หน้า ๙๑–๑๐๕ สารบัญ
ฝ่ายหลวงจีนลูตีซิมนั้นมาแอบต้นไม้คอยจะช่วยลิมชองอยู่ ครั้นเห็นตังเทียว สิปา จะทำร้ายลิมชอง ก็วิ่งเข้ามาป้องกันไว้แล้วร้องตวาดว่า แกล้งพาเอาน้องของเรามาฆ่าดังนี้ ชีวิตเจ้าทั้งสองไม่ได้กลับคืนแล้ว ตังเทียว สิปา เห็นหลวงจีนออกมาป้องกันไว้แล้วร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง ก็ตกตะลึงยืนงันอยู่ทั้งสองคนไม่อาจทำร้ายลงได้ หลวงจีนลูตีซิมเงื้อกระบองขึ้นจะตีตังเทียว สิปา พอลิมชองลืมตาเห็นหลวงจีนลูตีซิมก็จำได้ ร้องห้ามไปว่า พี่อย่าเพิ่งทำเขาก่อน น้องจะเล่าให้ฟัง หลวงจีนลูตีซิมได้ฟังลิมชองว่าก็ลดไม้เท้าเหล็กลงถือไว้ ตังเทียว สิปา ตกใจยืนดูอยู่ ลิมชองจึงพูดว่า พี่จะมาทุบตีสองคนนี้ไม่ถูก การอันนี้กอไทอวยใช้เล็กเคียมมาสั่งผู้คุมทั้งสองให้ฆ่าน้องเสีย ถ้าเขาไม่ทำตามคำกอไทอวยก็ไม่ได้ จึงต้องทำตามคำสั่ง ถ้าพี่ฆ่าฟันสองคนนี้ก็ไม่เป็นสัจเป็นธรรม หลวงจีนลูตีซิมได้ฟังก็เข้าแก้โซ่ที่มือและเท้าออก แล้วพยุงลุกขึ้นนั่ง เล่าให้ลิมชองฟังว่า วันเมื่อน้องซื้อกระบี่แล้วจากกันมา ได้ยินข่าวว่า ต้องโทษ ไม่รู้ที่จะแก้ไขประการใดได้ ครั้นแจ้งว่า เขาจะเนรเทศไปเมืองชองจิว ก็ไปเที่ยวหาน้องที่ไคฮองฮู้ก็ไม่พบ ได้ข่าวว่า น้องอยู่ในคุก พี่ก็เที่ยวสืบข่าวไป เห็นชายที่ขายสุราไปเรียกผู้คุมสองคนนี้มาที่โรงขายสุราว่า ขุนนางผู้หนึ่งให้หาผู้คุมทั้งสองนี้มาที่โรงขายสุรา พี่มีความวืตกถึงน้อง กลัวเขาจะคิดอุบายฆ่าเสีย จึงได้แอบฟังที่โรงเตี๊ยม ได้ยินเสียงขุนนางผู้นั้นกับผู้คุมสองคนคิดอ่านกันจะฆ่าน้องให้ตายเสียตามทาง ในขณะนั้น พี่คิดจะฆ่าผู้คุมสองคนนี้เสีย เห็นผู้คนมาก กลัวจะเกิดความ จึงได้ไม่ทำ สู้อดใจไว้ จะช่วยน้องในขณะนั้นไม่ได้ ครั้นแจ้งความถี่ถ้วนแล้ว พี่ออกมาจากโรงเตี๊ยมรับมาคอยท่าช่วยน้อง กับจะฆ่าผู้คุมสองคนเสีย ซึ่งผู้คุมทั้งสองพาน้องมาถึงป่าจะฆ่า พี่จึงออกมาช่วยไว้ เราฆ่าสองคนนี้เสียเถิดหรือ ลิมชองว่า พี่มาช่วยน้องไว้ พระคุณเป็นที่ยิ่ง ซึ่งผู้คุมสองคนนี้พี่อย่าฆ่าเลย มิใช่เขาคิดร้ายเรา เพราะนายใช้ก็ต้องทำตามสั่ง
หลวงจีนลูตีซิมได้ฟังก็โกรธผู้คุมสองคนยิ่งนัก จึงร้องตวาดว่า เราจะฆ่าเจ้าสองคนเสีย ลิมชองน้องเราห้ามไว้ จึงไม่ได้ฆ่า เจ้าจงพยุงลิมชองเดินตามเรามาโดยเร็ว พูดแล้วก็จับไม้เท้าเดินไป ผู้คุมทั้งสองได้ฟังก็ไม่รู้ที่จะคิดประการใด ต้องเข้าพยุงลิมชองเดินตามหลวงจีนลูตีซิมออกจากป่ามาประมาณทางห้าลี้ เห็นมีโรงขายสุรา หลวงจีนลูตีซิมเข้าไปซื้อสุราและของต่าง ๆ ให้ลิมชองกิน ตังเทียว สิปา ผู้คุมทั้งสองจึงคิดว่า หลวงจีนรูปนี้มาแต่ข้างไหนเราไม่รู้จัก มาแก้ลิมชองไว้ เราจะฆ่าลิมชองก็ไม่ได้ ถ้าแม้เรากลับไปจะบอกกับกอไทอวยประการใดดี จำจะถามชื่อดูให้รู้จัก จะได้เอาข้อความไปบอกได้ คิดแล้วผู้คุมทั้งสองก็ถามหลวงจีนลูตีซิมว่า ท่านมาแต่ข้างไหนชื่อไร ข้าพเจ้าไม่เคยเห็นหน้าท่านเลย หลวงจีนลูตีซิมว่า เจ้าจะมาถามาชื่อเราทำไม ซึ่งกอไทอวยนั้นมีคนกลัวมาก เราหากลัวไม่ ถ้าแม้เราได้พบปะกอไทอวยที่ไหน จะทุบเสียให้ตายให้สมกับทำข่มเหงน้องเรา ถึงตัวเจ้าทั้งสองก็ทำให้ดี ถ้าทีหลังทำกับน้องเราอีก ชีวิตเจ้าทั้งสองก็ไม่พ้นมือเรา ตังเทียว สิปา ได้ฟังก็ตกใจ ครั้นจะซักถามให้รู้จักชื่อ เห็นหลวงจีนลูตีซิมพูดเลยไป ก็กลัวไม่อาจจะถาม นั่งนิ่งอยู่ หลวงจีนลูตีซิมกับลิมชองเสพสุราเสร็จแล้วก็ชวนกันออกจากโรงขายสุราเดินไป ลิมชองถามหลวงจีนลูตีซิมว่า พี่จะไปไหนด้วยหรือ หลวงจีนลูตีซิมว่า ฆ่าคนก็ต้องให้เห็นโลหิต คิดจะช่วยกันก็ช่วยให้ตลอด พี่มาช่วยน้องแล้วจะต้องไปส่งให้ถึงเมืองชองจิว
