบนิ่งตาจับที่ร่างชายคนหนึ่งกำลังคืบคลานใกล้เข้ามา มือถือมีดขาวปลาบ

"เรียม เรียมเอ๋ย"

ใจเรียมมาอีกเปนกอง ไม่มีใครที่จะบังอาจดื้อดันเข้ามาเช่นนี้อีกนอกจากเจ้าขวัญ เธอนั่งขึ้นตามเดิมมองดูเจ้าลูกทุ่งด้วยความเปนห่วง เหลียวไปทางโรงนาเกรงพ่อและพี่เริญจะเห็นเข้า

"พี่ขวัญ ทำไมถึงมายังงี้"

มันหมอบ ๆ คลาน ๆ แล้ววิ่งปร๊าดมานั่งอยู่ข้างแคร่หอบดังจนเรียมได้ยินถนัด

"มาหาเจ้าหรอก เรียม มิใช่มาอื่น"

เรียมมองดูและเจ้าขวัญก็มองเรียม มีอะไรสักอย่างหนึ่งที่ทำให้เรียมต้องหลบตาเจ้าขวัญ

"เรียมเอ๋ย-เจ้าลวงพี่แท้เทียว เมื่อคืนพอเดือนขึ้นพี่ก็ลงน้ำมาคอยเจ้าจนเดือนตก แล้วพี่ก็เก้อคอยเจ้า" เจ้าขวัญมิได้พูดต่อไปอีก ซบหน้าลงกับพื้นแคร่ข้างตัวเจ้าเรียม"

"ฉันไม่ตั้งใจจะปดเลย แต่ความจำเปนที่ฉันจะอยู่ไม่ได้ในเมื่อคืนนี้"

"จำเปนของเจ้าว่าอะไร" มันเงยหน้าขึ้นถามอย่างไม่รู้ไม่เข้าใจ "เจ้านัดพี่เองแล้วก็หนีพี่เอง เจ้าแกล้งพี่ให้ผิดนัดจะให้อ้ายเริญฆ่าพี่หรือ มืออ้ายเริญฆ่าพี่ไม่ตายหรอก พี่จะตายก็ตายเพราะมือเจ้านี้แหละ"

ยากที่เรียมจะอธิบายให้เจ้าขวัญเข้าใจ เธอแสนสงสารมัน ทุก ๆ คำที่เจ้าขวัญตัดพ้อทำให้เธอนึกละอายตัวเอง มือลูบคลำต้นแขนและเส้นผมหยาบ ๆ ของเจ้าขวัญ

"ไม่หมายความเช่นนั้นหรอกจ้ะพี่ขวัญฉันหรือจะฆ่าพี่ลง"

มันฉงนคล้ายตื่นจากหลับ "นี่พูดจริง ๆ หรือเจ้าเรียม พี่ยากใจแท้ที่จะฟังคำเจ้า พี่มานี่เพราะอ้ายรอดไปบอกพี่หรอกว่าเจ้ามา ลำพังตัวเจ้าก็คงเงียบอำไว้ กว่าพี่จะรู้เจ้าก็หนีกลับบางกอกแล้ว เจ้าฆ่าพี่เสียเองดีกว่าที่เจ้าจะแกล้งให้พี่ช้ำใจตาย เรียม เมื่อวานเจ้าว่าอยู่บางกอกเปนสุขพี่ช้ำใจนัก พี่หรือคิดถึงเจ้าทุกวัน พออ้ายรอดบอกว่าพ่อพาเจ้าไปขายบางกอกแล้วตามคำแนะของอ้ายจ้อยพี่คอแห้งเปนผง อดเข้าอดน้ำอยู่หลายวัน เรียมเอ๋ย ข้า ข้า" แล้วอ้ายขวัญก็ร้อง

เรียม เจ้าลวงพี่แท้เทียว เมื่อคืนนี้พอเดือนขึ้น พี่ก็มาคอยเจ้าจนเดือนตก

ไห้ซบลงใกล้ตักเจ้าเรียม เสียงครวญอย่างชอกช้ำแล้วคำรามถึงความหลัง แหงนหน้าจับตาเจ้าเรียม ชูมีดในมือให้ดู "ข้าแค้นอ้ายจ้อยจนข้าต้องสาบาน ข้าไปสาบานต่อหน้าศาลเจ้าพ่อของเราว่า ถ้าอ้ายจ้อยอยู่ ข้าก็จะตาย เพราะเมื่อมันเอาเงินไปถ่ายเจ้ามาแล้ว เจ้าก็ต้องเปนเมียมัน ข้าทนดูไม่ไหว ข้าทนดูอ้ายจ้อยเปนผัวเจ้าไม่ได้เลย เรียม พี่ฆ่าอ้ายจ้อยตายเสียนานแล้ว ฆ่ามันเสียที่เมืองมิน เพราะมันอายว่ามันถูกฟันหน้าเสียนักเลง จึงหนีขึ้นเมืองมิน แล้วมันก็ตายโหงที่เมืองมิน ข้าหลบมาแสนสบายใจ เพราะไม่มีอ้ายจ้อยจะถ่ายเจ้าอีก ข้าตั้งหน้าไถนา ตั้งใจรับจ้างเขาเกี่ยวข้าวแจวเรือเก็บเงินประสมไว้ว่าจะให้พ่อถ่ายเจ้า เรียมเอ๋ย ข้าห่วงพ่อแกคนเดียวกับตัวเจ้าเท่านั้น หาไม่ข้าจะล้างโคตอ้ายจ้อยเสียให้หมดทุ่ง"

เรียมสดุ้งถอยตัว เธอเพิ่งรู้ว่าเจ้าจ้อยตายเพราะมือเจ้าขวัญ และเพราะเธอคนเดียวที่ทำให้เจ้าขวัญฆ่าคน จะมีมั่งไหมที่คนรักเธอจริงอย่างอ้ายขวัญ แล้วความรู้สึกครั้งเก่า วิญญาณและหัวใจดวงเก่าของเรียมชาวนา ก็เข้าครอบงำเธอ

"พี่ขวัญ พี่ขวัญฆ่าเจ้าจ้อยเพราะรักฉันแท้ ๆ โธ่พี่ขวัญ ถึงฉันจะไปอยู่กรุงเทพฯ ก็ยังไม่ลืมพี่ขวัญเลย"

"เจ้าไม่ลืมพี่" มันเบิ่งตา "งั้นเรียมก็ยังรักพี่อยู่เหมือนเก่าก่อนงั้นหรือ เรียมอย่าลวงพี่อย่างวันวานนี้อีกนะเออ เรียม พี่ดีใจจริง ๆ ที่ได้ยินคำเจ้าเออ เจ้าประคุณศักดิ์สิทธิ์แท้" เจ้าขวัญยกมือขึ้นประณมไหว้ไปบนฟ้า "พี่บนบานเจ้าพ่อมา ๓ ปีแล้ว ขอให้เจ้ากลับมาอีก มาอยู่บางกะปิดูไร่นาของเราดีกว่า บางกอกไม่มีนาดู ร้อนก็ต้องอาบน้ำโอ่ง กุ้งปลามันจะมีในคลองเหมือนบ้านเราหรือ"

ฟังเจ้าขวัญพูด เรียมมองเห็นสภาพธรรมชาติของลำน้ำและทุ่งนาในตอนกลางวัน จริงของเจ้าขวัญทั้งสิ้น เธอมองเห็นชีวิตอิสสระของการอยู่นา แต่แล้วคุณสมชายเล่า เมื่อคิดถึงคุณสมชายและฐานะความเปนอยู่ของเรียมเอง เวลานี้เธอก็อัดอั้นจริง ๆ

เจ้าขวัญลูบคลำซิ่นไหมชายเสื้อของเรียมอย่างตื่น ๆ เมื่อมองตัวมันเองแล้ว ก็ดูเลอะเทอะไปด้วยโคลนเลนที่ข้ามมาจากลำกระโดงโน้น เจ้าเรียมแต่งตัวอย่างผู้ดีบางกอกจนทำให้เจ้าขวัญตกประหม่า ใจหนึ่งใคร่รักในเจ้าเรียม อีกใจหนึ่งยำเกรงในเครื่องแต่งกายและทีท่าบางกอกของเจ้าเรียมนักหนา

มันแหงนหน้าจับฟ้าเห็นเดือนขึ้น เดือนกำลังจะหงายเหมือนเมื่อคืนซึ่งมันต้องเก้อจนแทบฆ่าตัวตาย แต่เดือนหงายคืนนี้ก็คงทำให้มันเศร้าอยู่นั่นเอง

"พี่จะต้องลาเจ้าก่อนเพราะเดือนขึ้นแล้ว หน่อยอ้ายเริญหรือใครมาเห็นเข้า พี่ก็ขี้เกียจรำคาญ"

เรียมก็อาลัยมัน แต่มองเห็นความจริงตามเจ้าขวัญพูดอยู่มาก

"ถูกของพี่ขวัญ เชิญเถิดแล้วเราถึงค่อยพบกันใหม่ เพราะพรุ่งนี้พ่อแกจะให้ฉันไปที่ศาลเพื่อบนให้แม่หาย แต่แกจะให้ฉันไปกับพี่เริญหรือเจ้ารอดยังไม่รู้ได้เลย"

"เอาอ้ายรอดไปเถอะเรียม พี่จะได้ไปด้วย เออจะเข้า ๓ ปีแล้วที่พี่ต้องไปศาลเจ้าพ่อคนเดียว เจ้าไปส่งพี่ที่ลำกระโดงด้วยกันไม่ได้หรือ

ความหลังที่เคยร่วมรักกันและความสงสารทำให้เรียมเดินตามเจ้าขวัญไปง่าย ๆ เดินลัดหลังคอกอีเกแล้วออกทุ่ง เธอไม่หวาดกลัวอะไรเลยจนนิดเดียวเพราะเธอกำลังเดินมากับอ้ายเจ้าทุ่งบางกะปิที่ลือเลื่อง

พอสุดซีกนาจะข้ามไปฟากนาเจ้าขวัญมีลำกระโดงคั่น น้ำกำลังขึ้นเจิ่งและเจ้าขวัญต้องลุยข้ามไป เรียมอยุดยืนดูน้ำแล้วใจหาย เจ้าขวัญจะต้องข้ามไป และเดินไปอีกไกลกว่าจะถึงโรงนามันที่เห็นอยู่ลิบ ๆ โน้น

เจ้าขวัญก้าวลงลำกระโดง ใจคอปั่นป่วนอาลัยเจ้าเรียม มันถอนขาขึ้นแล้วซุดนั่งลงถอนใจทอดตาดูน้ำ

เรียมนั่งลงข้าง ๆ ตัว ดูเหมือนเธอจะรู้ว่าเจ้าขวัญกำลังคิดอะไรอีก กลัวภัยที่จะข้ามลำกระโดงนิดหนึ่งเท่านี้หรือ ๆ ครั่นคร้ามต่อหนทางที่จะต้องไปคนเดียวข้างหน้า ต้องผิดแน่-เพราะเจ้าน้ำเจ้าทุ่งคืออ้ายขวัญ อ้ายหนุ่มหน้าสวยใจแกล้วของทุ่งบางกะปิ

"คิดอะไรหรือพี่ขวัญ"

มันหายใจยาวมองดูหน้าเรียม "พี่คิดถึงอกพี่เอง" แล้วสั่นหน้าอย่างทุกข์หนัก "เฮ้อ เรียม นี่พี่อยากจะพูดอะไรกับเจ้าอีกก็นึกไม่ออกเลย พี่เห็นน้ำแล้วอกแห้งเสียจริง ๆ"

