แผลเก่า/บทที่ 6
๓ วันต่อมา เจ้าขวัญแต่ก่อนเคยยึดเอาสายน้ำลำคลองพงอ้อกอแขมริมตลิ่งเปนที่นัดพบปะชืนใจกับเจ้าเรียมแต่กาลโน้น ก็ต้องเปลี่ยนความคิดไปอีกอย่างหนึ่ง แต่ก่อนเรียมต้องเลี้ยงอีเก ก็พอจะโกหกพ่อและพี่ชายได้ ทั้งเรียมก็ว่ายน้ำเก่งปานผู้ชาย แต่เดี๋ยวนี้ธรรมชาติของบางกะปิทุก ๆ หย่อมหญ้าและคุ้งน้ำทำให้เรียมหวาดกลัว ทั้งขาดความชำนิชำนาญต่อสิ่งเหล่านี้เสียหมด หนำซ้ำยังต้องนังพยาบาลแม่ซึ่งมีอาการหนักจะไปจะอยู่เท่ากันเสียอีก จึงหมดโอกาสที่จะปลีกตัวไปหาความเพลิดเพลินในธรรมชาติของบ้านเดิมเหล่านี้กับเจ้าขวัญได้
แต่เจ้าขวัญเปนชายทรหด หัวใจทุก ๆ ห้องแกร่งแกล้วเปนชาติชาตรีเหี้ยมหาญไม่พรันทุกขณะ ความคิดก็เด็ดเดี่ยว เยิ้มอยูด้วยความรักในตัวเจ้าเรียมอย่างดุดัน อะไรขืนขวางหน้าก็พินาสสบั้นไป เจ้าขวัญยึดเอาเวลาเดือนขึ้น แม้จะดึกแสนดึก ก็อุส่าห์ข้ามลำกระโดงมาหาเจ้าเรียม บางวันเมื่อมันเห็นเจ้าเรียมที่แคร่หลังคอกควาย ก็อุส่าห์ย่องเข้าไปในโรงนาเพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าเรียมยังอยู่บางกะปิเท่านั้น เวลา ๓ คืนเดือนก็ยิ่งดึกขึ้นทุกที และกว่าจะตกก็ร่วมสว่าง เจ้าขวัญก็ถือเวลามาในเดือนขึ้นพาเจ้าเรียมไปคุยที่ลำกระโดง แล้วกลับเมื่อเดือนตกทุกวัน พอรุ่งขึ้นวันที่ ๔ เวลาค่ำ แม่ของเจ้าเรียมก็ถึงแก่กรรม และคืนนั้นทั้งคืนที่มันกับเจ้าเรียมมิได้พบกันตลอดสว่าง
เรียมมีจดหมายส่งข่าวไปกรุงเทพฯ ในวันรุ่งขึ้น บอกความจำเปนที่เธอจะต้องอยู่บางกะปิต่อไปอีกเพื่อทำศพมารดาและจัดการให้เรียบร้อยตามประเพณี
คืนนั้น ในโรงนาของตาเรืองได้ถูกตบแต่งสถานที่ไหม่เพื่อตั้งศพ ที่ลานนวดเข้ากวาดเตียนรื่นสำหรับแขกบ้านใกล้และพวกพ้องที่เคารพนับถือจะได้มาฟังสวดพระธรรมและเยี่ยมเยียนศพตามประเพณี
เจ้าเริญเปนฝ่ายเลี้ยงดูแขกผู้ชายและโดยมากเปนนักเลงรุ่นเดียวกับเจ้าเริญ เหล้ายาปลาปิ้ง น้ำขาวเหล้าเถื่อน หาไม่ยากตามท้องนา เพียงออกปากครู่เดียวก็แบกกันมาเปนไห ๆ เพื่อความเพลิดเพลินและดับความทกร้อน เจ้าเริญก็เมากล่ำอยู่ก่อนตั้งแต่เย็น พวกเพื่อน ๆ ที่นับว่าถูกคอและใช้ได้ของเจ้าเริญราว ๑๐ คนมาใกลบ้างใกล้บ้างและเมาตามมากตามน้อยไปด้วยกันทั้งสิ้น
นับว่ามีหน้ามีตาอยู่มากที่ตาเรืองมีสวดถึง ๓ คืน จนชาวบ้านแถบนั้นคิดไปว่า ตาเรืองคงเปนเศรษฐีเพราะลูกสาวเปนแน่ และที่จริงการที่มีสวดตั้ง ๓ คืนและเลี้ยงผู้คนมาก ๆ เช่นนี้ ถ้าไม่ได้จำนวนเงินของเจ้าเรียมที่ติดตัวมาด้วย งานนี้จะครึกครื้นไปไม่ได้
สัก ๒ ทุ่ม พระก็สวดไป คอหมากรุกก็โขกกันลั่น คอเหล้าก็ดวดเสียอย่างสมอยาก พอเลยแก้วสองพุทธวาจาไปแล้ว ก็คุยถึงอภินิหารต่าง ๆ ของตนอวดกันเสียงโขมง เพราะต่างคนต่างเปนนักเลงบ้านใกล้รุ่นราวคราวเดียวกัน การที่เจ้าเริญสมคบนักเลงพวกนี้ไว้มาก ๆ ก็เพื่อจะรวมหัวปราบเจ้าขวัญ ยิ่งสำหรับคืนนี้ด้วย ก็ออกจะสำหลักสำคัญอยู่ เพราะที่บ้านมีงานอย่างหนึ่ง และเจ้าเรียมก็อยู่บ้านอีกอย่างหนึ่ง เจ้าเริญเกรงว่า อ้ายลูกผู้ใหญ่เขียนจะย่องมาลอบพบกับน้องสาว หรือไม่ก็เข้ามาอาละวาดในวันงานตามที่มันเคย ๆ เห็นมาแล้ว หาไม่ก็แอบกินเพื่อนเจ้าเริญเวลากลับดึกอย่างที่ทำกับเจ้าจ้อย
เจ้าเริญให้อ้ายรอดแบกไหน้ำขาวตามหลังมันมาอีกไหหนึ่งเปนการเพิ่มเติม ตัวมันเองตรงมายังลานนวดที่เจ้าพวกเพื่อนกำลังอวดฤทธิ์เดชกันอยู่
"เอาเว้ย—พวกเรา" เจ้าเริญเริ่มขึ้นจนพวกนั้นเหลียวดู "ดวดให้เต็มที่ตามซาบาย ไม่ต้องกลัวหมด ของเรามีถมไป เอ้าเร็วซีว๊ะอ้ายรอด ตั้งลง ตั้งลงกลางแจ้งนั่นและ"
พอเจ้ารอดวางไห วงเหล้าก็เพิ่มขึ้นมาอีกวงหนึ่ง วงนี้มีด้วยกันหลายรุ่น คือ ผู้ใหญ่ตั้งแต่ขนาดตาเรืองลงมาจนถึงหนุ่มรุ่นเจ้ารอด
"ให้หงำเถอะว๊ะอ้ายน้องชาย ไม่ต้องเกรงเรื่องเกรงราวอะไรหรอก พวกเราทั้งเพ เมื่อใครมันจะหลวมคอกผิดทุ่งเข้ามา พี่รับเอง" หัวไม้รุ่นเจ้าเริญคนหนึ่งเมาแประพูดขึ้น เมื่อเห็นเจ้ารอดอิด ๆ ออด ๆ ก็เลยจับกรอกเสีย แล้วเฮฮากันขึ้นอย่างครึกครื้น
เรียมแต่งดำทั้งชุดออกจากโรงนาตรงมายังลานของพวกขี้เมา พวกนั้นโห่ต้อนรับและตบมือกันเกรียวใหญ่