ลิมชองได้ฟังก็ยินดี ไม่ตอบประกรใด ตังเทียว สิปา ได้ฟังสะดุ้งใจ จึงคิดว่า หลวงจีนรูปนี้จะตามไปส่งถึงเมืองชองจิว ครั้นเราจะฆ่าลิมชองก็กลัวหลวงจีนจะทำอันตราย ถ้าจะสู้รบก็สู้กำลังและฝีมือหลวงจีนนั้นไม่ได้ ต้องเดินตามไป ได้อีกสองวันก็เข้าพักอาศัย หลวงจีนลูตีซิมใช้ให้ตังเทียว สิปา จัดหาอาหารกินทุกเวลามิได้ขาด ตังเทียว สิปา ก็ไม่อาจขัดขืน อุตส่าห์หาเลี้ยงด้วยความเกรงกลัว ครั้นรุ่งเช้า จึงชวนกันเดินไป สิปาพูดกับตังเทียวว่า เมื่อเราอยู่บ้าน ได้ยินข่าวเล่าลือมาว่า มีหลวงจีนรูปหนึ่งมาอยู่ที่วัดไต้เซียงก๊กยี่ มีฝีมือเข้มแข็งนัก เห็นจะเป็นหลวงจีนรูปนี้ดอกกระมัง ถ้าแม้นเราทำร้ายแก่ลิมชองไม่ได้ กลับไปแล้วก็ต้องเอาข้อความไปแจ้งกับกอไทอวยว่า เราพาลิมชองไปถึงป่าที่เปลี่ยว มัดลิมชองไว้จะฆ่า หลวงจีนที่มาอยู่วัดไต้เซียงก๊กยี่ติดตามไปช่วยแก้ไขไว้แล้วตามไปส่งจนถึงเมืองชองจิว เราจึงทำอันตรายลิมชองไม่ได้ ให้กอไทอวยไปว่ากล่าวกับหลวงจีนเถิด ก็สิ้นธุระเรา ตังเทียวได้ฟังเห็นชอบด้วย ชวนกันเดินตามหลวงจีนลูตีซิมกับลิมชองไปได้สิบเจ็ดวัน ใกล้จะถึงเมืองชองจิว หลวงจีนลูตีซิมสืบข่าวดูรู้ว่า ตามทางที่จะไปเมืองชองจิวนั้นมีบ้านช่องตลอดไปจนถึงเมืองชองจิว หามีที่ป่าเปลี่ยวไม่ ก็ชวนลิมชองกับผู้คุมสองคนเข้าหยุดพักใต้ต้นไม้ แล้วพูดกับลิมชองว่า หนทางซึ่งจะไปเมืองชองจิวนั้นไม่ไกล อีกสองวันก็จะถึง ทางที่น้องจะเดินแต่นี้ไปก็จะมีแต่บ้านเรือนราษฎรทำมาหากินอยู่ทั้งสิ้น ไม่มีที่เปลี่ยวเหมือนแต่ก่อนแล้ว พี่จะลาน้องกลับไปก่อน ลิมชองว่า ซึ่งพี่มาช่วยชีวิตน้องไว้ครั้งนี้ พระคุณเป็นที่สุด ถึงตัวน้องตายก็หาลืมพระคุณไม่ ถ้าพี่กลับไป จงบอกกับบิดาภรรยาด้วยเถิดว่า พี่มาช่วยชีวิตน้องไว้จนถึงเมืองชองจิว หลวงจีนลูตีซิมหยิบเอาเงินออกมาให้ว่า จงเอาเงินสิบตำลึงนี้ไปซื้อกินตามทางเถิด ลิมชองรับเอาเงินสิบตำลึงไว้ หลวงจีนลูตีซิมจึงเอาเงินสามตำลึงส่งให้ตังเทียม สิปา แล้วพูดว่า เราคิดจะฆ่าเจ้าสองคนเสีย เพราะลิมชองน้องเราอ้อนวอนขอไว้ ชีวิตเจ้าทั้งสองจึงได้รอดมา ถ้าเราไปแล้ว เจ้าอย่าได้คิดร้ายกับน้องเราต่อไป จงพากันไปเมืองชองจิวแต่โดยดี ถ้าเจ้าไม่ฟัง ขืนจะทำร้ายกับน้องเรา เราแจ้งความแล้วคงจะติดตามไปฆ่าเจ้าสองคนเสียให้ได้ เจ้าสองคนนี้ยังหารู้จักฝีมือเราไม่ พูดแล้วก็จับไม้เท้าลุกขึ้นเดินเข้าไปใต้ต้นไม้ใหญ่ พูดว่า ถ้าเจ้าจะทำอันตรายกับน้องเรา ตัวเจ้าสองคนนี้ก็คงเหมือนต้นไม้นี้ หลวงจีนลูตีซิมเอาไม้หวดเข้าที่ต้นไม้ใหญ่ขาดสองท่อนเหมือนกับมีดฟัน ต้นไม้ใหญ่ก็ล้มลง ตังเทียว สิปา เห็นก็กลัว จึงคิดว่า หลวงจีนลูตีซิมรูปนี้มีฝีมือเข้มแข็งนัก