แม้มันจะพูดน้อย แต่ก็ทำให้เรียมแจ่มแจ้งในความหลังมาก เธอกำลังแห้งใจเมื่อเห็นแสงเดือนต้องสายน้ำเยี่ยงเดียวกับเจ้าขวัญ

เห็นเรียมนิ่ง เจ้าขวัญจึงถามต่อไปอีกว่า

"เรียม แล้วเจ้าจะกลับบางกอกเมื่อไร"

"ยังตอบเดี๋ยวนี้ไม่ได้หรอกพี่ขวัญ เพราะอาการแม่แกมาก ฉันจะต้องอยู่จนกว่าแกจะค่อยยังชั่วหรือแกจะตายเท่านั้น"

"เอ๊อ, เจ้าขวัญถอนใจดัง "เมื่อเจ้าไปแล้วพี่ก็คงทุกข์ใจตายเท่านั้นเอง เออ พี่จะถามเจ้าสักคำอย่าโกรธพี่ได้ไหม"

"พี่ขวัญจะถามอะไรฉัน"

เจ้าขวัญสท้อนใจ ตาจับนิ่งที่ดวงเดือนในน้ำ

"ถ้าเจ้าไม่โกรธพี่ก็ขอบใจเจ้า พี่ทุกข์ใจตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้ว พี่เห็นเจ้ามากับผู้ชายบางกอกพี่กลัวแท้ กลัวว่าเจ้าจะรักคนบางกอกมากกว่ารักพี่ แล้วเจ้าก็หนีพี่ไปเสียอีก เออเรียมเอ๋ย ถ้าเจ้าได้ผัวบางกอกมันก็สมหน้าสมตาดีหรอกแต่ว่ามันจะรักเจ้าแรงเหมือนพี่รักเจ้าหรือ เคราะห์หามยามร้ายมันทิ้งเจ้าเสียเจ้าก็คงช้ำใจตาย พี่อยู่หลังก็คงตายเพราะช้ำใจเจ้า" เสียงเจ้าขวัญขาดเครือเปนห้วง

เรียมไม่สบายใจเลย ร้อยคำของเจ้าขวัญมันจริงทั้งร้อยเท่าที่เห็น ๆ ความรักของมันก็ฆ่ามนุสส์ไปแล้วศพหนึ่ง ความในใจและความจริงหนหลังของเธอกับมันก็มีอยู่มาก

เธอเขย่าไหล่เจ้าขวัญให้รู้สึก "มีผัว-พี่ขวัญกลัวว่าฉันจะมีผัวที่บางกอกงั้นรึ โธ่เอ๋ยพี่ขวัญถึงฉันจะคุ้นเคยและมีหน้ามีตาในกรุงเทพฯก็จริงแต่ฉันยังเจียมตัวฉันอยู่เสมอว่า ฉันเปนลูกชาวนาสกุลรุนชาติของเราเปนชาวนามาแต่ไหนแต่ไรใคร ๆ ก็รู้เห็นมาทั้งนั้น และในพระนครน่ะผู้หญิงงาม ๆ กว่าฉันมีมากหลายแสนนักฉันจึงรู้ตัวว่าผู้ชายบางกอกเขาคงไม่รักฉันจริงเท่าไหร่ โธ่พี่ขวัญ ฉันไม่ชั่วหลายใจถึงเพียงนั้นหรอก ฉันคิดอยู่เสมอว่าฉัน "ฉันเสียตัวกับพี่ขวัญแล้วเมื่อฉันยังอยู่นาครั้งโน้น"

ขวัญเหลียวหาเธอเต็มตื้นใจ "เรียม นี่เจ้าไม่ลวงพี่ไม่ใช่หรือ เออ หญิงงามรูปงามใจอย่างเจ้าคงหาไม่ได้อีกแล้ว เรียม-เจ้าช่างคิดนัก เจ้ายังคิดถูกว่าเราเปนลูกบ้านทุ่งด้วยกัน บ้านทุ่งของเราไม่ใช่ของพวกบางกอก พวกบางกอกน่ะเขาไม่รักเราจริงหรอก เรียมเอ๋ย รักชั่วแล่นของมันก็ช้ำชั่วปีของเรา พี่ว่างี้แหละ"

"ฉันก็คิดอย่างนั้นและ เพราะฉันเจียมตัวเจียมใจว่าฉันเปนลูกชาวนาพ่อแม่ยากจน เมื่อผิดพลาดลงแล้วฉันจะดูหน้าใครได้อีก"

"แลพี่ก็ต้องพลอยไปกับเจ้าด้วยอีกคนหนึ่ง เออเจ้าเรียม" มันมองตั้งแต่ศีร์ษะตลอดเท้า "เจ้าไว้ผมอย่างสาวบางกอกน่ะมันก็สวยดีหรอก แต่มันหนักใจพี่จริงที่กลัวเจ้าจะกลับไปอยู่กรุงอีก พี่เห็นเรียมเดี๋ยวนี้แล้วก็คิดถึงเรียมเมื่อก่อนไม่วาย"

เรียมมองดูเจ้าขวัญ นี่มันจะเกี้ยวอีกหรือว่าหัวใจมันนึกอย่างไร

"ก็หัวใจดวงนี้และจ้ะพี่ขวัญ พี่พูดไว้ลืมเสียแล้วหรือว่าน้ำนี้กับน้ำใหม่มันอยู่ในคลองเดียวกัน"

"จริงของเจ้า" มันรับ "แต่ร่างของเจ้าเดี๋ยวนี้เปนสาวบางกอกชัด ๆ แล้วเจ้าจะร่วมกับพี่คนบ้านทุ่งลงคออย่างไรล่ะเจ้า นังเรียมบ้านทุ่งของพี่แต่ก่อนมันไม่เกล้าผมแค่คอหรอกเรียมเอ๋ย ถึงเดี๋ยวนี้พี่ก็ยังนึกหน้าออก แม้นจะไม่งามเหมือนเดี๋ยวนี้ มันก็ขำกว่าเดี๋ยวนี้ พี่คิดพี่คอยมันไม่เว้นวัน น้ำตาพี่จะเปนเลือดเพราะมันร่วม ๓ ปี พี่ก็ยังไม่พบเจ้าเรียมผมตัดบ้านทุ่งของพี่เลย"