"เออ—มึงเช้งยังกะสาวบางกอกเชียวฮิ๊อีเรียม" ขี้เมารุ่นพ่อเรืองคนหนึ่งทักขึ้นอย่างนึกรักใคร่ ข้างอ้ายหนุ่มรุ่นเจ้าเริญที่นั่งรวมอยู่ด้วยสอดขึ้นมั่งว่า
"นังเรียมมันสวยลบหน้าสาวบางกะปิหมดทั้งบางเลยทีเดียว—เออ มึงสร้างวาสนาด้วยอะไรว๊ะอีเรียม"
เรียมเปนเดือดเปนแค้น เธออยู่พระนคร แม้หนุ่มผู้ดีก็ยังยกย่องเธอ แต่พวกเหล่านี้ช่างป่าเถื่อนไม่รู้ภาษาคนเสียมั่งเลย แม้มันจะพูดอย่างเปนกันเอง เธอก็เห็นว่าบาดหูเอามาก ๆ
เธอไม่ตอบโต้ประการใด จะกลับก็เกรงเสียกิริยา จึงยืนหน้างอหัน ๆ รี ๆ ด้วยความไม่พอใจ เจ้าอีกคนหนึ่งเพื่อนของเจ้าเริญจึงเย้าขึ้นมั่ง
"เฮ้ย―นิ่งเสียเถอะ มึงไม่เห็นรึ มันยืนหน้างอเปนหางไถอยู่นั่นไง จะเรียกจะร้องมันต้องเปนพนักงานเจ้าขวัญ เขาจึงจะถูกกัน"
ฮาขึ้นครืนใหญ่พร้อม ๆ เพราะเจ้าคนนี้ปากเดียว เรียมแทบจะร้องไห้ออกมาดัง ๆ จะว่ากล่าวก็ดูไม่เหมาะด้วยตัวเปนเจ้าของงาน จะอยู่ก็ใช่ จะไปก็เชิง ทั้งเจ้าเริญ เจ้ารอด ก็พูดไม่ออก งันไปด้วยกันทั้งคู่ ด้วยเจ้าแฉ่งคนพูดเปนหัวไม้ที่เหนือ ๆ เจ้าเริญ ซึ่งมีคนนับหน้าถือตาอยู่มาก และเคยเปนเพื่อนรักเพื่อนเกลอของเจ้าขวัญมาก่อน เพิ่งจะโกรธกันเพราะคำปั่นของเจ้าเริญ
เจ้าแฉ่งไม่ค่อยยอมหยุดง่าย ๆ ยิ่งเห็นเรียมโกรธ มันก็ยิ่งเย้าหนักขึ้นทุกที จนเรียมร้องไห้เดินตุปัดตุป่องกลับเข้าโรงนา
มีแขกมาใหม่อีกคนหนึ่ง เดิมก้มหน้าก้มตาผ่านคอกอีเกมาทางนอก นุ่งม่วงทำโจงกะเบน สวมเสื้อกุยเฮงดำ มีดอกไม้ธูปเทียนพร้อม ทุก ๆ คนเหลียวมองไปทางเดียวกัน แล้วก็มองตากันนึกฉงน ชะงัก แล้วชะเง้อ ชะเง้อดูเจ้าคนที่กำลังพันประตูลานเข้ามาอย่างแขก
เจ้าเริญปราดเข้าโรงนา วิ่งกระหืดกระหอบไปหาพ่อ สักครู่ตาเรืองก็ลากปืนยาวตามลูกชายออกมาอีกคนหนึ่ง พวก ๆ ทีกำลังเมาแทบส่าง ดาบที่พาดหน้าตักขยับกริบ ๆ บ้างก็ซ่อนซุก
เจ้าขวัญเดินเรียบ ๆ ไม่เหลียวซ้ายแลขวาสทกสท้านใคร ผ่านวงสุราที่กำลังเลี้ยงกำลังเมากันหยำเป เจ้าขวัญเดินเรียบไม่เหลียวซ้ายแลขวาหรือขยั้นครั่นคร้ามผ่านวงสุราที่กำลังเลี้ยงกำลังเมา พวกนั้นผงะหงายแหวกช่องหลีกกันให้ราบ ทีท่าของมันคล้ายวัวเปลี่ยวเขาคมพลัดเข้าฝูงโคบ้าน
พวกนั้นชะงักอยุดงัน มองตาปริบ ๆ ตามทางที่มันผ่านไป ต่างแหวกเปนช่องหลีกกันให้ราบ ทีท่าของมันคล้ายวัวเปลี่ยวเขาคมพลัดเข้าฝูงโคบ้าน
ตาเรืองยืนรี ๆ ขวาง ๆ มือถือปืน ข้างหลังมีเจ้าเริญ เพื่อนหัวไม้ ๕–๖ คน ยืนถือดาบหลบ ๆ ตาจับอยู่ที่อ้ายขวัญ อ้ายเจ้าทุ่งผู้มีอานุภาพอย่างพึงพิศวงตลอดย่านบางกะปิและลำน้ำอันคดเคี้ยววิเวก
"มึงมาหาใคร" เจ้าเริญซึ่งได้สติแข็งใจถามขึ้นก่อน แต่หาอาจที่จะสบตามันไม่
เจ้าเสือลำน้ำแสนแสบถลึงตามองดูอ้ายเริญกับพวก มันเม้มริมฝีปากเพื่ออดใจ ตาข้ามไปจับอยู่ที่เจ้าเรียมดวงใจของมันซึ่งเพิ่งอยุดร้องไห้โดยตกใจในการมาของมัน
"ข้าตั้งใจมาดีหรอกว๊ะ อ้ายเริญ มึงดูดอกไม้ธูปเทียนที่มือกูก่อนแล้วกันว่ากูจะมาไหว้ศพแม่มึงหรือมิใช่" อ้ายขวัญกวาดตาข้ามหลังเจ้าเริญไปอีก ชี้มือปราดไปที่เจ้าแฉ่ง "อ้ายแฉ่ง กูเห็นแก่งานของพ่อเรืองหรอก หาไม่กูก็อยากจะรู้ว่าเมื่อครู่มึงเอาชื่อของกูมากล่าวให้เจ้าเรียมช้ำใจด้วยเรื่องอะไร"
เจ้าแฉ่งนิ่งตรองชั่วอึกใจ ความอายเกรงเสียนักเลงที่มันคุยไว้นักหนา ทำให้มันตอบอย่างไว้เชิงนักเลง
"ก็มันใครอื่นเล่าโว้ย อ้ายขวัญ มันน้องอ้ายเริญ ก็เหมือนน้องกู จะเย้านิดเย้าหน่อยเท่านั้น มันไปเกี่ยวอะไรกะมึงด้วยล่ะ"
"แล้วกัน อ้ายแฉ่ง มึงพูดอะไรอย่างงั้นเล่า มึงยกชื่อกูขึ้นกล่าวขับเจ้าเรียมจนต้องได้อายไปนั่นน่ะ ยังไม่เกี่ยวกะกูอีกหรือ―เฮ้อ อ้ายแฉ่ง วันนี้กำลังการงานของพ่อเรียมแกหรอกว๊ะ กูยอมให้มึง อีกอย่าง ความตั้งใจของกูก็จะมาไหว้ศพแม่แกสักหน่อย หาตั้งใจที่จะมาต่อปากคำกับมึงหรอก เราไว้พูดกันวันหลังได้ไม่ใช่หรือเว้ย อ้ายแฉ่ง"
"ก็เปนไรมี" เจ้าแฉ่งตอบไม่สู้เต็มคำ ยืนดาบไขว้หลังเปนที่ว่ามันก็คนหนึ่ง
เจ้าขวัญหัวเราะอย่างกันเอง แต่ใคร ๆ ก็ฟังออกว่า มันหัวเราะฝากเจ้าแฉ่งไว้พอข้ามไปชั่วคืนนี้เถอะ อ้ายแฉ่ง