ถ้าเราจะทำอันตรายกับลิมชอง ตัวเราก็คงตาย ตั้งแต่นี้ไปเราอย่าคิดร้ายกับลิมชองเลย หลวงจีนลูตีซิมสำแดงฝีมือให้ผู้คุมเห็นแล้วร้องบอกกับลิมชองว่า พี่จะลาน้องแล้ว ก็ถือไม้เท้าเหล็กเดินกลับไป ตังเทียว สิปา จึงพูดว่า หลวงจีนรูปนี้มีฝีมือและกำลังมาก หามีผู้ใดเสมอเหมือนไม่ ลิมชองได้ฟังจึงตอบว่า เวลาวันนั้น อยู่ที่สวนผัก มีต้นไม้ใหญ่อยู่ที่ริมนั้นต้นหนึ่งโตกว่านี้มาก ยังถอนขึ้นได้ ท่านเห็นแต่เท่านี้ก็มาชมว่ามีกำลัง ถ้าเห็นครั้งก่อนนั้นจะมีความยินดีมาก
ตังเทียว สิปา ได้ฟังก็ยิ่งกลัวหลวงจีนลูตีซิมมากขึ้น พูดแล้วก็ชวนกันออกจากใต้ต้นไม้เดินตรงไปเมืองชองจิว ครั้นเดินทางไปได้วันหนึ่งถึงตลาด ไม่แจ้งว่า ตำบลบ้านใด แต่ใกล้จะถึงเมืองชองจิวเห็นมีโรงขายสุรา ก็ชวนกันเข้าไปในโรงจะซื้อสุรากิน ลิมชองเห็นเจ้าของขายสุราจัดแจงสิ่งของอยู่ ไม่มาไต่ถามว่า จะซื้อสิ่งใด ก็โกรธ ตบโต๊ะ แล้วถามเจ้าของขายสุราว่า เราจะมาซื้อสุรากิน ท่านนิ่งเสีย หรือกลัวพวกเราจะไม่มีเงินให้ เจ้าของร้านสุราจึงตอบว่า ท่านไม่รู้เหตุการณ์ ที่ตำบลบ้านนี้มีชายผู้หนึ่งแซ่ ชา ชื่อ จิน คนในตำบลนี้เรียกว่า ชาตัวกัวหนัง แต่ยี่ห้อของชาจินนั้นเรียกว่า เซียวชวนฮอง เป็นเทือกเถาเหล่าพระเจ้าซาซิจงฮ่องเต้ครั้งหงอโต้วแผ่นดินอ้าวจิวนั้น ครั้งพระเจ้าเตียคังเอี๋ยนได้ครองราชสมบัติ จึงโปรดพระราชทานถิขวนเปรียบเหมือนอาญาสิทธิ์ให้แก่บุตรและหลานของพระเจ้าชาซิจง ถิขวนอาญาสิทธิ์นั้นตกมาอยู่กับชาจิน ชาจินคนนี้มั่งมีทรัพย์สิน ฝีมือเข้มแข็ง ใจโอบอ้อมอารี แจ้งว่าผู้ใดมีฝีมือก็ไปคบมาเป็นเพื่อนฝูง ชักชวนมาเป็นพวกพ้องอยู่ที่บ้านเป็นอันมาก ถ้าผู้ใดต้องโทษเดินมาทางนี้ ชาจินก็ให้เงินทองไปซื้อกินตามทางทุก ๆ คน ชาจินมาสั่งกับข้าพเจ้าว่า ถ้าผู้ใดต้องโทษเดินมาสำนักที่โรงก็ให้ข้าพเจ้าพาไปหา ซึ่งจะเอาสุรามาขายท่านนั้นไม่ได้ ชาจินก็จะโกรธไม่ให้ยืมเงินทองอีก ท่านอย่าเสพสุรา ไปหาชาจินเสียก่อนเถิด ลิมของจึงพูดกับตังเทียว สิปา ว่า เมื่อเราเป็นครูทหารอยู่ที่เมืองหลวง ได้ยินข่าวเล่าลือว่า ชาจินใจคอโอบอ้อมดี คบแต่คนมีฝีมือและสติปัญญา ถ้าผู้ใดต้องโทษมาไปหาก็ให้เงินซื้อกินตามทาง ซึ่งเราจะเดินไปอีก เงินทองก็เบาบาง เราไปหาชาจินด้วยกัน ท่านจะเห็นประการใด ตังเทียว สิปา เห็นชอบด้วย ลิมชองจึงถามเจ้าของโรงเตี๊ยมว่า ชาจินอยู่ที่ไหน จะพากันไปหาท่าน เจ้าของโรงเตี๊ยมบอกว่า อยู่ตรงนี้ เดินไปอีกสามลี้มีสะพานศิลาอยู่ริมบ้าน บ้านนั้นงดงามกว้างใหญ่ ไม่มีบ้านผู้ใดเสมอเหมือน คือ บ้านชาจิน
ลิมชองได้ฟังก็ลาเจ้าของโรงที่ขายสุราชวนกันออกมา เดินทางไปได้สามลี้ถึงสะพานศิลา ก็พากันข้ามสะพานไป เห็นบ้านใหญ่งดงามดี มีต้นไม้ใหญ่เรียงรายอยู่หน้าบ้าน ลิมชองกับผู้คุมก็เข้าไปที่ประตูบ้าน เห็นคนนั่งอยู่ใต้ต้นไม้หลายคน ลิมชองจึงเข้าไปหาพวกเหล่านั้นแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าต้องโทษเนรเทศไปเมืองชองจิว แจ้งว่า ชาตัวกัวหนังใจโอบอ้อมอารีมีเมตตาแก่คนโทษและคนยาก ข้าพเจ้าจึงได้มาหา ท่านทั้งหลายจงได้สงเคราะห์กับนายท่านทีเถิดว่า ข้าพเจ้าชื่อ ลิมชอง พวกเหล่านั้นได้ฟังจึงตอบว่า