เจ้าขวัญเกี้ยวจริง ๆ แม้ความเจริญของพระนครจะครอบงำเรียมมาแล้วตั้ง ๓ ปี แต่นิสสัยกำเหนิดยังประจำอยู่ มองเจ้าขวัญขวับไปขวับมา

"พี่ก็ร้องไห้คอยเขาต่อไปซี ฉันจะได้กลับบางกอกพรุ่งนี้แล้วจะมีผัวเสียที่บางกอกให้มันสะใจ"

"โอ๋ เรียม มีดนี่แน่ะเอ้า เจ้าฆ่าพี่เสียที่ลำกระโดงนี่ยังจะดีเสียกว่าเจ้าไปมีผัวบางกอก เรียมเอ๋ย เจ้ากระเถิบมาให้ชิดพี่หน่อยไม่ได้หรือ" เสียงเจ้าขวัญแตกพร่าเหมือนคนมีไข้ "เจ้าห่างพี่มาร่วม ๓ ปีแล้ว กลิ่นผ้ากลิ่นเนื้อเจ้าพี่จำไม่หายเลย"

เรียมเธอนั่งเปนสง่าอย่างหญิงพระนคร เพ่งตาดูเจ้าขวัญจนมันรนรานด้วยกิริยาของเธอ

"คอยนังเรียมบ้านทุ่งของพี่เถิด อย่ามายุ่งกับฉันเลย"

มันหมอบเมียงลงใกล้ ๆ ราวกับเธอเปนเจ้าแม่ประจำทุ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็อ้อนวอนด้วยคำหวานของมันว่า

"แม่เรียม อย่าให้พี่ตายเหมือนปลาค้างแห้งเลย เมื่อเจ้าเปนน้ำหลากมาแล้วก็ขอให้พี่ได้ชุ่มชื่นสมกับที่คอยน้ำเถิด"

เรียมขันแต่แล้วก็เศร้า เออ-บ้านนอกคอกนาเสียจริงเจียวขวัญเอ๋ย ฉันเสียใจจริง ๆ ที่หนีเธอไปรับความรุ่งเรืองแต่ผู้เดียวจึงทำให้รักฉันจางเธอไป ทำไมฉันจึงจะมีความรู้สึกเหมือนฉันเมื่อก่อนมั่งเลา เราจะได้รักกันอย่างดูดดื่มปลื้มใจแล้วกอดคอกันร้องไห้เสียต่อหน้าพระจันทร์ดวงนี้

"บาปกรรมจ้ะพี่ขวัญ นั่งขึ้นเถอะ" เธอจับแขนแทบจะประคองมันขึ้น

แม้หนหลังจะอย่างไรแต่หนนี้เจ้าเรียมก็ยังเปนของใหม่สำหรับเจ้าขวัญ เพราะพรากกันไปนาน ๆ และกลับมาอย่างฟ้าห่างดินก็ทำให้ประหม่าตื่นใจเปนที่ยิ่ง

มันพูดด้วยความรักที่โลดออกมาจากใจว่า

"เรียมของพี่เอ๋ย เปนกุศลหนหลัง-เปนบุญนักเทียวที่พี่มีชีวิตยั่งยืนมาถึงมื้อนี้ เออ-เรียมเจ้ารำลึกตลิ่งใกล้กอแขมใต้ต้นไทรวันนั้นได้ไหมเล่า โธ่เอ๋ย พี่นึกถึงวันนั้นแล้วพี่จะขาดใจตายเสียให้ได้เมื่อครั้งเจ้าอยู่ในบางกอก พี่คร่ำครวญหาแต่เจ้าไม่เว้น ทั้งงานไถงานหว่านพี่ทิ้งพี่ทอดแลไว้อย่างนั้น จนพ่อเชื้อแกก็พลอยทุกข์ถึงแต่เจ้าไปกับพี่ด้วย เรียมจ๋า พ่อแกรู้ว่าพี่รักเจ้าแกก็รักเจ้ามากเหมือนพี่ เจ้าอย่าบิดเบี่ยงหนีพี่เลย สงสารพี่เถิด พี่คอยเจ้าพี่ร้องไห้ถึงแต่เจ้าจะเข้าสามหน้าหว่านนี่แล้ว ขอให้พี่ชมชื่นพอชูชีวิตอีกต่อไปเถิด อีกครู่เดียวเท่านั้นเดือนก็จะตกแล้ว เจ้าก็จะต้องจากพี่ พี่ก็ต้องจากเจ้าข้ามลำกระโดงนี้ไป เอ๋อ เรียมแล้วอีกชักเมื่อไหร่ละเจ้าเอ๋ย เจ้ากับพี่จะได้ร่วมคู่เคียงหมอนเหมือนเขาอื่น เราบาปกรรมด้วยกันมาจะเข้า๓ปีแล้วหนาเจ้าเรียมใจของพี่"

ด้วยจิตต์มันแกล้วใจหาญฮึกลำพอง ด้วยธรรมชาติและวิญญาณรักทุก ๆ ดวงที่สถิตย์เสถียรประจำท้องทุ่งบางกะปิ ด้วยแผลในใจหนหลังที่เคยสร้างกันไว้ เจ้าเรียมก็เกิดประหม่างกงัน จิตต์หวนรำลึกไปถึงวันรักในสายน้ำ ทุ่งหญ้าทุ่งนา พงอ้อกอเข้าและกอแขมซึ่งเคยเปนที่ร่วมรักเห็นใจกันมาเมื่อยามยาก ในยามขัดยามแค้นครั้งหลัง เธออิงร่างสมสมัยอย่างสาวพระนครแอบอกเจ้าหนุ่มลูกปลายน้ำบ้านทุ่ง มันกอดรัดจนเธอเจ็บเนื้อแทบจะขัดจะยอกไปหมด มันจูบแรง ๆ ด้วยความทะเยอทะยานใจของมัน