"มึงใจง่ายเหมือนกูจริง อ้ายแฉ่ง เออ―ให้มันยังงี้ซีว๊ะ เสียแรงเราลูกทุ่งบ้านเดียวกัน เมื่อวันนี้ธุระมันหนักก็ผ่อนเบาไป วันหน้าถึงนัดกันใหม่ก็ได้" แล้วมันนั่งลงตรงหน้าเรืองยอง ๆ ยกมือไหว้ "ฉันจึงขอให้พ่อเอ็นดูสักครั้งเถอจ้ะ ฉันอยากจะไปไหว้ศพแม่แกมั่ง เพราะแต่เล็กแต่น้อยก็เคยได้ทุ่มเถียงล่วงเกินแกอยู่มาก จึงตั้งใจจะมาขออโหสิแกเสียที จะได้ไม่เปนเวรเปนกรรมแก่ฉันข้างหน้า"
ตาเรืองพยักหน้า เพราะไม่รู้จะพูดท่าไร "ก็แล้วแต่เอ็งซี ถ้าจะประสงค์ยังว่า ก็จะเปนไรมี"
แล้วตาเรืองก็ออกเดินนำหน้าเจ้าขวัญเข้าโรงนาซึ่งเปนที่ตั้งศพ แต่เจ้าเริญกับพวกยังไม่วายตามไปออคุมเชิงอยู่แถวประตูโรงนา
เจ้าขวัญไม่คิดที่จะเอาใจดูหูใส่กับพวกเจ้าเริญ พอปักธูปลงกระถางเสร็จ ก็หันมากวักมือเจ้าเรียมให้เข้าไปหา เจ้าเรียมสองจิตร์สองใจ เพราะเกรงพ่อกับพี่ชาย แต่ดูเหมือนอำนาจมือที่เจ้าขวัญกวักมีฤทธิ์กว่า จึงเดินไปนั่งลงข้าง ๆ
"พี่ขาดเหลือจะต้องการอะไรหรือ"
เจ้าขวัญกระซิบตอบพอให้ได้ยิน "พี่อยากจะให้เจ้าร่วมอธิฐานกับพี่เสียต่อหน้าศพแม่แกนี่แหละ เผื่อแกจะช่วยเราบ้าง เพราะแกก็รักเจ้าอยู่มากไม่ใช่หรือ เรียม" เรียมอิดออดรังเร จนกระทั่งเจ้าเริญปราดเข้ามาใกล้ แขกเหรื่อพากันตลึงมองเกรงจะเกิดเรื่องขึ้น
"มันจะลบหน้ากันมากไปละมังโว้ย อ้ายขวัญ"
มันช้อนตามองเจ้าเริญคนพูด แล้วยิ้มซีด ๆ กล่าวว่า
"เออ―อ้ายเริญนี่ มึงช่างจ้องจะกินเลือกกินเนื้อแต่กะกูน่ะและ จนกูชักจะรำคาญมึงอยู่แล้ว มึงเห็นไหมล่ะว่า กูแต่งตัวมาวันนี้น่ะ กูตั้งใจมาหาเรื่องกะมึงหรือว่ามาธุระปะปัง"
"ก็มึงทำยังงี้น่ะ ใครดูได้มั่งเล่า มันในโรงนาของกู ก็เท่ากับมึงมาลบลายกูถึงในถ้ำไม่ใช่หรือเล่า" เจ้าเริญพูดรักษาเหลี่ยมคูเจ้าของบ้าน ตาเรืองอดรนทนไม่ได้ เกรงจะเกิดความขึ้นอีก ก็เลยหันเข้าปรามลูกชายว่า
"ช่างมั่งเถอะวะ อ้ายเริญ เมื่อเขาจะมาดี เราก็ชาตินักเลง ลองปล่อยเขาซิ เพราะข้าก็ได้ลั่นคำอนุญาตเขาไว้"
เจ้าขวัญมองดูหน้าตาเรืองอย่างขอบใจ
"ถูกแท้เทียวจ้ะ พ่อเอ้ย พ่อพูดอย่างนี้ ฉันเชื่อใจจริง ๆ เอ้า นี่น่ะ เมื่อไม่เชื่อว่า ฉันมาดี ก็เอาอ้ายนี่ไว้" พูดแล้วมันก็ชักมีดพากขาวปลาบที่มันใช้คู่มือออกมายื่นส่งให้ตาเรือง เล่นเอาเจ้าเริญกับพวกสะดุ้งไปตาม ๆ กัน อ้ายนี่เสือแท้ เขี้ยวเล็บมันติดตัวอยู่ทุกฝีก้าว
เจ้าขวัญหลับตาอธิษฐานเรื่องของมันกับเจ้าเรียม และกล่าวคำขอขมาลาโทษที่มันได้ล่วงเกินผู้ตายมาแล้วแต่หนหลัง ๆ
เสร็จงานไปแล้วสามวัน ตาเรืองจัดแจงเอาศพภรรยาไปฝากไว้ที่วัดเรียบร้อย แล้วก็ทำบุญตักบาตรเปนการอุทิศส่วนกุศลส่งไปให้ และจัดเข้าของตกแต่งในโรงนาเสียใหม่โล่งโถงสะอาดตาตามคำแนะนำของลูกสาวเพื่อให้หายน่ากลัวและลืมรูปลักษณะของโรงนาเก่าอันเปนที่ตายของมารดาเธอ ทั้งนี้ ทำให้พื้นและห้องหับทั้งชั้นบนชั้นล่างของโรงนาตาเรืองเปนระเบียบเรียบร้อยสะอาดหมดจกน่าอยู่ขึ้นอีกมาก
เรียมซูบซีดลงกว่าเดิม เพราะเหน็ดเหนื่อยอดหลับอดนอนมาแต่ครั้งพยาบาลแม่จนกระทั่งตาย และก็ต้องทำงานเรื่อย ๆ มา แถมยังมีทุกข์ทับถมขึ้นอีกเปนสองเท่า คือ แม่ตาย อย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งก็คือ กำหนดกลับไปจากบ้านใกล้เข้ามาทุกวัน เปนความจริงที่เรียมมาอยู่นี่ย่างเข้าสิบห้าวันเท่านั้น หัวใจเธอก็เริ่มเปลี่ยนเปนอื่น เธอนึกถึงวันกลับพระนครทีไร ก็มองเห็นสภาพและวิญญาณที่หมดอิสระคล้ายนกต้องขังอยู่ในกรง แม้เจ้าของจะถนอมคอยระวังให้เข้าให้น้ำตามเวลาก็จริง นกนั้นก็คงหาความสุขได้อย่างมากเพียงกระโดดไปกระโดดมาอยู่ในกรง ซึ่งผิดธรรมชาติกับนกที่มีปีกใช้บินอยู่ตามทุ่งตามท่า ไปไหนมาไหนได้โดยอิสระ
ความกลัดกลุ้มเหล่านี้เรียมมักจะไปปรับทุกข์กับเจ้าขวัญเสมอ และสองหนุ่มสาวก็คงยึดเอาลำกระโดงชายนาเจ้าเรียมเปนที่พบปะรักใคร่กันตามประสายามยากยามแค้น
อีกวันหนึ่ง เจ้าขวัญได้ความคิดใหม่ในตอนกลางคืน รีบกระซิบบอกนัดแนะเจ้าเรียม วันรุ่งขึ้น มันจะไปคอยที่วัดซึ่งฝังศพแม่เจ้าเรียมไว้ แล้วให้เจ้าเรียมชวนอ้ายรอดไปเปนเพื่อน