ท่านนี้เคราะห์ร้าย มาก็มาพบนายเรา ถ้าพบนายเราแล้ว เงินทองสิ่งของต่าง ๆ ก็คงได้ จำเพาะมาวันนี้นายเราไม่อยู่ ไปเที่ยวยิงเนื้อในป่า ลิมชองถามว่า จะกลับเวลาใด ก็บอกว่า ไม่ทราบ ลิมชองว่า เคราะห์ข้าพเจ้าร้ายนัก มาก็ไม่พบนายท่าน ครั้นจะคอยอยู่ก็ไม่แจ้งว่า เวลาไรจะกลับมา ข้าพเจ้าลาท่านทั้งหลายไปก่อนแล้ว ลิมชองก็ชวนผู้คุมทั้งสองเดินกลับไป ใจคอไม่สบาย เดินไปประมาณทางสามลี้เห็นมีไพร่พลออกมาจากป่า มีชายผู้หนึ่งขี่ม้าเดินมาระหว่างกลาง อายุประมาณสามสิบเศษ รูปร่างสูงใหญ่งดงาม นุ่งผ้าสมตัว มือถือเกาทัณฑ์ รีบขับม้ามา ลิมชองเห็นดังนั้นจึงคิดว่า เห็นจะเป็นชาจินที่เรียกว่า ชาตัวกัวหนัง คนนี้ดอกกระมัง คิดแล้วก็ยืนดูอยู่
ชาจินออกจากป่าเห็นคนใส่คาเดินมากับผู้คุมก็ขับม้าเข้าไปใกล้ ร้องถามว่า ท่านที่ต้องโทษเนรเทศมาจะไปเมืองไหน แซ่ใด ชื่อไร ลิมชองบอกว่า ข้าพเจ้าเป็นครูทหารที่ตังเกียเมืองหลวง แซ่ ลิม ชื่อ ชอง กอไทอวยว่า ข้าพเจ้าถือกระบี่เข้าไปที่แปะโฮวตึง จึงเอาตัวมาทำโทษ ต้องเนรเทศไปเมืองชองจิว ข้าพเจ้ามาถึงตำบลนี้ได้ยินข่าวว่า ชาตัวกัวหนังใจโอบอ้อมอารีมีจิตเมตตาแก่คนโทษ ข้าพเจ้าจึงไปหาที่บ้านก็ไม่พบท่าน จึงได้กลับมา ชาจินได้ฟังก็ลงจากม้าเข้าไปใกล้ แจ้งกับลิมชองว่า ข้าพเจ้าชื่อ ชาจิน เชิญท่านไปบ้านด้วย ชาจินก็จูงมือลิมชองเดินไป ลิมชองว่า ข้าพเจ้าเป็นคนโทษ หาควรจะเดินกับท่านไม่ เชิญท่านขึ้นม้าไปเถิด ข้าพเจ้าจะเดินตามไปต่อภายหลัง ชาจินว่า ท่านพูดเช่นนั้นไม่ควร เรารักใคร่ อย่าพูดเช่นนั้นเลย แล้วก็จูงมือกันไปใกล้จะถึงบ้าน พวกบ่าวของชาจินเห็นนายจูงมือคนต้องโทษเดินมาก็เปิดประตูใหญ่ออกรับ ชาจินพาลิมชองกับผู้คุมทั้งสองเข้าไปในบ้าน จัดที่ให้นั่งสมควร แล้วชาจินจึงพูดว่า ข้าพเจ้าได้ข่าวเล่าลือมาว่า ท่านเป็นครูทหารอยู่ที่ตังเกียเมืองหลวง อยากจะใคร่พบปะกับท่าน วันนี้เป็นบุญหนักหนา ท่านจึงได้มาจนถึงบ้าน ข้าพเจ้ามีความยินดีนัก ลิมชองว่า ข้าพเจ้าได้ยินข่าวเล่าลือว่า ท่านมีจิตเมตตาแก่คนยากจน จะคบหาเพื่อนฝูงพวกพ้องก็ที่มีสติปัญญาและฝีมือเข้มแข็ง ข้าพเจ้าก็มีใจใคร่พบกับท่านมานานแล้ว บัดนี้ ข้าพเจ้าต้องโทษเนรเทศมา ก็เป็นบุญของข้าพเจ้าสมกับที่คิดไว้ ชาจินได้ฟังก็ยินดี สั่งให้คนใช้ไปจัดหาสุราและสิ่งของมาเลี้ยงลิมชองกับผู้คุมทั้งสอง คนใช้ก็ไปจัดหาสุรา และสิ่งของเล็กน้อย กับข้าวสารถังหนึ่ง เบี้ยอีแปะสองหมื่น จะเอามาให้ลิมชองเหมือนกับคนที่ต้องโทษเคยมาหาชาจินแต่ก่อนนั้น ครั้นจัดพาพร้อมแล้วยกมาให้ลิมชอง ชาจินเห็นก็โกรธคนใช้ยิ่งนัก จึงตวาดว่า เจ้าจัดหามาเช่นนี้สมควรหรือ เห็นว่า ท่านครูต้องโทษ เจ้าก็ประมาทได้ หาเหมือนกับคนที่มาแต่ก่อน ๆ ไม่ จงเอากลับไปเสีย ไปจัดโต๊ะและสุรามาโดยเร็ว คนใช้ก็เอาสิ่งของนั้นกลับไป จัดหาโต๊ะและสุราพร้อมแล้วก็ยกมา ชาจินเชิญลิมชองกับผู้คุมทั้งสองกินโต๊ะเสพสุราสนทนากัน คนใช้ก็เข้าไปบอกกับชาจินว่า อังกาซือ ครูเพลงอาวุธที่อยู่กับท่านนั้น ไปเที่ยวเล่นกลับมาแล้ว ชาจินให้เชิญอังกาซือเข้ามาข้างใน ให้จัดโต๊ะและสุรามาให้กินอีกโต๊ะหนึ่ง อังกาซือก็นั่งกินโต๊ะเสพสุราอยู่ที่นั่นด้วย