ขอบฟ้าและทุ่งนาข้างหน้ามืดกลืนเปนสีเดียวกันเพราะเดือนเริ่มตก เจ้าขวัญมองดูเดือนแล้วมองหน้าสาวอย่างอาลัย มันคิดว่าเวรหลังของมันยังมีอยู่จึงต้องเปนยังงี้ร่ำไป

"เรียมเอ๋ย เจ้าเห็นไหมโน่นเดือนจะจากฟ้าอยู่แล้วและเรียมก็จะต้องจากพี่ไป เดือนมันมีขึ้นมีตก แต่เรียมกับพี่จะมีกำหนดแน่เช่นนั้นมั่งไหมหรอกเรียมมันเปนเวรของพี่แท้เทียวที่เราเกิดมาเปนลูกชาวนา เมื่อแรกพี่ก็นึกลำพองว่าเปนลูกผู้ใหญ่บ้านนี้ดูมันมีหน้ามีตาเสียจริง แต่ครั้นพอเห็นเจ้าไปได้ดีบางกอกกลับมาฉลาดเฉลียว พี่ก็อกแห้งคิดถึงตัว"

"ฉันสงสารพี่ขวัญจริงที่พูดเช่นนี้ แต่จะทำอย่างไงได้เล่า ถึงแม้ฉันเองก็ยังไม่วายนึกว่าฉันมีเวรเลย เรากลับกันเสียทีจะดีกระมัง เพราะเดี๋ยวเดือนมืดพี่ขวัญจะกลับลำบาก ฉันน่ะไม่เปนไรหรอก แลเห็นโรงนาอยู่แค่นี้เอง"

มันทอดขาเหยียดสิ้นอาลัย "พี่น่ะไม่เปนไรหรอก อย่าว่าแต่ต้องเดินมืด ๆ เลย ถ้าลงมาหาเจ้าธุระของเจ้าแล้วให้ตะเฆ่เต็มหนองคลองขวางหน้าพี่ก็หากลัวมันไม่ว่าแต่เจ้าเถอะ ไปอยู่บางกอกนาน ๆ ใจจะขลาดเสียกระมัง กลับก็กลับเสียต่อหน้าพี่นี่และพี่จะยืนคอยดูเจ้า ระวังเปนเพื่อนเจ้า พรุ่งนี้ยังไง ๆ เอาอ้ายรอดไปให้ได้ก็แล้วกันน๊ะเรียม"

"ไปเถอะ พี่ขวัญกลับเถอะฉันจะยืนดูเพราะฉันได้ตั้งใจมาส่งพี่ขวัญต่างหาก มันเขตต์นาของฉันเองจะต้องไปกลัวอะไร" เรียมตบต้นแขนมันเบา ๆ แล้วเธอก็ยืนขึ้น

ปลาผุดในลำกระโดงผางใหญ่จนเรียมสดุ้งขวัญหนีดีฝ่อ เจ้าขวัญหัวเราะชอบใจว่าเจ้าเรียมตั้งแต่ไปอยู่บางกอกทำให้ขวัญอ่อนลงมาก น้ำกำลังสีจะดำคล้ำ ความมืดกลืนทุ่งนาข้างหน้าใกล้วูบ ๆ เข้ามา สุดขอบฟ้าโน้นมืดมิดหมดไม่เห็นอะไรเลย

"พี่ลาเจ้าไปก่อนละน๊ะเรียม เออ, แม่คุณไหว้พระเถิด ขอให้เจ้าพ่อจงคุ้มเกรงรักษาเจ้า" เจ้าขวัญพูดฝืนน้ำเสียงใจคอมันวังเวง ชักมีดซุยคู่มือจากเอ็วหย่อนตัวลงริมลำกระโดง แล้ววักน้ำสาดไปข้างหน้าและรอบ ๆ ตัวปากพึมพำภาวนาตามพิธีที่จะขอทางและป้องกันสิงสาราสัตว์ในน้ำ เหลียวดูเจ้าเรียมเห็นเธอกำลังประณมมืออย่างจะอธิฐานให้มันข้ามน้ำไปด้วยความสวัสดี

มันยกมือโบกอำลา "พี่ลาเจ้าละเรียม อย่าลืมก็แล้วกันว่าเจ้าต้องชวนอ้ายรอดไปให้ได้" แล้วอ้ายหนุ่มเจ้าทุ่งเจ้าน้ำผู้ไม่เคยเกรงอะไรคาบมีดโผออกจากตลิ่ง ลำกระโดงนี้เกิดขึ้นตามธรรมชาติที่แยกจากปลายน้ำตัดเข้านา

เรียมยืนดูมันใจคอหาย เพราะความรักแท้ ๆ ที่ทำให้มันต้องระกำลำบาก ข้ามน้ำข้ามทุ่ง, ขวัญเอ๋ย เวรกรรมในโลกนี้จะสุมอยู่แก่เจ้าตลอดชั่วชาติชั่วชีวิตเจียวหรือ

เจ้าขวัญพอขึ้นฟากลำกระโดงโน้นแล้วก็ยืนบิดชายเสื้อชายผ้าพอแห้งน้ำแลเสยผมสลัดไปมา เหลียวดูเจ้าเรียมเห็นยังไม่กลับมันโบกมือให้เธอออกเดิน

มันเงี่ยหูฟังคำแล้วก็ออกเดินดุ่มตัดทุ่งโฉมหน้าเข้าดงสะโหนโน้น

"ไปเถอะเรียม เจ้าจงไปดีเถอะ พี่จะกลับละ"

เรียมป้องปากตะโกนพอให้มันได้ยินว่า

"พี่ขวัญกลับเถอะ อย่าห่วงเลย ฉันกลับได้คนเดียว ไม่เปนไรหรอก"

