ประชุมพงศาวดาร/ภาคที่ 7/เรื่องที่ 1
๏วัน ๑๓ ฯ ๙ ค่ำ ปีมเมีย อัฐศก (จุลศักราช ๑๒๐๘) พระยาสมุทปราการบอกส่งตัวนายจีนกั๊ก นายเรือพระสวัสดิวารีแต่งไปค้าเมืองบาหลี กลับเข้ามาถึงกรุงเทพฯ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ถามจีนกั๊กด้วยการบ้านเมืองบาหลี ๚
๏วัน ๑ ๗ฯ ๑๑ ค่ำ ปีมเมีย อัฐศก เพลาค่ำ ๕ ทุ่มเศษ พระยาพิพัฒน์โกษานำคำให้การจีนกั๊กขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สั่งว่า ให้ส่งคำให้กรมพระอาลักษณจำลองไว้ที่โรงอาลักษณฉบับ ๑ นั้น
๏วัน ๒ ๘ฯ ๑๑ ค่ำ จุลศักราช ๑๒๐๘ ปีมเมีย อัฐศก หมื่นชำนาญนิพนธ์ กรมท่า นำคำให้การไปส่งนายเฑียรฆราษ นายเวรกรมพระอาลักษณ แล้ว ๚
๏ข้าพเจ้า จีนกั๊ก นายเรือ ให้การว่า พระสวัสดิวารีแต่งเรือกิมฉาย ยาว ๑๔ วา ปาก ๔ วา ลำ ๑ ให้ข้าพเจ้าเปนนายเรือ จีนคงเปนล้าต้า จีนฉายเปนหวยเตียว ลูกเรือ ๓๗ คน บรรทุกสินค้า เกลือ ๑๕๐ เกวียน น้ำมันมะพร้าวหนัก ๓๐๐ บาท ครั่งหนัก ๑๐๐ บาท น้ำตาลดำหนัก ๔๐๐ บาท ฝางหนัก ๔๐๐ บาท แพรจีนเจา ๒๐ ม้วน แพรผังสี ๓๐ พับ ไปค้าขายเมืองบาหลี ล่องไปจากกรุงเทพฯ ณวัน ๑๓ ฯ ๑๑ ค่ำ ปีมเสง สัปตศก ๚วัน ๑๑ ค่ำ เรือตกฦกผูกเชือกเสาเพลาใบพร้อมเสร็จ วัน ๑๑ ค่ำ ปีมเสงสัปตศกใช้ใบออกจากหลังเต่าลมเปนว่าวเปนสลาตัน ไปเดือน ๑ กับ ๗ วัน ถึงเมืองใหม่ (สิงคโปร์) แวะเข้าจำหน่ายสินค้าที่เมืองใหม่บ้าง ยังอยู่ที่เรือบ้าง แล้วข้าพเจ้า จัดซื้อกะทะ ๕๐๐ เถา สีเสียด ๒๐๐ บาท ถ้วยชามใหญ่น้อย ๑๐๐๐ ซอง ทองอังกฤษ ๑๐๐๐ ม้วน ไหมทอง ๕๐ หีบ ผ้าขาว ๕๐ พับ ผ้าเนื้อดิบ ๑๐๐ พับ สินค้าที่เมืองใหม่ลงบรรทุกเรือ ข้าพเจ้าไปจ้างต้นหนอังกฤษว่าราคาเดือนหนึ่ง ๗๐ เหรียญ ครั้นณวัน ๓ ค่ำ ปีมเสงสัปตศกใช้ใบเรือออกจากเมืองใหม่ ตัดข้ามช่องเมืองเรียว ๙ วัน ถึงเกาะถังปัวสือ เกาะ เปนรูปตะบะ เพลาพลบค่ำเรือเกยศิลาใหญ่ค้างอยู่ ชวนกันยก มือขึ้นมัสการเทพยดา แล้วกราบถวายบังคมสมเด็จพระพุทธเจ้า อยู่หัว ขอเอาพระเดชพระคุณปกเกล้าปกกระหม่อมเปนที่พึ่ง อย่าให้เรือเปนอันตรายเลย คลื่นลมก็สงบ ประมาณ ๓ ยาม น้ำขึ้น เรือจึงหลุดออกจากศิลาใหญ่ได้ ข้าพเจ้ากับลูกเรือชวน กันเปิดระวางน้ำดู ก็หาเห็นมีน้ำในระวางไม่ นายเรือว่ากับต้นหนอังกฤษว่าหลับตาใช้ใบเรือมาจนเกยศิลา ต้นหนอังกฤษตอบว่า ข้าเคยใช้กำปั่นน่าเรือจับเข็ม เรือจีนเอาข้างเรือจับเข็มอย่างนี้ ข้าไม่เคยใช้ ลูกเรือทั้งปวงร้องกับนายเรือว่า ถ้าไม่เปลี่ยน ต้นหนใหม่ เราก็จะชวนกันขึ้นเสีย ไม่เอาชีวิตรไปให้เปนเหยื่อปลาแล้ว แล้วชวนกันทอดสมอลง ข้าพเจ้าเห็นเรือ ปลาใช้ใบเข้ามาใกล้ ข้าพเจ้าจึงเรียกจีนนายเรือปลาเข้ามาว่าจ้าง โดยสานไปเมืองใหม่เปนเงิน ๑๖ ดุล ข้าพเจ้ากับต้นหนอังกฤษ ลูกเรือด้วยคน ๑ เข้ากัน ๓ คน ลงเรือปลา มาแต่เรือใหญ่ วัน ๓ ค่ำ ใช้ใบมาวัน ๑ กับคืน ๑ ถึงเมืองใหม่ ต้นหน อังกฤษก็ขึ้นอยู่ที่เมืองใหม่ ข้าพเจ้าเที่ยวหาต้นหนได้แขกมุกิด ๒ คนเปนต้นหนใหญ่คน ๑ รองคน ๑ ว่าราคากันไปถึงเมืองบาหลี จนกลับมาเมืองใหม่ เปนเงิน ๑๖๐ เหรียญ แขกมุกิดก็ยอม รับเปนต้นหน ข้าพเจ้าพาแขกมุกิด ๒ คน จ้างเรือปลาเปน เงิน ๔ เหรียญ
วัน ๔ ค่ำ ออกจากเมืองใหม่ รุ่งขึ้น ๓ ค่ำ เพลากลางวันถึงเรือใหญ่ เพลาเย็นถอนสมอใช้ใบเรือออกจากอ่าว ถังปัว ตั้งน่าเรือไปทิศใต้ไป ๓ วันถึงเกาะปุนโต ๆ อยู่ข้างตวัน ตก ใช้ใบเรือไปอิก ๕ วันถึงน่าเมืองหมาสิน ไปแต่เมือง หมาสินเพลากลางคืน ต้นหนห้ามไม่ให้ตามไฟ กลัวปลาใหญ่ จะมาหนุนเรือ ไป ๗ วัน เข้า ๒๑ วันถึงเมืองบาหลี ท่าเรือ จอดอยู่ข้างตวันตก ทอดสมอน้ำฦก ๖๐ วา กว้านสำปั้นลง ข้าพเจ้ากับต้นหนแขกก็ลงสำปั้น ลูกเรือแจวสำปั้นขึ้นบกชาย ทเล ข้าพเจ้ากับต้นหนแขกเดินบกไปเที่ยวหาห้างกะปิตัน ไป ถึงห้างกะปิตันปันตัดถามข้าพเจ้าว่า มาแต่เมืองไหน ข้าพเจ้าบอกว่าเรือมาแต่กรุงเทพ ฯ กะปิตันปันตัดก็ดีใจ จวนเพลาเย็น กะปิตันหาเข้าเลี้ยงข้าพเจ้ากับต้นหนให้กินอยู่เสร็จแล้ว กะปิตัน ให้ข้าพเจ้านอนที่ห้างคืน ๑