รุ่งขึ้น พอเวลาใกล้เพล ตาเรืองกับเจ้าเริญไปนา เจ้ารอดเข็ญเรือเล็กลงคลอง คว้าพายโดดลงนั่งท้าย เจ้าเรียมนั่งหัวคอยวิดน้ำ เจ้ารอดจ้ำเสียพักใหญ่ ๆ ก็ถึงท่าน้ำศาลาวัด ผูกเรือแล้วเรียบร้อย ก็พากันเดินตรงมายังป่าช้าซึ่งเปนที่ฝังศพแม่เจ้าทั้งสอง
หลังป่าช้าเปนทุ่งโล่งต่อจากเขตวัด เจ้าขวัญมาคอยก่อนกำหนดเสมอ เมื่อคอยนานหนักเข้า ก็นึกเบื่อรำคาญที่จะต้องมานั่งคอยคนเดียวในป่าช้า จึงออกทุ่งเดินเล่นกลับไปกลับมาแก้รำคาญ สักครู่จึงกลับมาคอยที่เก่า พบเจ้าเรียมกับเจ้ารอดยืนหัน ๆ รี ๆ
"พี่ขวัญไม่ได้เอาเรือมาด้วยหรอกหรือ"
"เปล่า มันตอบ พี่เดินตัดทุ่งนาแต่เช้า บอกกับพ่อแกว่า จะไปธุระสักครึ่งวัน ม่ายแกจะไม่ปล่อยให้มา เพราะวันนี้จะลงมือหว่านอยู่ด้วย ยืนคอยเจ้าอยู่นานนัก แล้วเลยออกไปเดินแก้รำคาญทางหลังทุ่งโน้น"
ศพแม่เจ้าเรียมฝังไว้ในซุ้มไม้ที่ถางใหม่ เรียมมองไปรอบ ๆ ทิศล้วนแต่หลุมฝังศพทั้งสิ้น ทำให้เธอได้คิดว่า การครองชีพของมนุษย์ทุกชั้นทุกวัยมาสิ้นสุกันลงเพียงป่าช้านี่เอง แม้ระหว่างมีชีวิตอยู่จะดีชั่วมั่งมีศรีสุขหรือยากไร้อย่างไรก็ตาม ผลสุดท้ายหาได้สำนึกกันไม่ว่า หนทางที่จะต้องเดินไปนั้นมีทางรวมอยู่เพียงป่าช้าเท่านั้น
เรียมร้องไห้กระซิก ๆ เปนต้นเหตุชวนเจ้ารอดพลอยร้องไห้ไปด้วยอีกคนหนึ่ง
ขากลับ เจ้าขวัญอาศัยเรือของเรียมมา แม้เรือจะเล็บเพียบปรี่อย่างไร เมื่อเจ้าขวัญผู้ชำนาญในชีวิตธรรมชาติแทบทุกอย่างได้ลงนั่งข้างท้าย ก็รับรองได้ว่า จะไม่ล่มไปได้ พอเข้าคุ้งใกล้จะถึงบ้าน เจ้าขวัญก็โจนลงน้ำแล้วว่ายคลอไปข้าง ๆ เรือ ผ่านตลิ่งเก่าลำน้ำเก่าพงอ้อกอเข้าซึ่งละม้ายเหมือนของเดิมเมื่อสามปีโน้นแล้ว เจ้าขวัญก็เอ่ยชวนขึ้นว่า
"เรียมเอ๋ย เจ้าจำได้ไหมว่า น้ำนี้คือน้ำโน้นที่มันไหลผ่านตลิ่งไปเมื่อสามปีแล้วกลับมาอีก น้ำก็เหมือนเจ้า ตลิ่งก็เหมือนพี่ เมื่อน้ำยังฝั่งก็เย็นเท่านั้นเอง เจ้าจะไม่ลงเล่นน้ำกับพี่มั่งเลยหรือ"
เรียมนั่งฟังอยู่บนเรือ จิตใจเจ้าเคลิบเคลิ้มไปในธรรมชาติที่เจ้าขวัญรำพัน เธอนึกอยากจะลงตามคำวอนของมัน แต่กระดากใจเจ้ารอดมาด้วย แม้มันจะไม่พูด มันก็ยิ้มได้
ผลสุดท้าย เจ้าขวัญก็จัดแจงไล่เจ้ารอดให้ไปดูต้นทางอยู่คุ้งทางโน้นเยี่ยงเดียวกับวันก่อน ส่วนมันกับเจ้าเรียมก็ลงแหวกว่ายดำขึ้นดำล่องตามอารมณ์ตามถิ่นฐานของธรรมชาติซึ่งเคยเปนที่สำราญมาแต่ก่อนทั้งตามน้ำและทวนน้ำ เจ้าขวัญให้เรียมเกาะบ้าง มันอุ้มไปบ้าง โดยไม่เหน็ดเหนื่อยหวั่นไหว แล้วก็พักคุยหยอกเย้ากันตามพุ่มไม้ชายฝั่ง เจ้าขวัญชี้ให้เรียมดูปลาที่ว่ายเคียงผ่านหน้าไปเปนคู่ ๆ แล้วมันก็ร้องเพลงของชนบทขึ้นเห่กล่อมเจ้าเรียมรำพันถึงธรรมชาติที่ต้องมีของคู่กัน เข้าคู่นา ปลาคู่น้ำ แล้วก็ลงด้วยกลอนด้นที่ว่า มันต้องคู่กับเจ้าเรียม เมื่อร้องจบก็สรวลเสเฮฮาสำราญใจ พอเวลาสมควร มันก็ให้เจ้าเรียมขึ้นนั่งเรือ ส่วนตัวมันว่ายคลอคู่ไปส่งกระทั่งถึงหัวคุ้งที่เจ้ารอดนั่งอยู่ มันก็สั่งเสียนัดแนะชวนเจ้าเรียมมาเล่นน้ำสำราญกันในวันสายรุ่งขึ้น และพบกันคืนนี้ที่ลำกระโดง แล้วเจ้าขวัญก็อำลาสาว ล่องน้ำกลับ ทั้งว่ายทั้งดำมาตามสายน้ำ กระทั่งเข้าเขตเนื้อนาโน้นอันเปนของผู้ใหญ่เขียน
วันรุ่งไม่ทันสาย เจ้าขวัญกุลีกุจออยู่กับงานหว่านเพื่อให้ร่วม ๆ เข้าไป มันจะได้แอบไปลงน้ำ ผู้ใหญ่เขียนมองดูลูกชายวันนี้รู้สึกแคลงใจพูดไม่ถูก มันยิ้มแย้มเต็มอกเต็มใจในงานหว่านผิดกว่าทุกวัน หัวร่อร่าพูดเสียงดังผิดเคย แต่ว่าเจ้าขวัญมันหน้าดำเสียจริง ๆ ซีดคล้ำเปนฝ้า สง่าราศีก็แทบจะไม่มีเหลือ พอตะวันสายแดดแข็ง สองพ่อลูกก็พากันกลับโรงนาเพื่อพักผ่อน
พอใกล้เพล ผู้ใหญ่บ้านเขียนก็รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนเสียจริง ๆ เพราะต้องออกนาแต่เมื่อเช้า และกว่างานหว่านจะเสร็จตามกำหนดก็สายแดดกล้า เมื่อกินเข้ากินปลาเสร็จเรียบร้อย ก็เอนกายพักผ่อนหลับไป
พ่อหลับแล้ว เจ้าขวัญก็รำลึกถึงเจ้าเรียมใจกระสับกระส่าย เพราะคำนัดของมันก็ว่า จะคอยเจ้าเรียมที่ต้นลำกระโดง มันแต่งตัวกะทัดรัดเรียบร้อยย่องออกจากโรงนา แล้วลัดออกทางคอกควาย อ้ายเรียวกำลังนอนจมแปลงเอื้องหญ้าอยู่ในคอก มันจำเจ้าขวัญได้ ลุกยืนเบิ่งสลัดเขาแล้วจามดัง ๆ ร้องเสียงแหบ ๆ อย่างเจ้าขวัญไม่เคยได้ยิน พอเดินจะเลยคอก มันก็ร้องอีก ซ้ำยกเท้าหน้าตะกุย และใช้เขาทั้งชนทั้งแงะไม้คอก พอเจ้าขวัญเหลียวดูมันก็ทำตาปรอย แล้วกลืนหญ้าที่เคี้ยวเองอย่างแค้นคอ เจ้าขวัญดูกิริยาประหลาดของอ้ายเรียว คิดฉงน