มันเงี่ยหูฟังคำแล้วก็ออกเดินดุ่มตัดทุ่งโฉมหน้าเข้าสู่ดงสะโหนอันเปนที่สังเกตุจะถึงโรงนามัน เสียงสุนักข์หอนและเห่าเกรียวกราวตลอดทางที่มันผ่านไป เจ้าขวัญเหลียวหน้าเหลียวหลังห่วงใยที่เรียมยังไม่กลับ มันเดินไปจนเห็นลาง ๆ แลลับหายเข้าความมืดในดงสะโหน

โมงเช้าในวันรุ่งขึ้น เปนอันตกลงกันว่าให้เจ้ารอดไปเปนเพื่อนพี่สาว เพราะเจ้าเริญติดงานนา ส่วนตาเรืองกับเพื่อนบ้านอีกคนหนึ่งต้องอยู่ดูคนเจ็บ เมื่อตระเตรียมดอกไม้ธูปเทียนเรียบร้อยแล้วเจ้ารอดก็เข็นเรือลงน้ำ เจ้าเรียมแต่งกายกระทัดรัดนั่งหัวเรือ เจ้ารอดเปนคนพาย ทางจากบ้านไปยังศาลเจ้าพ่อนั้นราว ๓ คุ้งน้ำแต่เปนคุ้งใกล้ ๆ เจ้าเรียมมิได้เร่งร้อน ให้เจ้ารอดพายไปเอื่อย ๆ ลอดร่มไม้ใหญ่ข้างตลิ่งเย็นรื่น ในนาบางเจ้าของกำลังลงมือหว่าน บ้างก็หว่านแล้ว ยอดอ่อนขึ้นเขียวล้ำมาตกชายคลอง พายไปผ่านไป ผ่านไปจนถึงตลิ่งที่สกิดใจเจ้าเรียมแปล๊บ นั่นมันตลิ่งเก่าที่จะลืมเสียมิได้ ตลิ่งรักของเจ้าเรียมและเจ้าขวัญเมื่อครั้งก่อน รากไทรที่เจ้าขวัญเกาะอุ้มเธอพักเหนื่อยนั่นผุไปแล้วตลิ่งก็เว้าใกล้จะพังอยู่แล้ว ไทรริมฝั่งกำลังเอนอยู่แต่จะโค่นลงน้ำไปเท่านั้น ภาพเจ้าขวัญกำลังแหวกน้ำไล่เธอและทันกันที่ริมไทรกำลังผุดขึ้นจากน้ำหลอกหลอนเธอข้างตลิ่ง

เรียมไม่เข้าใจอะไรเลยว่า ทำไมสิ่งเหล่านี้จึงช่างฝังจิตต์และความจำของเธอเสียจริง บางครั้งคล้ายจะได้ยินเสียงห้าว ๆ กระซิบที่ข้างหูว่า นังเรียม เจ้าสาบาลไว้กับข้า ทั้งเจ้าและอ้ายขวัญน่ะมันเปนลูกข้าตั้งแต่เล็ก ๆ เสียงลมโกรกทุ่งและผ่านท้องน้ำ เสียงจ๋อม ๆ ของฝีพายเจ้ารอดที่ผ่านความสงัดของคลองปลายน้ำ มักจะทำให้เธอได้ยินระแวงไปเปนอื่น เปนเสียงวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อเจ้าแม่ที่ประจำไม้ใหญ่เรียกร้อง เสียงฮือ ๆ ลมหวล ผัวะเผาะของไม้ใหญ่ ๆ และกิ่งเล็กหัก พงอ้อไหวเยือกเกรียวไปทั้งกอลู่ราบไปตามทางลมเหล่านี้ เธอก็แว่วไปว่า อีเรียมกลับมา มึงต้องกลับมา

เรียมนั่งใจหวั่นระลึกความหลังมาตลอดทางจนเรือลับคุ้งเข้าเทียบฝั่ง เจ้ารอดเข็ญเรือขึ้นเกยตลิ่งไว้ครึ่งลำแล้วเอาโซ่พันไว้กับตอไม้ เดินตามหลังพี่สาวไปห่าง ๆ จนถึงลานดินหน้าศาล

ลมพัดชายแพรปลิวอย่างจะต้อนรับ เธอใจหายระลึกขึ้นได้ว่าวันนั้นเปนวันเกิดเหตุใหญ่ เปนวันนองเลือดของเจ้าขวัญและเปนครั้งสุดท้ายของเธอต้องจากบางกะปิไปทั้ง ๆ รัก

จุดธูปเทียนบนบาลขอให้เจ้าพ่อศักดิ์สิทธิ์ขับไล่ผีทุ่งผีท่าและรักษามารดาของเธอให้หายวันหายคืนได้เธอจะถวายเครื่องเส้นสังเวย ปลูกศาลให้ใหม่ และมีละคร ๓ วันตามธรรมเนียม แล้วเรียมนั่งรำลึกถึงเหตุที่แล้วมาอีก เธอเหลียวเห็นเจ้ารอดน้องชายแล้วใจหาย เพราะมันนั่งคู่กับเธอและเปนที่เดียวกับเจ้าขวัญได้กล่าวคำสาบาลให้เธอฟังเมื่อ ๓ ปีก่อน

เจ้ารอดสกิดพี่สาวให้ดูทางพงอ้อห่างศาลออกไปข้างหลังสัก ๔-๕ วา เปนรูปคนก้ม ๆ คลาน ๆ เห็นไม่ค่อยชัดอยู่หลังพงอ้อนั้น

เจ้าเรียมเพ่งตาอยู่ครู่ใหญ่ พงอ้อก็แหวกและหักราบออกเปนทาง เจ้าขวัญซึ่งติดตามเธอไปเสียทุกหนทุกแห่งคล้ายปีศาจกำลังบุกสวบสาบออกจากพงอ้อ

