ข้อกำหนดออกตามความในมาตรา 9ฯ (ฉบับที่ 40) ลงวันที่ 14 ธันวาคม 2564

ข้อกำหนด
ออกตามความในมาตรา ๙
แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘
(ฉบับที่ ๔๐)

ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตหท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ และต่อมาได้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวออกไปอย่างต่อเนื่องเป็นระยะ นั้น

โดยที่แนวโน้มของสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในประเทศไทยได้คลี่คลายลงตามลําดับ ด้วยการรายงานจํานวนผู้ติดเชื้อรายใหม่มีระดับคงที่และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ผู้ได้รับการรักษาจนหายเป็นปกติมีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลได้รับรายงานจากฝ่ายสาธารณสุขว่า สถานการณ์ด้านยาและเวชภัณฑ์ในปัจจุบัน ตลอดจนจํานวนเตียงรองรับผู้ป่วยและผู้ติดเชื้ออยู่ในระดับที่เพียงพอ อีกทั้งการดําเนินการตามแผนให้บริการวัคขีนที่คาดว่าจะบรรลุเป้าหมายการฉีดวัคซีนในประเทศครบจํานวนหนึ่งร้อยล้านโดสได้ภายในปีนี้ ซึ่งครอบคลุมกลุ่มประชากรที่มีความเสี่ยงติดเชื้อรุนแรงเป็นไปตามนโยบายที่รัฐบาลกําหนด ประกอบกับในช่วงเทศกาลปีใหม่เป็นห้วงเวลาสําคัญที่ประชาชนจะได้มีการจัดงานตามประเพณีหท้องถิ่นและทางศาสนา งานรื่นเริงตามประเพณี งานเลี้ยง การพบปะสังสรรค์ การท่องเที่ยว ซึ่งจะมีการรวมกลุ่มบุคคลจํานวนมากเพื่อจัดกิจกรรมเฉลิมฉลองในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ รัฐบาลโดยข้อเสนอของฝ่ายสาธารณสุขจึงมีนโยบายเพื่อการผ่อนคลายมาตรการป้องกันและควบคุมโรคให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดของโรค ภายใต้เงื่อนไขที่ผู้ประกอบการ ผู้รับผิดชอบจัดงาน ผู้ร่วมงาน และประชาชนทั่วไปต้องร่วมกันปฏิบัติตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคที่กําหนดอย่างเคร่งครัด ซึ่งรัฐบาลจะได้เฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการระบาดของเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ซึ่งอาจจะได้มีการปรับเปลี่ยนมาตรการให้เหมาะสมต่อไป เพื่อให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจควบคู่กับการบริหารจัดการด้านสาธารณสุขเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ

อาศัยอํานาจตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกําหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ และมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ นายกรัฐมนตรีจึงออกข้อกําหนดและข้อปฏิบัติแก่ส่วนราชการทั้งหลายตามคําแนะนําของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิต - 19) (ศบค.) ดังต่อไปนี้

ข้อ ๑ การปรับปรุงเขตพื้นที่จังหวัดตามพื้นที่สถานการณ์และการกําหนดพื้นที่นําร่องด้านการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ให้ ศบค. มีคําสั่งปรับปรุงเขตพื้นที่จังหวัดจําแนกตามเขตพื้นที่สถานการณ์และกําหนดพื้นที่นําร่องด้านการท่องเที่ยวเพิ่มเติม ตามบัญชีรายชื่อจังหวัดแนบท้ายคําสั่ง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและเป็นไปตามแผนการเปิดประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยให้นํามาตรการควบคุมแบบบูรณาการที่กําหนดไว้สําหรับพื้นที่สถานการณ์ระดับต่าง ๆ ข้อห้ามและข้อปฏิบัติที่ได้ประกาศไว้แล้วก่อนหน้านี้มาใช้บังคับเท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับข้อกําหนดนี้

ข้อ ๒ การขยายเวลาการบังคับใช้มาตรการควบคุมและป้องกันโรค ให้บรรดามาตรการควบคุมแบบบูรณาการ ข้อห้าม ข้อยกเว้น และข้อปฏิบัติสําหรับพื้นที่สถานการณ์ระดับต่าง ๆ รวมทั้งมาตรการเตรียมความพร้อมตามข้อกําหนด (ฉบับที่ ๓๗) ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ ได้แก่ การห้ามจัดกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่โรค กิจกรรมการรวมกลุ่มของบุคคลที่สามารถจัดได้โดยไม่ต้องขออนุญาต มาตรการควบคุมแบบบูรณาการจําแนกตามพื้นที่สถานการณ์ และมาตรการควบคุมแบบบูรณาการในพื้นที่นําร่องด้านการท่องเที่ยว รวมถึงบรรดามาตรการ หลักเกณฑ์ หรือแนวปฏิบัติที่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานที่รับผิดชอบกําหนดขึ้นภายใต้ข้อกําหนดดังกล่าวยังคงมีผล ใช้บังคับต่อไป