กลองเพลได้ยินมาแต่ไกล เจ้าขวัญตะลีตะลานนึกถึงคำนัดของเจ้าเรียม เอามือเบาะ ๆ เขาอ้ายเรียวสองสามทีเปนการอำลา แล้วออกอ้อมมาทางหลังยุ้งเข้า เสียงจิ้งจกร้องระเบ็งเซ็งแซ่ เจ้าขวัญซึ่งแต่ก่อนไม่เคยไหวหวั่นในสิ่งใด เลยกลับขนลุกเกรียวทั้งตัว จิ้งจกทักกู เอ จิ้งจกมันทักกูหลายตัวนัก เมื่อเช้าพ่อก็ทักปากหนึ่งแล้ว พอนึกถึงคำพ่อทักว่า ราศีมันหมองนัก วันนี้ ซ้ำจิ้งจกก็มาทักเข้าอีกเปนสองแรง ก็ทำให้มันใจเสีย คิดหวาดไปในลางต่าง ๆ คิดย้อนหน้าย้อนหลังจะกลับให้ได้ แต่เมื่อนึกถึงว่า เจ้าเรียมคงจะกำลังคอยหามันที่ต้นลำกระโดง เจ้าขวัญก็ลืมคิดมึงอะไรอีก ออกเดินครึ่งวิ่งครึ่ง หมาเลี้ยงไว้ที่บ้านสามสี่ตัวตามเปนพรวน และดมตามรอยตีนพันแข้งพันขาเจ้าขวัญไปตลอดทาง จะไล่อย่างไรไม่กลับ จนต้องหันเข้าแงะดินไล่ขว้าง มันก็เลยเห่าส่งท้ายจนเจ้าขวัญอดหัวเราะไม่ได้
เรียมกระวนกระวายเหมือนกลองเพลิงสุมอก คุณสมชายกับเพื่อนอีกสองคนมาถึงตั้งแต่สามโมงเช้า เพราะคุณนายไม่สบาย จึงให้มารับเธอกลับในเย็นวันนี้ให้ได้ นับว่า เปนข่าวกะทันหันที่ทำให้เรียมใจเสีย ไม่มีเวลากลับตัวเลย ทั้งเวลานัดของเจ้าขวัญก็ใกล้เข้ามา ทางคุณสมชายก็เร่งให้เก็บเข้าของลงกระเป๋าให้เรียบร้อยเสียก่อน เรียมอึก ๆ อัก ๆ มองดูพ่อกับพี่เริญ หมายว่า จะพูดจาทักท้วงขอร้องไว้บ้าง ก็เปล่า มีแต่ช่วยเร่งให้เร็วหนักขึ้น ครั้นหวนนึกถึงบุญคุณของคุณนายทองคำ และความรักใคร่ของสมชาย ความดีหรูหราในชีวิตวันหน้าแล้ว ก็เห็นว่า ควรกลับ เมื่อหวนนึกถึงเจ้าขวัญเข้า เรียมกลับใจหาย ขวัญเอ๋ย เรารักกันอยู่เมื่อวานนี้เอง จะต้องจากกันเสียอีกในชั่ววันนี้
ที่ริมคลองต้นลำกระโดง น้ำกำลังไหลลงเชี่ยว ลดลงจนบางแห่งเห็นท้องลำกระโดงเขินเลน เจ้าขวัญนั่งกอดเข่ามองดูสายน้ำลด ข้างหลังมีกอแขมและโสนขึ้นบังพอได้ร่ม มันเฝ้าคอย คอยด้วยใจร้อนกระวนกระวายไม่เปนสุข เงาแดดที่มันเอามีดขีดไว้เลยไปแล้วสามขีด น้ำก็แห้งลดตลิ่งลงจนเห็นกอเข้าในน้ำ เห็นปลาเล็ก ๆ เปนฝูง ๆ กำลังว่ายหนีลงน้ำลึก
แดดเลื่อนไปอีก ลมโกรกทุ่งมาแต่นาเหนือโน้น กระทบฝักโสนแห้งข้างหลังแกรกกราก แล้วผ่านลงท้องน้ำเปนระลอกเล็กยิบ ๆ นกกาบินโฉบผ่านไปมาร้องเสียงขรมและวนอยู่รอบ ๆ บริเวณใกล้ที่เจ้าขวัญนั่ง เสียงจ๋อม ๆ มาทางด้านหลัง เจ้าขวัญจึงเหลียวดู
"พี่ขวัญ" เจ้ารอดซึ่งพายเรือเลียบตลิ่งใกล้เข้ามาร้องเรียกหน้าตาล่อกแล่ก "เกิดความเสียแล้ว พวกบางกอกเขามาตามตัวพี่เรียมกลับในเย็นนี้แหละ พี่เรียมเก็บเข้าของเสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อเพล จะมาก็ไม่ได้ ข้างฉันพ่อแกบังคับให้ช่วยพี่เรียมเก็บของ พอเสร็จว่าจะมา พ่อก็รั้งเอาไว้ให้พวกบางกอกใช้อีก นี่เขาพากันไปเที่ยวทางเหนือลำกระโดงนู้น ฉันก็เลยเลี่ยงมา" เจ้ารอดเล่าเร็วปรื๋อ ชี้มือไปทางลำกระโดง
เจ้าขวัญตัวเบา ใจหวิว ย้อนคิดถึงอกของมันที่ทุกข์ยากเมื่อสามปีก่อน เมื่อสามปีมานี่เอง มันต้องกินน้ำตาแทบไม่เว้นวัน เพราะเจ้าเรียมไปอยู่บางกอก และนี่เจ้าเรียมก็จะไปอยู่บางกอกอีก เออ อกกู ใครจะรู้มั่งว่า อกกูจะเปนอย่างไง
"แล้วเจ้าเรียมอยู่ที่โรงนาหรืออยู่ที่ไหนวะ อ้ายรอด เออ เอ็งรีบกลับไปดูทีเถอะ ถ้าหากเจ้าเรียมอยู่แล้ว บอกให้มันรีบมาหาข้าที่นี่สักหน่อย เร็ว ๆ เข้า"
เจ้ารอดสั่นหน้า "พี่เรียมไม่อยู่ในโรงนาหรอก พี่ขวัญ ผู้ชายบางกอกเขาชวนเดินเล่นไปทางนาเหนือโน่น"
"แล้วอ้ายเริญมันอยู่ที่ไหน"
"เดินอยู่กะพี่แฉ่งที่ลานนวดเมื่อครู่นี่เอง เห็นเขาพูดว่า จะไปตามพี่เรียม" แล้วเจ้ารอดมองไปทางโรงนาของมัน "เอ พี่ขวัญ ฉันเห็นจะต้องกลับทีละ เดี๋ยวพ่อแกเรียกหา ก็จะเกิดความอีก"
"เออ" เจ้าขวัญพยักหน้ารับคำด้วยจำใจ เจ้ารอดเองก็แสนสงสารมัน แทบไม่อาจกลั้นน้ำตา
เจ้ารอดพายเรือกลับไปสักครู่ เจ้าขวัญอาภัพก็ยืนเบิ่งป้องหน้าออกกลางทุ่งคล้ายจะตรวจค้นสิ่งที่มันต้องการอย่างละเอียด