"เรียม เจ้ามานานแล้วหรือ อ้อ อ้ายรอด เอ็งมาเปนเพื่อนพี่เขารึนั่น"

เจ้ารอดทั้งรักทั้งกลัวเจ้าขวัญมากกว่าพี่ชายของมันเองเสียอีก เพราะเจ้ารอดมีนิสสัยรักทางนักเลง และมันก็รู้ดีว่า ยอดของนักเลงตลอดลำน้ำและท้องทุ่งบางกะปิกับแสนแสบเปนไม่มีใครล้นไปกว่าพี่ขวัญ

"จ้ะ พี่ ฉันพายเรือมาส่งและมาเปนเพื่อนพี่เรียมเขาด้วย นั่นพี่ไปไหนมาล่ะนั่น"

"ข้าก็จะมานี่เหมือนกัน" พอดีเจ้าขวัญเดินมาถึงที่คนทั้งสองนั่งอยู่ มันคุกเข่าลงกราบเจ้าพ่อแล้วนั่งลงยังพื้นใกล้ ๆ เจ้าเรียม

เรียมนึกไม่ไว้ใจอยู่ร่ำไป เกรงว่าไม่พ่อก็พี่เริญจะแอบย่องมาอีก จึงตกลงกับเจ้าขวัญจะให้เจ้ารอดไปคอยดูต้นทางที่เรือ

เจ้าขวัญจึงขอร้องกับเจ้ารอดด้วยตนเอง

"อ้ายรอด เอ็งเห็นกับพี่เขาและข้าเถอะว๊ะ ข้าขี้เกียจรำคาญ ประเดี๋ยวอ้ายเริญจะมาทำยุ่มย่ามอีก เอ็งไป

พงอ้อแหวกและหักราบออกเปนทาง "เรียม เจ้ามานานแล้วหรือ"

ดูต้นทางสักหน่อยเถอะ ข้าจะนั่งพักสนทนากับพี่เขาสักครู่ข้าก็จะกลับ ไป ไป๊ อ้ายน้องรักข้า"

อ้ายรอดปลื้มนัก เพราะทั้งทุ่งบางกะปิ ถ้าลงใครผูกใจให้พี่ขวัญรักได้แล้ว จะเที่ยวไปบ้านใครหรือเมาเจ็ดหัวเจ็ดหาง ก็ไม่มีใครจะกล้าทำอะไร

มันลุกขึ้นอย่างว่าง่าย "เชิญตามสบายเถอะจ้ะพี่ ฉันจะไปดูต้นทางเอง คอยระวังเสียงกู่ให้ดีก็แล้วกัน"

"เออ" เจ้าขวัญพยักหน้า

"พี่ขวัญมาแต่เมื่อไหร่นี่น่ะ" เรียมถามขึ้นเพราะฉงนที่เจ้าขวัญมักเปนเงาตามตัวเธออยู่แทบทุกฝีก้าวอย่างเงียบเชียบ

"พี่มาคอยอยู่ก่อนแต่เช้า ไม่ได้เอาอ้ายเรียวมาหรอก กลัวหน่อยจะเสือกไปลอยคออยู่ในคลองให้เกิดความอีก พี่คอยเจ้าอยู่นานนักจึงไปนั่งตากผ้าเสียหลังพงอ้อโน้น"

"ทรหดจริงเชียวพี่ขวัญ เมื่อคืนถึงบ้านกี่ทุ่ม"

"ข้าไม่มีในฬิกาดู แต่คะเนว่าพอหลับครู่เดียวก็ไก่ขัน กว่าจะไปถึงหมูหมาโห่กันเกรียวหมด เจ้าล่ะ"

"ฉันน่ะรึ" เรียมว่า "ยืนดูพี่ขวัญจนลับตาแล้วก็กลับไปถึงเจ้ารอดยังไม่ตื่นเลย จนวันนี้เจ้ารอดก็ยังไม่รู้ว่าเราไปนั่งคุยกันที่นั่น"

"ขี้เซายังงี้ ควายมันจะหมดคอก เออนี่เจ้าบนเจ้าพ่อท่านแล้วหรือ"

"เรียบร้อยแล้ว ก็พอดีพี่ขวัญมาถึง" เรียมตอบยิ้มแย้มวิญญาณเธอครั้งโน้นล่องลอยกลับมาอีก แม้เสื้อผ้าที่แต่งกายอยู่ขณะนี้ก็ไม่ผิดเพี้ยนกับเรียมชาวนาคนเก่าเท่าไร นอกจากทรงผม "พี่ขวัญ ฉันมาบางกะปิหนนี้ใจคอมันรู้หวาด ๆ เผลอ ๆ ไปยังไงไม่รู้ คล้าย ๆ กับว่ามีใครไปดลจิตร์หวนมา รู้สึกอยากจะอยู่บางกะปิของเราเสียจริง ๆ ไม่อยากกลับบางกอกเลย เออ ถ้าฉันอยู่บางกะปิแล้วฉันจะตัดผมเสียอย่างเก่าดีไหมจ๊ะพี่ขวัญ"

"ดีซีเจ้า" ขวัญรีบรับคำแล้วยกมือไหว้ไปบนศาล "เจ้าพ่อเปนแน่เทียวเจ้าประคุณ นี่เรียมพี่นึกว่าเพราะเจ้ากับพี่ได้สาบาลกันไว้นั่นและ ทั้งพี่ก็บนบวงเส้นวักอยู่ทุกวันตั้งแต่เจ้าจากพี่ไปอยู่บางกอกแลพี่ก็เคยเปนลูกท่านมาด้วย ท่านจึงดลใจให้เจ้ากลับมาหาพี่อีก เออเรียมเอ๋ย ผลซื่อในความรักของเรานั่นและเจ้าเรียมมันสำคัญกว่าไร ๆ ทั้งหมด พี่ซื่อในคำของพี่เจ้าก็ซื่อในคำของเจ้า เออ เจ้าประคุณ วันนี้ลูกมาพร้อมหน้าแล้วทั้งสองคน ขอเจ้าพ่อศักดิ์สิทธิ์จงคุ้มเกรงและให้รักของข้าทั้งสองจงสำเร็จเถิด"