ลิมชองเห็นอังกาซือเดินเข้าไปนั่งกินโต๊ะทำท่าทางเป็นคนมีฝีมือเข้มแข็งนัก จึงคิดว่า อังกาซือคนนี้เห็นจะเป็นครูของชาจิน จำเราจะลุกไปคำนับ คิดแล้วก็ลุกขึ้นประสานมือพูดว่า ข้าพเจ้าชื่อ ลิมชอง ขอคำนับท่าน อังกาซือนั้นถือตัวว่า มีฝีมือเข้มแข็ง เห็นลิมชองต้องโทษก็ดูถูกไม่รับคำนับ ลิมชองเห็นอังกาซือนิ่งเสียก็ถอยออกมานั่งที่ของตัว ชาจินเห็นดังนั้นจึงบอกกับอังกาซือว่า ท่านที่ต้องโทษนั้นเป็นครูทหารถึงแปดสิบหมื่นอยู่ที่ตังเกียเมืองหลวง มีฝีมือเข้มแข็งนัก ชื่อ ลิมชอง ท่านจงสนทนารู้จักกันไว้เถิด ลิมชองได้ฟังชาจินพูดดังนั้นก็ลุกขึ้นคำนับอังกาซืออีก อังกาซือได้ฟังชาจินว่าและเห็นลิมชองมาคำนับอีกก็ไม่คำนับตอบ พูดว่า อย่าคำนับเราเลย ลุกขึ้นเสียเถิด ลิมชองก็ลุกขึ้นนั่งที่ของตัว ชาจินเห็นอังกาซือทำกิริยาดังนั้นก็โกรธอยู่ในใจ ลิมชองลุกจากที่นั่งแล้วพูดว่า เชิญท่านอังกาซือมาเสพสุราโต๊ะเดียวกันเถิด อังกาซือก็ลุกไปนั่งกินโต๊ะเสพสุราอยู่ด้วยกัน แล้วจึงพูดกับชาจินว่า ท่านจัดหาโต๊ะและสุราเป็นอันดีมาคำนับเลี้ยงดูคนต้องโทษดังนี้เหตุผลประการใด ชาจินได้ฟังก็โกรธจึงพูดว่า ท่านนี้ไม่รู้จักอะไรเลย ลิมชองไม่เหมือนคนทั้งหลาย เขาเป็นครูทหารใหญ่ จึงได้คำนับเลี้ยงดูกันตามธรรมเนียม อังกาซือว่า เพราะท่านอยากจะใคร่รู้จักเพลงอาวุธต่าง ๆ มีคนต้องโทษมาพูดล่อลวงว่า เป็นครูทหาร รู้จักเพลงอาวุธ ท่านก็เชื่อฟัง จัดหาสิ่งของมาเลี้ยงดู แล้วให้เงินทองไป ซึ่งเพลงอาวุธนี้มิใช่รู้จักฝีมือเข้มแข็งทุกคนเมื่อไร มาพูดล่อลวงท่านแต่พอได้เงินไปใช้สอยแล้วก็จะไป ท่านอย่าได้เชื่อเลย ลิมชองได้ฟังอังกาซือพูดจาว่ากล่าวก็ไม่โต้ตอบประการใด ชาจินนั้นในใจไม่สบาย คิดแค้นอังกาซือยิ่งนัก จึงพูดว่า คนทุกวันนี้จนแล้วกลับมั่งมีทรัพย์สินก็ถมไป เกิดมาเป็นชายอย่าได้หมิ่นชาย ท่านเห็นลิมชองเป็นคนโทษก็มาดูถูกหาควรไม่ อังกาซือลุกขึ้นพูดว่า ถ้าลิมชองมาทดลองฝีมือกับเราชนะ เราจึงจะไม่ดูถูก ลิมชองถามชาจินว่า ท่านจะให้ข้าพเจ้าทดลองฝีมือหรือ ข้าพเจ้านี้เกรงใจว่า เป็นครูของท่าน จึงไม่อาจจะทดลอง อังกาซือได้ฟังว่า ไม่อาจทดลอง สำคัญว่า ลิมชองไม่รู้จักเพลงอาวุธ ก็ท้าทายชวนเร่งให้ทดลองฝีมือกัน ชาจินนั้นในใจอยากจะใคร่ดูฝีมือลิมชองจะเข้มแข็งสักเพียงไร แล้วอยากจะให้ชนะอังกาซือด้วย ครั้นลิมชองถามดังนั้น ชาจินจึงตอบว่า ท่านจะทดลองฝีมือก็ดีแล้ว แต่คอยอีกสักครู่หนึ่ง แสงเดือนงามแจ่มสว่าง จึงค่อยทดลองเพลงอาวุธ พูดแล้วก็ชวนกันกินโต๊ะเสพสุราต่อไป ประเดี๋ยวใจเดือนก็ขึ้นมาสูงแจ่ม อังกาซือลุกขึ้นจับกระบองชวนลิมชองว่า มาลองดูสักสองเพลงเถิด ลิมชองลุกขึ้นถือกระบองของผู้คุมแล้วคิดว่า อังกาซือนี้เป็นครูของชาจิน ถ้าเราทุบตีล้มลงหรือถูกเจ็บป่วยประการใด ชาจินจะโกรธเราดอกกระมัง คิดดังนั้นแล้วก็เหลียวไปดูชาจิน ชาจินเห็นก็แจ้งว่า ลิมชองเกรงใจ จึงพูดกับลิมชองว่า อังกาซือคนนี้เพิ่งจะเข้ามาอยู่กับข้าพเจ้าดอก ท่านอย่าเกรงใจ คนในตำบลบ้านนี้ไม่มีผู้ใดสู้ได้ อังกาซือจึงมีใจกำเริบ อยากจะดูฝีมือท่าน เชิญลองฝีมือกันเถิด อย่าเป็นกังวลถึงข้าพเจ้าเลย