เรียมเอ๋ย เจ้าจะกลับบางกอกเสียแล้ว อ้ายหนุ่มบางกอกกำลังจะพาไปเที่ยวชมทุ่งชมนา และอีกสักครู่หนึ่ง มันก็จะพรากเจ้าให้จากพี่ไป ใจหาย เรียม พี่ใจหายนัก เมื่อวันวาน เรายังเล่นน้ำอยู่ด้วยกันแสนสบายเปนสุขแท้ เมื่อมองค้นตามทุ่งโล่งไม่พบ เจ้าขวัญก็หันเข้าพึ่งลำน้ำซึ่งกำลังไหลลงเปนเกลียว มันคิดว่า จะเปนตายร้ายดีอย่างไรก็ต้องขอพบหน้าเจ้าเรียมก่อนที่จะกลับบางกอกให้ได้ คำบอกเล่าของเจ้ารอดเมื่อครู่นี้ทำให้เจ้าขวัญนึกไปว่า พวกบางกอกเอาอำนาจเข้าบังคับคนรักของมัน เออ เรียม พี่ก็ได้ลั่นปากไว้แล้วว่า พี่จะต้องเปนผีเสียก่อน มันจึงจะขืนใจเจ้าไปจากพี่ได้ เรียมเอ๋ย พี่ไม่ยอม พี่ยอมมันไม่ได้เปนแท้ พี่เกิดมาบางกะปิ จากต้นน้ำถึงปลายน้ำโน้น ทุ่งนี้สุดทุ่งโน้น ทุก ๆ แห่งมีฝ่าตีนอ้ายขวัญเหยียบมาแล้ว จะยอมให้ใครมาลบหน้าไม่ได้เปนอันขาด
มันถอดมีดที่เสียบไว้ข้างตัวผลุนผลันลงคลอง ดำเพียงอึดใจเดียวก็เข้าเนื้อนาตาเรือง หัวใจสบถสาบานด้วยความแค้นไปตลอดทาง
สงัดกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่มากับสมชายแบกปืนยาวไปทางสุดนาใกล้ทางรก ปล่อยให้สมชายกับเรียมนั่งคลอคู่กันอยู่ทางลำกระโดง หัวใจของหนุ่มสาวกำลังแยกแย้งคิดไปคนละทาง ธรรมชาติของท้องทุ่งท้องนารอบทิศและลำกระโดงขวางหน้า ทำให้สมชายมีจิตเคลิ้มไปในความรัก เขาขอความรักด้วยคำวิงวอนเพราะหูน่าเห็นอกเห็นใจ อ้อนวอนให้เรียมกลับเสียในวันนี้ เรียมเล่าแม้จะไม่รับปากเอออวยในความรักของสมชาย แต่เธอก็ไม่ปฏิเสธ ความคิดของเธออยู่กึ่งกลาง จะไปจะอยู่เท่ากัน แต่เมื่อนึกถึงเจ้าขวัญ เธอก็น้ำตาไหลออกมาต่อหน้าคุณสมชาย ท้องน้ำเมื่อวันวาน ช่วงแขนของเจ้าขวัญที่อ้อมพาเธอว่ายแหวกขึ้นล่องตามสายน้ำ ยังติดหูติดตา และก็เมื่อคืนนี้เล่า ตรงนี้เอง ตรงที่เธอกับคุณสมนั่งอยู่นี่เอง ทั้งเธอและเจ้าขวัญกำลังพร่ำพลอดกอดกันหลงรักหลงปลื้ม โดยหานึกไม่ว่า รุ่งขึ้นคืนวันนี้ จะเปนวันจากพรากกันอีก
เรียมสองจิตสองใจที่จะเล่าความจริงให้สมชายทราบอยู่แล้วว่า เธอไม่สามารถจะจากบางกะปิไปอีกได้เพราะเหตุอะไร แต่อะไรบังคับหล่อนไม่ให้บอกเขา น่าจะเปนเพราะความหวังดีอันแท้จริงของสมชายที่มีต่อหล่อน และเมื่อบอกให้ทราบแล้ว เธอก็สุดสงสารที่จะต้องเห็นหนุ่มผู้ดีหน้าตาหมดจดต้องนั่งร้องไห้หรือไม่ก็ชี้หน้าเธอว่า เปนหญิงหลายใจนั่นเอง
เจ้าแฉ่งกับเจ้าเริญตะโกนเสียงลอยจากคันนาไกลไปทางหลัง ทำท่าทางบุ้ยใบ้เหมือนเกิดเหตุอะไร จนเรียมตกใจจิตประหวัดไปว่า เจ้าขวัญ หนุ่มที่เก้อคอย คงจะเข้าอาละวาดในโรงนาเธอแล้วเปนแน่ในเมื่อทราบความจริง ทั้งสองลุกตะลีตะลานออกเดินมั่งวิ่งมั่งอย่างรีบร้อน เมื่อถึงที่เจ้าเริญกับเจ้าแฉ่งยืนอยู่ เจ้าเริญก็พูดขึ้นแทบฟังไม่ทัน
"ฉิบหายละนาย เรือไฟลำที่จอดหน้ากระไดจมน้ำไปแล้ว เครื่องเรือก็หักโยนมาบนตลิ่ง ท้องเรือทะลุน้ำเข้าอู้จนเต็มลำแล้วก็จมเลย"
สมชายตะลึง เรียมยิ่งตะลึงกว่าสมชายอีกหลายส่วน จะใครเสียอีกนอกจากอ้ายเจ้าน้ำเจ้าทุ่งของฉัน เธอถอนใจคิดอยู่คนเดียว ถ้าพี่ขวัญพบกำลังนี้หรือขณะหน้า ก็คงได้วินาศไปตามกัน ก่อนอื่น เธอก็นึกถึงปืน คุณสมชายพกปืนอยู่เสมอเวลามาบางกะปิ แต่เจ้าขวัญตัวคนเดียวมีดเล่มเดียว
เจ้าแฉ่งเปนคนกู่เรียกพวกที่ไปยิงนกให้กลับมาร่วมสมทบกันเปนหกคน แล้วก็ออกเดินอย่างเร่งรีบจนถึงโรงนา เห็นตาเรืองกับเจ้ารอดกำลังนั่งกอดเข่าอยู่ทั้งคู่
สมชายกับเพื่อนเปนเดือดเปนแค้น เมื่อฟังคำจากเจ้าเริญกับเจ้าแฉ่งบอกเล่า ก็สบถสาบานว่า จะต้องฆ่าอ้ายขวัญให้ได้ เพราะข่มเหงกันมากนัก ข้างเรียมก็ใจหวั่น ภาวนาขอให้เจ้าขวัญรีบหลบไปเสีย เธอกำลังตื่นตกใจจนพูดจาอะไรไม่ถูก สมชายจึงชวนเพื่อนอีกสองคน ทั้งเจ้าแฉ่ง เจ้าเริญ เปนห้าคนด้วยกัน ออกเดินเลียบตามฝั่งคลองเพื่อหาคนร้ายตามคำแนะนำของเจ้าเริญ
เรียมกวักมือเจ้ารอดมาสั่งเสียละล่ำละลัก
"รอด เอ็งรีบไปลำกระโดงโน้นเร็วทีเดียว ถ้าพบพี่ขวัญ ให้เขารีบหนีเอาชีวิตรอดเสียเถิด ส่วนข้าจะตามพวกนี้ไป เผื่อจะได้ช่วยห้ามปรามเขาไว้บ้าง"
เจ้ารอดฟังเข้าใจความดีแล้ว ก็ปราดออกหลังโรงนาวิ่งตื๋อตัดทุ่งไปโดยด่วน เรียมก็รีบจ้ำจนทันกับพวกเหล่านั้นที่ชายฝั่งใกล้ต้นลำน้ำจะเข้ากระโดง
เย็นลงทุก ๆ ที ท้องนากำลังแดดร่มลมพัดสบาย น้ำในคลองก็ย้อนไหลขึ้น น้ำกำลังท่วมฟากเต็มฝั่ง ลมทุ่งพัดแรงจัดกว่าทุกวัน กอเข้าที่เพิ่งหว่านขึ้นใหม่ตามริมน้ำชูยอดเขียว บ้างก็น้ำท่วมยอด ทั้งเข้าทั้งแขมเปนรอยถูกย่ำเหยียบแหลกลาญหมด
เจ้าขวัญ เจ้าหนุ่มปลายน้ำ ซึ่งหมอบซุ่มอยู่ในดงโสนด้วยหัวใจพลุ่งพล่านดุร้ายเมื่อมันไปถึงท่าน้ำแล้วไม่เห็นใครอีกเลยนอกจากเรือเครื่องติดท้ายที่จอดคอยจะพรากเจ้าเรียมของมันไป เจ้าขวัญจึงย่องขึ้นบนโรงนาหวังจะพบปะ หาไม่ก็จะพาเจ้าเรียมหนีเตลิดไปเสียก่อน เมื่อไม่พบใคร ก็คว้าชะแลงเหล็กในโรงนากระทุ้งเรือเสียจนทะลุ แล้วงัดเครื่องติดท้ายโยนขึ้นไปบนฝั่ง เมื่อออกจากนั่น ก็ลงน้ำดำกลับเลี้ยวเข้าลำกระโดง ค่อยแฝงกายไปตามกอแขมริมฝั่ง และลอยคอฟังคำสนทนาฝากรักกันระหว่างสมชายกับเรียมซึ่งมันได้ยินเพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆ
มันแสแค้น แค้นเพราะเข้าใจผิดว่า เจ้าเรียมกำลังจะทิ้งมันไปอยู่บางกอก อีเรียมกำลังจะคิดชั่วหลายใจ ทั้งรักทั้งแค้น ทำให้มันปลงตกตัดสินลงไปว่า วันนี้เปนวันตายของกู วันตายของอ้ายขวัญลูกปลายน้ำ อีเรียมกำลังหลงอ้ายหนุ่มรูปสวยคนบางกอก แต่ที่อ้ายขวัญจะตายคนเดียวและปล่อยให้มันอยู่กันลอย ๆ นวลน่ะ เมินเสียชาตินี้
มันหมอบคุมเชิง ตาสอดส่ายอยู่ตลอดเวลา มือกำมีดสั่นระริก ใจไม่คิดเปนอื่นนอกจากอำลาพ่อและทุ่งหญ้านาเขียว แล้วก็รอเวลาที่เจ้าพวกนั้นจะติดตามมาจับตัวมัน
สมชายถือปืนพกนำหน้า คนอื่น ๆ ตามมาเปนกลุ่ม สำหรับเจ้าแฉ่ง เจ้าเริญ และเรียม ที่รู้จักอ้ายขวัญดี ใจคอหวาดไหว แต่คนบางกอกไม่รู้จัก ไม่กลัว และเชื่ออำนาจปืนมากกว่า เดินช่วยกันมองหาและแหวกกอเข้าตามตลิ่งตลอดมาจนกระทั่งถึงดงโสน
เจ้าเรียมรู้ดีกว่าเพื่อน เจ้าขวัญเคยซุ่มซ่อนอยู่ที่ไหน หนไหนเคยเปนที่กำบังของมันมั่งเมื่อมาคอยเธอ
สายตากวาดไปในดงโสน แล้วก็เซถอยหลังยกมือปิดหน้าร้องไห้
"พี่ขวัญ"
ทุกคนตกใจถอยหลังซะงักมาหลายก้าว เหลียวซ้ายแลขวาระวังตัวกันเต็มที่ เจ้าเริญ เจ้าแฉ่ง ตัวสั่นเทา มองตามทางที่เจ้าเรียมหันหน้าเรียก
สมชายกับสงัดยกปืนขึ้นเล็ง
"ออกมาให้จับเดี๋ยวนี้ดี ๆ" สมชายตะโกนเสียงยังสั่น ๆ
อ้ายขวัญก้าวสวบ ๆ ออกจากดงโสน มือกุมมีดมั่น สมชายและเพื่อนทุกคนลดปืนตะลึงตะไล สง่าราศีมันสมเปนชายทุกกระเบียดนิ้ว ยืนจ้องสมชายกับพวกเหมือนวัวเปลี่ยวเบิ่งเขา
มันเดินใกล้เข้ามาและหยุดตรงหน้าห่างจากพวกนั้นเพียงเจ็ดแปดก้าว
"เรียม เรียมเอ๋ย"
"โธ่ พี่ขวัญ"
"เจ้าอย่าลวงพี่เลย เรียม ใจเจ้าเปนของอ้ายคนบางกอกหมดแล้ว" มันพูดฝืนแค้นสะอื้นฮึด จนเรียมร้องไห้โฮใหญ่ในความเข้าใจผิดของมัน เปนเหตุให้สมชายและพวกเข้าใจว่า มันดูถูกเรียม
"หยุดปากเดี๋ยวนี้..." แล้วสมชายก็ยกปืนเล็งมายังเจ้าขวัญ เรียมร้องวี๊ดใหญ่ และขณะนั้น เจ้ารอดซึ่งวิ่งอย่างเต็มฝีเท้าก็มาถึง และกระโดดกอดคอ และแย่งปืน สมชายตกใจ จึงสะบัดเจ้ารอดกลิ้งลงมา พอมันลุกขึ้น ก็ถูกสงัดซึ่งไม่รู้ว่า ใครเปนใคร ชกเจ้ารอดกรอบใหญ่ลงแผ่ดิน
"มึงต่อยเด็ก มึงต่อยอ้ายรอดน้องกู มึงข่มเหงคนบ้านทุ่ง อ้ายรอด มึงคอยดูพี่" เจ้าขวัญตะโกนก้องทุ่งด้วยความแค้นเหลือที่จะดูได้ เพราะอ้ายรอด น้องเจ้าเรียม มีน้ำใจดีต่อมัน "อ้ายรอดเอ๋ย กูจะลาทุ่งบางกะปิแล้ว เพราะมึงและพี่มึง"
อ้ายเจ้าทุ่งวิ่งปราดเดียวถึงตัว แทงสงัดด้วยหัวใจบ้าบิ่นมุทะลุ จนสงัดล้มลง เจ้าแฉ่งเมื่อเห็นว่า จะหลบไม่พ้นแน่ ๆ ก็จำเปนต้องหันเข้าสู้ ไม่ทันได้ฟันก็ถูกอ้ายลูกปลายน้ำรุกเข้าชิดตัว จ้ำเสียสองสามแผลจนพับไปอีกคนหนึ่ง เจ้าเริญถอยออกยืนห่างแอบหลังเจ้าเรียม น้องสาว สมชายจะยิ่งก็ไม่ถนัด เพราะเกรงว่า จะถูกพวกกันเอง ได้แต่คอยหลบหลีกมิให้เจ้าขวัญชิดตัวได้ มันกำลังเปนบ้า บ้ารัก บ้าเลือด เห็นหน้าเจ้าเรียมแล้วทั้งรักทั้งแค้น
พอเจ้าขวัญมุ่งเข้าใส่เจ้าเริญ สมชายก็เข้าใจว่า มันจะเข้าทำร้ายเรียม ทั้งเห็นว่า เจ้าวัวเปลี่ยวแทงพวกล้มลงไปแล้วถึงสองคน จะเอาไว้อีกต่อไปไม่ได้ จึงวิ่งออกสกัดหน้า พอเจ้าขวัญกวดเจ้าเริญผ่านมา สมชายก็ยิ่งสวนขึ้นสองสามนัดติด ๆ กัน