วัน ๔ ค่ำ ปีมเสงสัปตศกเพลาเช้า กะปิตันเอาเรือบด ๒ ลำให้ไปจูงเรือใหญ่ข้าพเจ้ามาทอดอยู่น่าห้าง น้ำฦก ๒๕ วา ครั้นเพลาค่ำประมาณ ๒ ยามเศษ เกิดลมพยุใหญ่พัดต้นมะพร้าว ต้นหมากต้นไม้ใหญ่หักเปนอันมาก เรือทอดสมอ ๔ ตัว สู้ลม อยู่ประมาณ ๓ ยามเศษจึงหายลมพยุ ครั้นรุ่งขึ้นวัน ๔ ค่ำ ข้าพเจ้าจัดสิ่งของกำนัน ๔ แห่ง ลงสำปั้นแจวเข้าไปประมาณ ๔ เส้นเศษถึงท่าห้างกะปิตัน ข้าพเจ้า จัดผลลำไยแห้ง ผลพลับแห้ง ผลส้มจีน ผลแห้วจีน กะเทียม ดอง ใบชา ปลาใบไม้ วุ้นเส้น เข้ากัน ๘ สิ่งกำนันกะปิตัน บ้านกะปิตันก่ออิฐถือปูน มุงกระเบื้อง มีจีนอยูที่บ้านกะปิตัน ๒๐ คน มีตลาด ๆ ขายผ้าแพร ผ้าขาว ร่ม ถ้วย ชาม ผักปลา กล้วย ส้ม ของกินเปนอันมาก มีคนซื้อคนขาย แต่ผู้ชาย เดินเสมอ แต่เพลาเช้าจนเพลาค่ำเปลี่ยนกันไปมาบ้างประมาณ ๑๐๐ คน ๒๐๐ คนเศษ ข้าพเจ้าให้กะปิตันพาข้าพเจ้าเอาของอิก ๘ สิ่งไปกำนันปลัดเมือง ข้าพเจ้าไปจากบ้านกะปิตันหนทางกว้างประมาณ ๖ วา ดินไปสัก ๓๐ เส้นเปนชั้นขึ้นไปลาดเหมือนตะ พานช้างสูง ๕ ศอก แล้วเปนที่เสมอไปประมาณ ๕ เส้น จึงเปนชั้นสูงขึ้นไปอิก ๕ ศอกเหมือนกัน ไปกว่าจะถึงบ้านปลัด เมืองเปนชั้น ๒๐ ชั้น มีบ้านอยู่ ๒ ข้างทางมีกำแพงดินกั้นน่าบ้าน แล้วปลูกต้นขนุน ต้นมะขาม ต้นกะดังงา ต้นมะพร้าว ต้นไทร ต้นมะม่วงบ้าง ทั้ง ๒ ฟากทางกิ่งประกัน ร่มแดดตลอดกันไปทุก ชั้น ๆ จนถึงบ้านปลัดเมือง ที่อยู่ชาวบ้านทำเปนตึกดินดิบ หลัง คาเปนกระโจม มุงแฝกเหมือนกัน หลังบ้านเปนนาหามีกำแพง กั้นไม่ เลี้ยงโค เลี้ยงกระบืออยู่หลังบ้าน แต่บ้านกะปิตันไป จนถึงบ้านปลัดเมืองทางประมาณ ๑๐๐ เส้น ข้าพเจ้าไปถึงบ้าน ปลัดเมือง ข้าพเจ้าก็ยกของขึ้นไปบนเรือนปลัดเมือง ๆ ถามกะ ปิตันว่ามาแต่ไหน กะปิตันบอกว่าพระสวัสดิวารีเจ้าทรัพย์อยู่ที่ กรุงเทพ ฯ แต่งให้จีนกั๊กเปนนายเรือคุมสินค้าออกมาค้าขายเมือง บาหลี ปลัดเมืองถามข้าพเจ้าว่ามาค้าขายเมืองบาหลีนี้จะประสงค์ สินค้าสิ่งใด ข้าพเจ้าบอกปลัดเมืองว่าจะจัดหาซื้อเพ็ชร ทับทิม มรกฎใหญ่ ๆ ที่มีราคาเข้าไปทูลเกล้า ฯ ถวายสมเด็จพระพุทธเจ้า อยู่หัวณกรุงเทพ ฯ ปลัดเมืองว่ากับข้าพเจ้าว่าเมืองบาหลีนี้เปนเมือง ป่าหามีเพ็ชรพลอยไม่ มีแต่เข้าสารถั่วงากาแฟยาเส้นกับผลไม้ สด