ลิมชองได้ฟังก็จับกระบองออกไปลองฝีมือกับอังกาซือได้สี่ห้าเพลง ลิมชองโดดออกมาร้องว่า อย่าเพิ่งก่อน ข้าพเจ้าแพ้อังกาซือแล้ว สู้ฝีมือท่านไม่ได้ ชาจินถามว่า โดดออกมาทำไม ยังไม่ทันเท่าไรกันก็บอกว่าแพ้ ข้าพเจ้าไม่เชื่อ ลิมชองว่า ข้าพเจ้าใส่คาอยู่เช่นนี้ต้องแพ้อยู่เอง ชาจินว่า ข้าพเจ้าลืมไปไม่ทันคิด พูดแล้วก็หยิบเอาเงินสิบตำลึงมาพูดกับผู้คุมว่า เวลาค่ำวันนี้ ข้าพเจ้าจะขอชมฝีมือลิมชองสักหน่อย ท่านจนไขคาออกจากคอลิมชองสักครู่ ถ้าลิมชองหลบหลีกหนีไปประการใด ท่านจงเอากับข้าพเจ้าเถิด ซึ่งเงินสิบตำลึงนี้ให้ท่านทั้งสองเป็นรางวัล พูดแล้วก็ส่งเงินสิบตำลึงให้ ผู้คุมทั้งสองเห็นชาจินมั่งมีทรัพย์สิน บ้านช่องโตใหญ่ กับชาจินเป็นคนดี มีคนนับถือ ชื่อเสียงก็ปรากฏ จึงไม่คิดกลัว รับเงินสิบตำลึกมาเก็บไว้ เอาลูกกุญแจไขคาที่ใส่คอลิมชองออก แล้วชาจินจึงพูดว่า ท่านครูทั้งสองจงทดลองให้เต็มฝีมือให้ข้าพเจ้าดูสักครั้ง อังกาซือนั้นสำคัญว่า ลิมชองสู้ไม่ได้โดดออกมา ครั้นถอดคาลิมชองแล้ว อังกาซือก็ถือกระบองมาท้าลิมชองว่า เรามาทดลองให้แพ้และชนะกัน ชาจินว่า ช้าก่อน ก็เอาเงินยี่สิบห้าตำลึงมาวางไว้บนโต๊ะแล้วพูดว่า ถ้าผู้ใดมีชัยชนะก็เอาเงินยี่สิบห้าตำลึงนี้ไป คนแพ้ก็ไม่ได้ ลิมชองได้ฟังก็แจ้งว่า ชาจินจะให้เราสู้รบให้เต็มฝีมือ จะได้ชนะอังกาซือ ลิมชองก็จับกระบองเข้าสู้รบกับอังกาซือไม่ทันถึงเพลง ลิมชองเอากระบองตีถูกขาอังกาซือล้มลง คนทั้งหลายที่นั่งดูอยู่นั้นก็หัวเราะเยาะอังกาซือ แล้วสรรเสริญว่า ลิมชองฝีมือเข้มแข็งนัก ชาจินเห็นฝีมือลิมชองก็ยินดี สั่งให้พยุงอังกาซือลุกขึ้น อังกาซือล้มลงด้วยความอับอาย ครั้นคนพยุงลุกขึ้นได้แล้วก็ก้มหน้าเดินออกจากบ้านชาจินไป ชาจินได้จัดโต๊ะและสุรามาเลี้ยงลิมชองกับผู้คุมทั้งสอง แล้วก็พูดจาหน่วงเหนี่ยวลิมชองไว้ยังไม่ให้ไป ลิมชองกับผู้คุมนั้นอยู่ที่บ้านชาจินเจ็ดวัน ผู้คุมทั้งสองก็รบกวนชาจินว่า อยู่ช้าไม่ได้ ชาจินว่า พรุ่งนี้ค่อยไปเถิด ครั้นเวลาค่ำ ชาจินกับลิมชองกินโต๊ะเสพสุราพูดจาจนสว่าง
ครั้นรุ่งขึ้น ชาจินก็เขียนหนังสือสองฉบับไปถึงผู้รักษาเมืองฉบับหนึ่ง ถึงขุนนางผู้กำกับคุกฉบับหนึ่ง ใจความที่จะฝากฝังให้ช่วยดูแลเอาใจใส่ลิมชองด้วย ครั้นเขียนหนังสือแล้ว ชาจินเอาเงินยี่สิบห้าตำลึงกับหนังสือมาบอกกับลิมชองว่า ถ้าท่านไปถึงเมืองชองจิวแล้ว จงเอาหนังสือนี้ไปให้ผู้รักษาเมืองฉบับหนึ่ง ให้ผู้กำกับคุกฉบับหนึ่ง ซึ่งคนทั้งสองนั้นชอบพอรักใคร่กันกับข้าพเจ้ามาก ถ้าเอาหนังสือไปให้แล้ว มีธุระสิ่งอันใดก็คงอุปถัมภ์ท่าน ลิมชองรับเงินยี่สิบห้าตำลึงให้กับผู้คุมทั้งสอง แล้วชาจินพูดว่า จงพากันไปเถิด ไม่สู้ไกลดอก อีกครึ่งวันก็จะถึง ผู้คุมทั้งสองรับเงินไว้ เอาคาใส่ลิมชองตามเดิม ลิมชองกับผู้คุมก็ลาชาจินออกจากบ้านเดินทางไป ชาจินตามส่งลิมชองจนพ้นเขตบ้านแล้วก็กลับมา ลิมชอง กับตังเทียว สิปา เดินทางไปได้ครึ่งวันถึงเมืองชองจิว แวะเข้าไปซื้อสุราและของกิน แล้วตังเทียว สิปา ก็คุมตัวลิมชองกับหนังสือของฮูอินตระลาการฉบับหนึ่งไปมอบให้ผู้รักษาเมืองชองจิว ผู้รักษาเมืองรับหนังสือฉีกผนึกออกอ่านแจ้งความซึ่งลิมชองต้องโทษเนรเทศมาทุกประการ ก็รับเอาตัวลิมชองไว้ เขียนหนังสือตอบไปถึงฮูอินตระลาการว่า ได้รับลิมชองขังไว้ แล้วมอบหนังสือให้ตังเทียว สิปา ถือกลับไป ตังเทียว สิปา รับหนังสือคำนับลากลับไปตังเกียเมืองหลวง ผู้รักษาเมืองชองจิวสั่งให้เอาตัวลิมชองไปส่งไว้ ณ คุก ผู้คุมรองก็รับตัวลิมชองไว้ให้อยู่นอกคุกคอยฟังโทษจะหนักเบาประการใด จึงจะได้ทำตามโทษ