เจ้าเรียมฟังเพลิน เธอมองดูความครึ้มของร่มเงาบนหลังคาศาลรู้สึกเยือกเย็นเงียบเหงาจนพูดไม่ถูก เหลียวเห็นแผลเจ้าขวัญต้องสดุ้งใจเยือก เปนแผลเก่านานปีซึ่งสลักใจเธอให้ลืมเจ้าขวัญเสียมิได้ตลอดชาติ

"คงเปนแน่ละพี่ขวัญ ที่เจ้าพ่อของเราต้องศักดิ์สิทธิ์จริง ๆ สมคำกล่าว คืนที่ฉันกลับกรุงเทพฯ คืนนั้นนอนไม่หลับเลย มันหวาด ๆ อยู่ตลอดคืน จิตต์ใจคิดแต่จะกลับบางกะปิท่าเดียว แต่พี่ขวัญจ๊ะความคิดของฉันเวลานี้เหมือนพายเรือในอ่าง มันวนเวียนไปหมดไม่รู้จะทำยังไงได้"

"บอกพี่มั่งเถิด เผื่อว่าจะช่วยเจ้าได้มั่ง เจ้าบอกพี่ซีว่าเจ้าคับใจเรื่องอะไร"

เรียมทำตาปรอยแทบไม่อยากจะกล่าวคำต่อไป

"ก็เรื่องไรเสียอีกเล่า ทุกวันนี้พี่ขวัญเปนศุขใจนักหรือ ฉันเองไม่กลัวอะไรมากไปกว่าที่ว่าฉันไม่ใช่ลูกพ่อแล้ว พ่อแกไม่มีสิทธิ์อย่างไร ๆ ในตัวฉันทั้งสิ้น นอกจากแม่นายที่ฉันอยู่กับเขาในกรุงเทพฯ เท่านั้น"

"เจ้าจะต้องกลับไปอยู่บางกอกอีกงั้นหรือที่พูดน่ะ"

"ก็เช่นนั้นซีพี่ขวัญ เพราะพ่อได้ทำหนังสือยกให้เขาขาด เอาเงินขึ้นมาใช้ไปจนหมดแล้วอีกเกือบ ๒๐๐ บาท"

เจ้าขวัญนิ่งตรองอยู่ครู่หนึ่ง

"ว่าแต่ใจสมัคของเจ้าเถิด หากเจ้าสมัคจะอยู่นี่ พี่ก็รับรองว่าใครจะมาขืนใจเจ้าไปจากที่นี่ไม่ได้เปนแท้ มันจะเอาเจ้าไปได้ก็เมื่อพี่เปนผีไปก่อนนั่นและ เจ้าเรียมเอ๋ย ถึงแม้พี่จะตัวคนเดียวก็ตามเถอะ ลงขึ้นชื่อว่าบางกะปิแล้วพี่จะไม่ให้ใครมาลบหน้าพี่ไปได้ พี่ยอมขาดใจคาน้ำ ขาดใจคาทุ่งเพราะเจ้าได้จริง ๆ"

เรียมส่ายหน้า "ไม่งั้นหรอกพี่ขวัญ เขาจะเอาโทษกับพ่อน่ะซี อีกประการพ่อแกก็ต้องเต็มใจให้เปนเช่นนั้นด้วยเพราะแกจะได้พึ่ง"

เจ้าขวัญกลับกลุ้มขึ้นมาอีก เพราะคำที่เจ้าเรียมพูด มันก็มองเห็นความจำเปนของเจ้าเรียม

"เจ้าจะคิดเปนอื่นอย่างไรได้อีกมั่งเล่า"

พอพูดขาดคำก็ได้ยินเสียงกู่ร้องของเจ้ารอดผู้ดูต้นทาง เรียมล่อแล่กตกใจเหลียวรอบตัว

"เร็วเถอะพี่ขวัญ ไม่พ่อก็พี่เริญคงมาตามฉันเปนแน่ หลบไปเสียก่อนเร็ว ๆ เข้าเถอะ แล้วฉันจะให้เจ้ารอดไปบอกวันหลัง"

เจ้าขวัญไม่ค่อยตกใจเพราะมันเห็นว่า คนอย่างตาเรืองหรือเจ้าเริญจะทำอะไรมันไม่ได้ เว้นเสียแต่มันจะเห็นแก่เจ้าเรียม

มันจับไหล่เรียมให้หันมา เขย่าเบา ๆ แล้วก็จ้อง หนัามันเศร้า ๆ

"งั้นพี่จะรีบไป อย่าลืมให้อ้ายรอดส่งข่าวก็แล้วกัน ถ้าอ้ายพวกบางกอกจะมาขืนใจเจ้ากลับจะก็ บอกให้พี่รู้มั่ง พี่ไปละ"

ขาดคำ มันจูบเจ้าเรียมในกะทันหัน หลบไม่ทัน ลุกวิ่งหย่อง ๆ ออกหลังศาล แหวกพงอ้อที่มันมาแต่เดิม หายลับไปรวดเร็ว จนเรียมพิศวงว่า เจ้าขวัญของเธอมันข่างแม้นมนุสส์กายสิทธิ์ สมเปนเจ้าทุ่ง

ชั่วครู่ เจ้ารอดก็มาถึง และตาเรืองกับเจ้าเริญก็มาถึงไล่ ๆ กัน สองพ่อลูกถือดาบมาคนละเล่มเพราะเข้าใจว่า การที่เรียมหายมานาน ๆ คงจะเปนอะไรไป หาไม่ก็ถูกเจ้าขวัญดักตัวไปไว้ โดยความเข้าใจของสองพ่อลูกนั้นยังคิดว่า เจ้าเรียมคงไม่เหลียวแลอะไรอีกกับคนอย่างอ้ายขวัญ.