ทุเรียน มังคุด ลางสาด เงาะ ส้มโอ ส้มเปลือกบาง ส้ม มะแป้น ส้มเกลี้ยง ต่าง ๆ มีอยู่เปนอันมาก ปลัดเมืองสั่งให้ คนจัดหาเข้ามาเลี้ยงข้าพเจ้า ๆ เห็นบ้านปลัดเมืองก่อกำแพงดิน ล้อมบ้านกว้างประมาณ ๓ เส้นเศษ มีโรงข้างน่านอกกำแพง ๓ หลัง ๆ ๑ ขื่อประมาณ ๙ ศอก ๔ เหลี่ยม เสาเครื่องบนทำด้วย ไม้สักตั้งอยู่กลาง มีตะเข้ ๔ มุม กลอนไม้ไผ่มุงด้วยแฝกหลังคา รอบแหลมเช่นเดียวกับหลังคาด่านเหมือนกันทั้ง ๓ หลัง หลังที่รับ แขกไม่มีฝา พื้นดินสูงประมาณศอก ๑ มีแคร่ตั้งไว้ ๒ อันยาว ประมาณ ๕ ศอก กว้างประมาณ ๓ ศอก ตั้งอยู่มุมละอัน มีช่อง เดินกว้างประมาณ ๓ ศอก ข้าพเจ้าเห็นมีปืนคาบศิลาวางไว้บน กระไดแก้ว ประมาณ ๖๐ บอก ๗๐ บอก ทวนยาว ๙ ศอก ๑๐ ศอก วางไว้บนขื่อโรง ประมาณ ๖๐ เล่ม ๗๐ เล่ม ตัวนายนั่งอยู่บน แคร่นุ่งผ้าตาโถงคาดเอว ผ้าริ้วทอด้วยไหม ตัดผมดอกกระ ทุ่ม อายุประมาณ ๔๐ ปีเศษ มีเบาะผ้าแดงวางบนเสื่อสานด้วย ไม้ไผ่เส้นเลอียดรองนั่งผืน ๑ พวกขุนนางบ่าวไพร่ ชายหญิง นั่งอยู่ที่พื้นดินข้างล่างเสมอกับข้าพเจ้าประมาณ ๓๐ คน มีหญิง สาว ๆ ประมาณ ๑๑ คน ๑๒ คนนั่งอยู่ข้างแคร่ พวก ๑ นุ่งผ้า ไหมตาตรางแขก นุ่งผ้าด้ายตาตรางแขกบ้าง ห่มผ้าตาตรางสี ต่าง ๆ ห่มผ้าย้อมขมิ้นสีเหลืองบ้าง นั่งดูข้าพเจ้า พวกผู้ชาย บ่าวปลัดเมืองยกโต๊ะไม้กลึงไม่ได้ทาสี รูปโต๊ะนั้นเหมือนรูป โต๊ะเท้าช้าง ในโต๊ะนั้นรองใบตองสด เข้ากองกลางโต๊ะ มีกะทง ใบตองล้อมกองเข้า ๗ กะทง ในกะทงเนื้อสุกรย่างกะทง ๑ กะทง ตับสุกรทอดกะทง ๑ กะทงไส้สุกรทอดน้ำมันกะทง ๑ กะทง ถั่วเหลืองขั้วน้ำมันกะทง ๑ กะทงเกลือป่นกะทง ๑ พริกเทศกับหอมทอดน้ำมันกะทง ๑ แตงกวาผ่าตามยาวกะทง ๑ ให้ข้าพเจ้า รับประทาน หามีชามเข้าไม่ ข้าพเจ้าเรียกเอาชามเข้า ๒ ชามมา ใส่เข้ารับประทาน ข้าพเจ้ากับกะปิตันเปิบเข้าหยิบกับรับประทานเหมือนอย่างไทย พวกชายหญิงที่นั่งดูข้าพเจ้ารับประทาน พูด กันตามภาษาบาหลียิ้มแย้มหัวเราะกันทุกคน ครั้นข้าพเจ้ารับประ ทานเข้าอิ่มแล้ว ปลัดเมืองถามข้าพเจ้าว่า ที่กรุงเทพ ฯ กิน เข้าอิ่มแล้วกินอะไรอิกบ้าง