ในส่วนของการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่หน่วยงานต่าง ๆ ให้หัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานของรัฐ เจ้าของกิจการหรือผู้ประกอบการภาคเอกชน พิจารณาเพื่อดําเนินมาตรการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่นอกสถานที่ตั้งหน่วยงานตามความเหมาะสม และเพื่อการเฝ้าระวังป้องกันการระบาดของโรคภายหลังช่วงเทศกาลปีใหม่ จึงให้ดําเนินมาตรการนี้ต่อเนื่องไปอีกเป็นระยะเวลาสิบสี่วันนับแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๕

ข้อ ๓ การปรับมาตรการควบคุมแบบบูรณาการทั่วราชอาณาจักรเป็นกรณีเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่ ให้คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานครหรือคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดแล้วแต่กรณี พิจารณากําหนดให้สถานที่ กิจการ หรือกิจกรรม ดังต่อไปนี้ สามารถดําเนินการได้เป็นกรณีเฉพาะเพื่อเทศกาลปีใหม่ ภายใต้เงื่อนไขของมาตรการความปลอดภัยที่รัฐบาลได้ยกระดับขึ้นเพื่อการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการระบาดของโรคเป็นการเฉพาะ

(๑)ร้านจําหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่มทั่วราชอาณาจักร เฉพาะที่ร้านที่มีพื้นที่เปิดที่อากาศสามารถระบายถ่ายเทได้ดี สามารถเปิดให้บริการเพื่อการบริโภคสุราหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในร้านได้เป็นกรณีเฉพาะเพื่อเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ตามเวลาเปิดทําการปกติในวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ จนถึงเวลา ๐๑.๐๐ นาฬิกา ของวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๕

(๒)สถานที่จัดกิจกรรมเทศกาลปีใหม่ที่มีการรวมกลุ่มของบุคคลเป็นจํานวนมาก ให้ผู้ประกอบการหรือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบจัดงาน จัดให้มีการปฏิบัติตามมาตรการคัดกรองเพื่อลดความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดแบบคลุ่มก้อน ดังนี่

ก. การจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มของบุคคล รวมจํานวนไม่เกินหนึ่งพันคน ให้ผู้จัดงานหรือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบประสานส่วนราชการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดให้มีการคัดกรองผู้เข้าร่วมกิจกรรม โดยให้เข้าร่วมได้เฉพาะผู้ที่แสดงหลักฐานว่าบุคคลนั้นได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ที่ทางราชการกําหนด

ข. การจัดกิจกรรมซึ่งมีการรวมกลุ่มของบุคคล รวมจำนวนมากกว่าหนึ่งพันคนขึ้นไป ให้ผู้จัดงานหรือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบประสานส่วนราชการหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดให้มีการคัดกรองผู้เข้าร่วมกิจกรรม โดยให้เข้าร่วมได้เฉพาะผู้ที่แสดงหลักฐานว่าบุคคลนั้นได้รับวัคซีนครบตามเกณฑ์ที่ทางราชการกำหนด ควบคู่กับหลักฐานแสดงผลการตรวจที่ยืนยันว่าไม่มีเชื้อโรคโควิด - 19 ในระยะเวลา ๗๒ ชั่วโมงก่อนการเข้าร่วมกิจกรรม โดยชุดตรวจและน้ำยาที่เกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยการติดเชื้อ SAR-CoV-2 (เชื่อก่อโรค COVID - 19) แบบตรวจหาแอนติเจนด้วยตนเอง (ชุดตรวจ ATK)

(๓)สถานที่หรือกิจกรรมอื่น ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการระบาด ให้ผู้ประกอบการหรือผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ ดำเนินมาตรการความปลอดภัยตามหลักเกณฑ์ที่ทางราชการได้กำหนดยกระดับขึ้นเป็นการเฉพาะด้วย