ฝ่ายคนโทษในคุกแจ้งว่า มีคนโทษมาคนหนึ่ง ก็ชวนกันออกมาดู เห็นลิมชองมีลักษณะดี จึงบอกกับลิมชองว่า ท่านตกมาอยู่ที่นี่เห็นจะเหลือทน ซึ่งผู้กำกับคุกกับผู้คุมใหญ่ใจคอดุร้าย จะเอาแต่เงินทองอย่างเดียว ถ้ามีเงินทองให้ก็ดี ถ้าไม่มีเงินให้ก็พาลทุบตีเอาตัวไปจำขังไว้ในหลุมใต้ดินไม่มีผู้ใดทนได้ ลิมชองได้ฟังก็สะดุ้งใจ จึงถามคนโทษเหล่านั้นว่า ถ้าจะใช้สอยเงินทอง จะให้กับผู้ใดคนละมากน้อยเท่าไร คนโทษบอกว่า ถ้าท่านจะใช้สอยเงินทอง ต้องให้กับท่านผู้กำกับคุกห้าตำลึง ผู้คุมใหญ่ห้าตำลึง ตัวท่านจึงจะสบาย ถ้าไม่ได้เงิน ผู้กำกับมาถึงก็ให้เฆี่ยนร้อยหนึ่งก่อน แล้วจึงจะเอาตัวไปขังไว้ในหลุม ลิมชองได้ฟังก็นิ่งอยู่ในใจ พอผู้คุมใหญ่ไปถึงคุกก็ถามว่า คนที่ต้องโทษส่งมานั้นเอาตัวไว้ที่ไหน ลิมชองได้ฟังก็แจ้งว่า เป็นผู้คุมใหญ่ จึงบอกว่า ข้าพเจ้าชื่อ ลิมชอง อยู่ที่นี่ ผู้คุมใหญ่ตรงไปที่ลิมชอง ไม่เห็นลิมชองเอาเงินออกให้ ก็ด่าว่าด้วยคำหยาบช้าเป็นอันมาก แล้วพูดว่า ชีวิตของเจ้าคงอยู่ในเงื้อมมือเราดอก พวกคนโทษเหล่านั้นได้ฟังผู้คุมด่าลิมชองก็ชวนกันกลับเข้าไปในคุก ลิมชองเห็นผู้คุมโกรธ คนโทษไปหมดแล้ว ลิมชองหยิบเงินห้าตำลึงเข้าไปส่งให้ผู้คุมแล้วพูดว่า ท่านอย่าโกรธข้าพเจ้าเลย จงเอาเงินห้าตำลึงนี้ไว้เป็นค่าธรรมเนียมของท่าน ผู้คุมนั้นเห็นเงินก็มีความยินดี จึงถามลิมชองว่า เงินซึ่งจะให้ท่านผู้กำกับอยู่ในเงินนี้ด้วยหรือ ลิมชองว่า เงินห้าตำลึงนี้เป็นส่วนของท่าน ส่วนของผู้กำกับนั้นข้าพเจ้าจะให้อีก ผู้คุมก็ยินดีรับเงินห้าตำลึงมาใส่กระเป๋าไว้แล้วพูดว่า เราได้ยินข่าวเล่าลือมาว่า ท่านเป็นครูทหารมีฝีมือเข้มแข็งสัตย์ซื่อดีมี ผู้สรรเสริญอยู่เนือง ๆ ซึ่งความเรื่องนี้เพราะกอไทอวยข่มเหงกดขี่เอาตัวท่านทำโทษเนรเทศมา เราเห็นว่า ท่านมีลักษณะดี โทษทัณฑ์เท่านี้เห็นไม่เป็นไร นานไปข้างหน้าท่านจะได้เป็นขุนนาง ชื่อเสียงคงได้ปรากฏ ท่านอย่าได้วิตกเลย โทษของท่านเราจะช่วยสงเคราะห์ให้ ลิมชองจึงพูดว่า ท่านจงเมตตาแก่ข้าพเจ้าเถิด หาลืมพระคุณของท่านไม่ พูดแล้วก็หยิบเอาเงินสิบตำลึงกับหนังสือฉบับหนึ่งออกมาและพูดว่า ท่านจงเอาหนังสือกับเงินสิบตำลึงของข้าพเจ้าไปให้กับท่านผู้กำกับสักทีเถิด ลิมชองก็ส่งหนังสือกับเงินให้ ผู้คุมรับเงินกับหนังสือไปดูก็แจ้งว่า หนังสือของชาจิน จึงพูดว่า หนังสือของชาตัวกัวหนังมีมาตีราคาเท่าทองคำแท่งหนึ่ง ท่านอย่าวิตกเลย เราจะเอาไปให้ท่านผู้กำกับเอง ซึ่งธรรมเนียมที่คุกนี้คนโทษมาใหม่ต้องเฆี่ยนร้อยหนึ่งจึงเอาตัวเข้าคุก ถ้าท่านผู้กำกับว่า จะเฆี่ยนท่านร้อยหนึ่ง ท่านจงพูดแก้ไขว่า ป่วยมาแต่ตามทางแล้ว ท่านจงได้เอ็นดูเถิด ท่านพูดดังนั้นแล้วเราจะช่วยพูดกับผู้กำกับเอง ครั้นผู้กำกับไม่ทำเช่นนั้น คนทั้งปวงก็สงสัยว่า ได้เงินทอง จึงไม่ทำตามธรรมเนียม ลิมชองตอบว่า ท่านสั่งสอนข้าพเจ้าบุณคุณนักหนาแล้ว ท่านจงนั่งอยู่ที่นี่ก่อน เราจะเอาหนังสือกับเงินไปให้ผู้กำกับ พูดแล้วก็เดินไป ลิมชองจึงคิดว่า คนทุกวันนี้มีทรัพย์ก็ไม่ตาย ถ้าไม่มีเงินให้ ชีวิตก็คงตายในคุกนี้เอง