ข้าพเจ้าบอกว่ากินเข้าแล้ว กินขนม กินลูกไม้ต่าง ๆ บ้างเปนของหวาน ปลัดเมืองจึงให้คนยกโต๊ะไม้ กลึงมาโต๊ะ ๑ ใส่ทุเรียน มังคุด ส้มเปลือกบาง น้อยหน่า กล้วย สั้นบ้าง ออกมาให้ข้าพเจ้ารับประทาน แล้วเอาหมากพลู ใส่ หีบทองเหลืองเครื่องในตลับซองพลู ทำด้วยเงิน พลูนั้นจีบ เหมือนไทยจีบ ๆ ๑ ซ้อน ๓ ใบผูกด้วยด้าย กินปูนขาว ข้าพเจ้า รับประทานแล้ว กะปิตันกับปลัดเมืองบ่าวประมาณ ๔ - ๕ คน พาข้าพเจ้าไปหาเจ้าเมืองรอง เดินไปแต่บ้านปลัดเมืองประมาณ เส้นเศษ ทางเดินสูงเปนชั้นขึ้นไปกว่าที่บ้านปลัดเมืองประมาณ ๕ ศอก ลาดเหมือนตะพานช้าง มีบ้านอยู่ ๒ ฟากทาง ปลูกต้นไม้ น่าบ้านเรียงไปทั้ง ๒ ฟาก กิ่งประกันร่มแดด แล้วเปนที่เสมอ ไปประมาณเส้นเศษก็ถึงบ้านเจ้าเมือง มีกำแพงดินล้อมบ้านกว้างประมาณ ๑๐ เส้น สูงประมาณ ๕ ศอกเศษ ทำหลังคาบนกำแพง มุงแฝกให้ร่มฝนรอบทั้ง ๔ ด้าน กะปิตันกับปลัดเมืองพาข้าพเจ้าเข้าประตูชั้นนอก เข้าไปประมาณ ๑๐ วาถึงโรงที่รับแขก ขื่อ กว้างประมาณ ๓ วา ๔ เหลี่ยม พื้นดินหลังคาเปนกระโจมมีแคร่ ที่นั่งอยู่ ๒ ข้างเหมือนกับบ้านปลัดเมือง ข้าพเจ้าเห็นมีคนอยู่ ชาย ๓ หญิง ๕ รวม ๘ คน ผู้ชายเอาเสื่อสานด้วยไม้ไผ่ กว้าง ๔ ศอก ยาว ๕ ศอก มาปูลงที่พื้นดิน ๓ ผืน กะปิตันจึงบอก ข้าพเจ้าภาษาจีนว่าให้นั่งอยู่ที่นี่ก่อน ข้าพเจ้าก็นั่งลง ปลัดเมือง ที่พาข้าพเจ้าไปจึงเรียกหญิง ๒ คนมา ๆ นั่งพับเพียบประสานมือไว้ บนตัก ปลัดเมืองพูดภาษาบาหลีกับหญิง ๒ คนประการใดข้าพเจ้า ไม่ทราบ หญิง ๒ คนก็เปิดประตูเข้าไปข้างใน ข้าพเจ้าเห็น มีปืนคาบศิลาวางไว้บนกระไดแก้วประมาณ ๘๐ บอก ๙๐ บอก ทวนยาว ๙ ศอก ๑๐ ศอก ไว้บนขื่อโรงรับแขกประมาณ ๗๐ เล่ม ๘๐ เล่ม แล้วกะปิตันบอกข้าพเจ้าว่า หลังบ้านเจ้าเมือง รองมีตลาด ๆ หนึ่ง จะมีคนซื้อขายอยู่มากน้อยเท่าใดข้าพเจ้า หาเห็นไม่ เห็นขุนนางนุ่งผ้าขาวคาดผ้าขาวเหน็บกฤชฝักไม้ลาย ไว้ผมมวยเหมือนพราหมณ์ ปักดอกลั่นทมที่มวยผมเหมือนกัน ทั้ง ๔ คนมาทางประตูที่ข้าพเจ้าเข้าไปนั่งอยู่บนแคร่ก่อน อยู่ประ มาณครู่ ๑ เจ้าเมืองจึงออกมา