มันล้มฮวบใหญ่ พยายามจะลุกขึ้น แต่แล้วก็ล้มลงอีก เลือดไหลปรี่ที่ชายโครงและเหนือทรวงอก
"เรียม เรียมของพี่เอ๋ย" มันกุมแผลร้องเรียกเจ้าเรียมซึ่งกำลังตกตะลึง "พี่คงตายแน่ ตาย ๆ พี่ต้องตายเพราะรักเจ้าคนเดียว มานี่เถิด มาจำหน้าพี่ไว้" มันทิ้งมีดลงข้างตัว กวักมือไปทางเรียม เธอผวาเข้าหามัน หวังจะช้อนศีรษะมัน แต่เจ้าขวัญยกมือห้าม "อย่าต้องตัวพี่เลย เรียม พี่กำลังจะสั่งเจ้าไปถึงพ่อแก บอกพ่อแกว่า พี่จะลาไปก่อน ยัง พี่ยังไม่ตาย ที่นี่ไม่ใช่ที่ตายของเรา โอ๋ เรียม เจ้าฆ่าพี่แท้ เจ้าฆ่าผัว เรียมเอ๋ย เจ้าฆ่าผัวของเจ้าด้วยมือคนอื่น พี่รักเจ้าด้วยใจซื่อ แผลเก่าของพี่เปนแผลรักแผลรอ เรียมเอ๋ย อีเรียม ๆ แผลใหม่นี้เปนแผลจากของกูเพราะมึงชัง" มันหยุดพูด ฝืนมานะด้วยใจทรหดอดทน ลุกชันเข่า หยิบมีด เดินโซซัดโซเซ
เรียมตกใจถึงที่สุด เธอร้องไห้พร่ำเรียกชื่อมันไม่ขาดปาก "พี่ขวัญ พี่ขวัญตายแล้ว ผัวฉันตายแล้ว โอ้ ผัวฉัน"
อ้ายขวัญคลานอย่างกระปลกกระเปลี้ยจนถึงฝั่งคลอง มันฝืนความเจ็บปวดด้วยความบึกบึนของหัวใจ กว่าจะทรงตัวได้ก็เซไปหลายก้าว
"เรียมเอ๋ย ท้องน้ำนี้ ลำนำนี้ของเรา ลำน้ำรักหนา เจ้าเรียม แต่มันจะเปนเรือนตายของพี่ เจ้าอยู่ดีเถิด"
ขาดคำ อ้ายเสือลำน้ำ อ้ายหนุ่มเจ้าทุ่งเจ้าท่าผู้กึกก้องด้วยอภินิหารของชายชาตรี ก็บ่ายหน้าโผนลงน้ำ มันตั้งใจที่จะว่ายขึ้นฝั่งโน้น แต่มันถูกยิงแผลฉกรรจ์ ไปอีกไม่ไหว กระเดือก ๆ จนถึงฝั่งที่มันเคยกกกอดเจ้าเรียมเมื่อวันรักสามปีโน้น พยายามตะเกียกตะกายเพื่อขึ้นฝั่งไปตายหน้าศาล ศาลอันศักดิ์สิทธิ์ของบางกะปิ แต่แล้ว อ้ายขวัญก็อ่อนแรงหมดแรงด้วยพิษปืนกำเริบ ลื่นไถลตลิ่งลงมา มันปีกมีดลงชายตลิ่งเพื่อหาหลักยึด แต่ตัวมันหนักกว่า ดินข้างตลิ่งจึงพังลง ตัวก็ลื่นไถลลงน้ำ อ้ายเสือน้ำกำลังจะขาดใจตายในน่านน้ำของมัน น้ำท่วมท้นขึ้นตามที่มันไถลตัวลึกลงทุกที
ทุกคนวิ่งเกรียวมาดูเมื่อได้สติ และช่วยกันยุดแขนเรียมไว้ หาไม่หล่อนจะต้องโผนลงน้ำไปตายอีกคนหนึ่ง เธอดิ้นรนอยากจะขาดใจตายเสียเดี๋ยวนั้น ผัวเธอ อ้ายขวัญ เจ้าทุ่ง ผัวเธอกำลังจะขาดใจในน้ำหลากต่อหน้าต่อตา
เสียงเรียกชื่อเมียของมันดังแหบแห้งเบาลง มือถือมีดชูร่อน
"เรียมเอ๋ย—พี่ลาก่อน— —ทุ่งบางกะปิ ข้าขอลา เรียมเอ๋ย เรียมเอ๋ย เรียมเอ๋ย"
"เรียมเอ๋ย พี่ลาก่อน" แล้วร่างมันไถลจมลงน้ำลึก เห็นแต่เพียงมือชูมีดกวัดแกว่งอำลา |
ร่างมันไถลลงน้ำลึก ลึกลงกระทั่งมิดหัว พรายน้ำขึ้นพรั่ง ๆ สำแดงว่า มันกำลังตะเบ็งร้องเรียกชื่อเจ้าเรียมอย่างเต็มที่เปนครั้งสุดท้าย เห็นอยู่แต่มือกำมีดแกว่งช้าลง จมลงจนมิดเห็นเพียงใบมีด แล้วใบมีดก็ลับตา พรายน้ำขึ้นอีกพลุ่งใหญ่ แล้วนิ่งเงียบเชียบ อ้ายเจ้าทุ่งลาโลกไปแล้ว ลาบางกะปิบ้านเกิดเมืองนอน ละเมียรักไปด้วยความแค้นเข้าใจผิด
ตะวันตกดินคล้ายจะไว้อาลัยและเคารพในวิญญาณอ้ายเจ้าทุ่งที่หลับสงบอยู่ใต้น้ำ เรียมร้องกรีดใหญ่เต็มเสียง ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้วในโลกนี้ ทุ่งนี้ น้ำนี้ นับวันแต่จะเงียบเหงาเยือกเย็น พี่ขวัญผัวรักเจ้าตายไปแล้วต่อหน้าต่อตา เรียมสลัดแขนโดยแรง ขณะที่สมชายกับเจ้าเริญผู้ยึดแขนกำลังตลึงและสลดใจในกิริยาตายของเจ้าขวัญ ออกได้ก็โผนลงน้ำว่ายอย่างปราดเปรียว แล้วดำหายลงวังน้ำซึ่งผัวรักเจ้าพึ่งสงบไปเมื่อสักครู่ ทันใดนั้นพรายก็พ่นพลุ่งขึ้นเปนสีโลหิตแดงฉานทั่วผิวน้ำ
สมชาย เจ้าเริญ กับเพื่อนสมชายอีกคน ต่างตกตลึงตาโพลง สมชายมีสติก่อน จึงกระโจนลงคลอง แล้วคนอื่น ๆ ก็กระโจนตาม ภายหลังปรากฏว่า เรียมดำน้ำลงไปโดยแรงและรวดเร็ว ปลายมีดซึ่งเจ้าขวัญยังกำอยู่แน่นเมื่อตายสวนคอแทบมิดใบมีด แล้วเธอก็กอดคออ้ายขวัญหนุ่มลูกบ้านทุ่งขาดใจตายอยู่ใต้พื้นแทบตลิ่งรักของเจ้าทั้งสองเมื่อ ๓ ปีโน้น
วิญญาณรักทั้งสองดวงของแม่เรียมและนายขวัญคงขึ้นล่องและดำผุดดำว่ายอยู่ทุกฤดูน้ำหลากกันอย่างแสนสำราญ สถิตย์เสถียรเปนเจ้าแม่แห่งความรัก เจ้าพ่อแห่งลำน้ำและทุ่งท่าของบางกะปิ อยู่ตลอดกาลนาน
ในเร็ว ๆ นี้