ให้พนักงานเจ้าหน้าที่สอดส่อง เฝ้าระวัง และติดตามการดำเนินมาตรการของผู้ประกอบการและผู้มีหน้าที่รับผิดชอบสถานที่และการจัดงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ให้เป็นไปตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคที่รัฐบาลได้กำหนดยกระดับขึ้น หากผู้ร่วมงานหรือประชาชนพบว่าการจัดงานหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้ผ่อนคลายให้สามารถดำเนินการได้นี้ มิได้ปฏิบัติตามหรือย่อหย่อนการดำเนินการมาตรการป้องกันและควบคุมโรคที่ทางราชการกำหนดซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดการระบาดแบบกลุ่มก้อน สามารถแจ้งข้อมูลเพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่เข้าตักเตือน และให้คำแนะนำเพื่อให้ปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าวก่อนที่จะดำเนินการตามมาตรการทางกฎหมายต่อไปได้

ข้อ ๔ การปรับปรุงการกำหนดผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อประโยชน์ในการจัดการคัดกรองบุคคลที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร การควบคุมและการป้องกันมิให้เกิดการระบาดของโรคให้สอดคล้องกับสถานการณ์ระบาดในปัจจุบันและนโยบายการเปิดประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐบาล ให้ยกเลิกความในข้อ ๑ แห่งข้อกำหนด (ฉบับที่ ๑๒) ลงวันที่ ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๓ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยข้อ ๓ แห่งข้อกำหนด (ฉบับที่ ๑๓) ลงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ ข้อ ๑ แห่งข้อกำหนด (ฉบับที่ ๒๖) ลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๔ และข้อ ๗ แห่งข้อกำหนด (ฉบับที่ ๓๖) ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน

"การกำหนดประเภทของผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งจะต้องดำเนินการตามมาตรการป้องกันโรคสำหรับผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรและหลักเกณฑ์การดำเนินการในสถานที่กักกันที่ทางราชการกำหนดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การระบาดที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ให้เป็นไปตามคำสั่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) กำหนด โดยแบ่งตามประเภทของผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ดังต่อไปนี้

(๑)ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจควบคู่กับความมั่นคงด้านสาธารณสุขตามแผนการเปิดประเทศของรัฐบาล

(๒)ผู้ซึ่งได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรในพื้นที่ที่กำหนดให้เป็นพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว เพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวหรือกิจกรรมอื่น ๆ ตามนโยบายของรัฐบาล

(๓)ผู้มีเหตุยกเว้นที่นายกรัฐมนตรีหรือหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินกำหนด อนุญาต หรือเชิญให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามความจำเป็น หรือบุคคลในหน่วยงานของรัฐต่างประเทศ หรือหน่วยงานระหว่างประเทศซึ่งมาปฏิบัติงานในราชอาณาจักร ตลอดจนคู่สมรส บิดามารดา หรือบุตรของบุคคลดังกล่าว ตามที่กระทรวงการต่างประเทศอนุญาตตามความจำเป็น

(๔)ผู้ขนส่งสินค้าตามความจำเป็น แต่เมื่อเสร็จภารกิจแล้วให้เดินทางออกนอกราชอาณาจักรโดยเร็ว

(๕)ผู้ควบคุมยานพาหนะหรือเจ้าหน้าที่ประจำยานพาหนะซึ่งจำเป็นต้องเดินทางเข้ามาตามภารกิจ และมีกำหนดเวลาเดินทางออกนอกราชอาณาจักรชัดเจน

(๖)ผู้เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมโรคในสถานที่กักกันที่ทางราชการกำหนด"

ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ ๑๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นต้นไป

  • ประกาศ ณ วันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๔
  • พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา
  • นายกรัฐมนตรี

บรรณานุกรม

แก้ไข
 

งานนี้ไม่มีลิขสิทธิ์ เพราะเป็นงานตามมาตรา 7 (2) แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ของประเทศไทย ซึ่งบัญญัติว่า

"มาตรา 7 สิ่งต่อไปนี้ไม่ถือว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้
(1)ข่าวประจำวัน และข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสาร อันมิใช่งานในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ
(2)รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย
(3)ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง คำชี้แจง และหนังสือโต้ตอบของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น
(4)คำพิพากษา คำสั่ง คำวินิจฉัย และรายงานของทางราชการ
(5)คำแปลและการรวบรวมสิ่งต่าง ๆ ตาม (1) ถึง (4) ที่กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น จัดทำขึ้น"