ฝ่ายผู้คุมเดินไปเกือบจะถึงบ้านผู้กำกับ ก็เอาเงินสิบตำลึงนั้นออกมานับไว้เป็นของตัวเสียห้าตำลึงมิให้ผู้กำกับรู้ แล้วพูดว่า ลิมชองคนโทษที่มาใหม่ข้าพเจ้าเห็นเป็นคนสัตย์ซื่อฝีมือเข้มแข็ง กอไทอวยแกล้งข่มเหงกดขี่ทำโทษเนรเทศมา กับชาตัวกัวหนังมีหนังสือมาฝากฝังท่าน โทษทัณฑ์สิ่งใดของลิมชองก็ไม่มี ท่านจะโปรดประการใด ผู้กำกับรับเงินมีความยินดี จึงพูดว่า ชาตัวกัวหนังมีหนังสือมาฝากฝัง ต้องลดหย่อนผ่อนให้ พูดแล้วก็ให้คนไปเอาตัวลิมชองมา แล้วผู้กำกับจึงพูดว่า เมื่อเตียคังเอี๋ยนครองราชสมบัติก็มีธรรมเนียมมานานแล้ว ถ้าคนโทษเข้ามาใหม่ต้องเฆี่ยนร้อยหนึ่งจึงส่งเข้าคุก ผู้คุมเอาตัวลิมชองเฆี่ยนเสียร้อยหนึ่งจึงส่งไปตามที่ ลิมชองได้ฟังก็ตกใจเข้าไปคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าป่วยมาแต่ตามทางยังไม่หายดี ท่านจงเมตตาแก่ข้าพเจ้าเถิด ผู้คุมว่า ลิมชองนี้ป่วยจริงยังไม่หาย ท่านจงงดไว้ก่อน ผู้กำกับนั้นรู้กันกับผู้คุมจึงพูดว่า ลิมชอบป่วยจริงก็งดไว้ ให้หายดีแล้วจึงค่อยเฆี่ยนตามธรรมเนียม บัดนี้ ก็ป่วยอยู่ เอาไปไว้คุกก่อน ผู้คุมจึงว่า คนโทษที่รักษาศาลเจ้าสำหรับคุกนั้นก็ไปเสียแล้ว บัดนี้ ไม่มีผู้ใดรักษาศาลเจ้า ขอให้ลิมชองไปรักษาศาลเจ้า จะได้จุดธูปเช้าเย็นเป็นธรรมเนียมมาแต่เดิม ผู้กำกับได้ฟังก็ยอมให้ลิมชองไปรักษาศาลเจ้า ผู้คุมกับลิมชองก็คำนับลาผู้กำกับมา แล้วผู้คุมจึงพูดกับลิมชองว่า ท่านรู้หรือไม่ว่า เราช่วยสงเคราะห์ท่าน การงานที่ศาลเจ้านั้นไม่มีสิ่งใด ถึงเวลาก็จุดธูปไหว้เจ้าแล้วกวาดศาลเจ้าเท่านั้นเอง ท่านดูผู้อื่นเถิด ทำงานวันยังค่ำ ซ้ำกลางคืนต้องขังคุกไว้ งานในคุกนี้ถ้าผู้ใดได้ไปรักษาศาลเจ้าก็จัดเป็นสบาย ถึงท่านเสียเงินให้เรา ก็มีความสุขมากกว่าคนทั้งปวง ลิมชองว่า ท่านช่วยข้าพเจ้าครั้งนี้บุญคุณนักหนา ถ้าสืบไปภายหน้ามีโอกาส ข้าพเจ้าจะสนองคุณท่าน
ผู้คุมได้ฟังก็ยินดี สั่งให้ลิมชองจัดสิ่งของพร้อมพาลิมชองไปอยู่ที่ศาล ครั้นไปถึงศาลเจ้า ลิมชองจึงหยิบเอาเงินมาอีกสามตำลึงส่งให้ผู้คุมแล้วพูดว่า ท่านจงสงเคราะห์ข้าพเจ้าให้ตลอดเถิด คาติดอยู่ที่คอเช่นนี้เป็นที่ลำบากนัก ท่านจงถอดเสีย อย่าใส่ไว้เลย ข้าพเจ้าไม่หลบหนีท่าน ผู้คุมรับเงินพูดว่า จะคิดอ่านให้ ก็วิ่งไปแจ้งกับผู้กำกับแล้วกลับมาถอดคาให้ลิมชอง ลิมชองค่อยมีความสบายกว่าแต่ก่อน ผู้คุมกลับมาบ้าน รุ่งเช้า ลิมชองจุดธูปเทียนไหว้เจ้าแล้วกวาดหน้าศาลเจ้า การงานสิ่งใดก็ไม่มี ไปเที่ยวที่ไหนก็ไปได้ ผู้กำกับและผู้คุมมิได้คิดสงสัยว่า ลิมชองจะหนี ลิมชองมีความสุขอยู่ที่ศาลได้ห้าสิบวัน ครั้นถึงฤดูหนาว ชาตัวกัวหนังก็ฝากเสื้อกางเกงมาให้ลิมชองมิได้ขาด อยู่มาวันหนึ่ง ลิมชองจุดธูปไหว้เจ้ากวาดศาลแล้วก็เดินเที่ยวเล่นที่หน้าศาลเจ้า ได้ยินเสียงคนมาร้องถามว่า ท่านลิมชองครูทหารจะไปข้างไหน จึงได้มาเดินเที่ยวอยู่ดังนี้