ข้าพเจ้าเห็นนุ่งผ้าไหมตาโถงตา โต ๓ นิ้ว ตาผ้ามีแต่สีขาวสีดำ นุ่งผ้าเอาชายข้างหนึ่งเข้าข้างใน แล้วพันมาทับกันเหลือชายข้าง ๑ ประมาณ ๓ ศอก หยิบกลาง มาเหน็บ แล้วเอาผ้าไหมริ้วแดงริ้วดำยาวไปตามผืนพันเอวเข้า ๓ รอบ ชายผ้าเอาด้ายขาวเข็ดยาว ๔ ศอกชายผ้าพันทับเข้าอิก ๓ รอบ เหน็บกฤชฝักทองคำ ตัดผมดอกกะทุ่ม โพกผ้าแดง กว้างประมาณ ๓ นิ้วรอบชาย ๒ ข้าง ผูกข้างหลัง อายุประมาณ ๓๐ ปีเศษ มีหญิงอายุ ๑๑ ปี ๑๒ ปี ถือพานหมากทองคำคน ๑ ถือ ร่มเมืองจีนคันยาวปิดทองทั้งคัน ๑ กล้องสลัดมีลูกดอกคนละคัน ๒ เดินเปล่ามาคน ๑ ตามออกมาด้วย รูปพานหมากรีเหมือนรูปไข่ ปากกว้างโดยรีประมาณ ๑๕ นิ้วสูงคืบเศษ เครื่องในพานจะเปน ทองเงินประการใดข้าพเจ้าไม่เห็น เจ้าเมืองขึ้นนั่งบนแคร่ ขุนนาง นุ่งขาว ขุนนางคาดเอว ขุนนางผ้าขาว ๔ คนนั้นนั่งขัดสมาธิ์ประ สานมือไว้บนตักนั่งอยู่บนแคร่ผินหน้าเข้าหากัน ข้างขวา ๒ ข้าง ซ้าย ๒ ปลัดเมืองกะปิตันกับข้าพเจ้า ก็นั่งขัดสมาธิ์ประสานมือ อยู่ที่เสื่อพื้นดิน ห่างน่าเตียงที่เจ้าเมืองนั่งออกมาประมาณ ๔ ศอก ข้าพเจ้าเห็นหญิงออกมาแต่ข้างใน มานั่งอยู่ข้างหลังแคร่ที่เจ้าเมือง นั่งประมาณ ๕๐ คนเศษ ผู้ชายเข้ามาทางข้างน่าประมาณ ๓๐ คน เศษ มานั่งอยู่ดินชั้นล่างต่ำกว่าที่ข้าพเจ้านั่งประมาณศอกเศษ แล้วเจ้าเมืองพูดภาษาบาหลีให้กะปิตันถามข้าพเจ้าภาษาจีน ว่าข้าพเจ้าเปนลูกค้ามาแต่เมืองไหน ข้าพเจ้าบอกว่าเรือมาแต่ กรุงเทพ ฯ เหมือนข้าพเจ้าบอกกับปลัดเมือง เจ้าเมืองจึงว่าเมือง บาหลีเปนเมืองป่าหามีเพ็ชรพลอยไม่ มีแต่เข้าสารถั่วงา ผลกาแฟยาเส้น ผลไม้ต่าง ๆ แล้วเจ้าเมืองจึงพูดภาษาบาหลีกับขุนนางที่นั่ง อยู่บนแคร่ กะปิตันปันตัดแปลเป็นภาษาจีนให้ข้าพเจ้าฟัง ว่าเจ้า เมืองถามขุนนาง ๔ คนว่า แต่เมืองบาหลีตั้งมาจนทุกวันนี้ไม่มีเรือ โตใหญ่มาค้าขายเหมือนลำนี้เลย ข้าพเจ้าจึงตอบว่าท่านพระสวัสดิวารีเจ้าทรัพย์อยู่ที่กรุงเทพ ฯ แต่งสำเภาเรือปากใต้ไปเที่ยวค้าขายหลายบ้านหลายเมืองจะต้องการพลอย เพ็ชร ทับทิม มรกฎที่ใหญ่ ๆ ไปทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็หาไม่ได้ มีแต่เล็ก ๆ เท่าผลสวาดิผลบัวบ้าง กล่ำใหญ่กล่ำเล็กบ้าง ได้ ยินชื่อเมืองบาหลีนี้ว่าเปนเมืองใหญ่ตั้งมาช้านาน หามีลูกค้าผู้ใดไป ค้าขายถึงไม่ จึงแต่งเรือชนิดกลางปาก ๔ วา บรรทุกสินค้าได้ หนักสักห้าพันเศษ เปนทุนเงินสักหมื่นเหรียญเศษ ท่านพระ สวัสดิวารีสั่งมาว่า ถ้าพบเพ็ชรพลอยที่ดีจะเปนราคามากน้อยเท่า ใดก็ให้ซื้อเข้าไปให้สิ้นเงินหมื่นเหรียญ จะได้พลอยสักเม็ด ๑ ฤๅ ๒ เม็ดก็ตามเถิด เจ้าเมืองจึงตอบว่า เมืองบาหลีนี้เปนเมือง ป่าเมืองเกาะ หามีของดีวิเศษไม่ มีแต่ของป่าเงินทองเบี้ยอีแปะ เมืองอื่น ๆ เอามาแลกของป่าไป แล้วข้าพเจ้าก็ลาว่าจะไปหา เจ้าเมืองกาล่งกง ซึ่งเปนเจ้าเมืองผู้ใหญ่ กะปิตันก็พาข้าพเจ้า เดินออกมาจากบ้านเจ้าเมืองขึ้นเนินเขาสูงขึ้นไป ๘ ชั้น ทางประ มาณ ๒๐๐ เส้นเศษ มีบ้าน ๒ แถวมีต้นไม้ทั้ง ๒ ฟาก ร่มตลอด ไปจนถึงบ้านเจ้าเมืองกาล่งกง มีกำแพงก่อด้วยอิฐสุกใบสอดินกว้างประมาณ ๑๕ เส้นเศษ สูง ๕ ศอก หนา ๓ ศอกเศษ หลัง กำแพงกลมเปนกาบกล้วย ที่น่าประตูก่อด้วยอิฐสุกเปนแท่น กว้าง ๕ ศอก ๔ เหลี่ยม สูงประมาณ ๘ ศอก แล้วปลูกโรง เสาไม้จริงเครื่องบนไม้ไผ่หลังคามุงแฝกกรวมแท่นไว้ เอาปืนปะ เรี่ยมทองยาวประมาณ ๔ ศอก ใหญ่รอบ ๓ กำ ใส่รางวางไว้บนแท่นบอก ๑ กะปิตันบอกข้าพเจ้าว่า ปืนบอกนี้เปนของอังกฤษให้ ไว้เปนสัญญา จาฤกหลังปืนเปนหนังสืออังกฤษ ว่าปืนบอกนี้ อยู่ที่เมืองบาหลีตราบใด อังกฤษไม่มากระทำอันตรายกับเมือง บาหลีเปนอันขาดทีเดียว พ้นประตูเข้าไปสัก ๑๐ วามีสระ ๆ ๑ กว้างยาวประมาณ ๒ เส้น มีเขื่อนตรุด้วยไม้ พ้นสระไปอิก ๘ วา ถึงกำแพงชั้น ๒ มีเสาศิลากลมใหญ่รอบ ๓ กำ สูง ๓ ศอก ตั้งเรียงห่างกันคืบ ๑ ข้างบนมีศิลาหนา ๑๖ นิ้ว ๔ เหลี่ยม ยาว ๔ ศอก ๕ ศอกบ้างทับบนปลายเสาศิลา เปนเสาศิลายาวประมาณ เส้นเศษ พ้นเสาศิลาไป ๒ ข้างก่อด้วยอิฐประตูอยู่กลางทำด้วย ไม้สัก บนหลังประตูก่ออิฐเปนหลังเจียดหาได้ถือปูนไม่ มี โรงอยู่โรง ๑ ทำฝาหลังคาเหมือนกับที่บ้านเจ้าเมืองรอง แต่หา เห็นมีปืนคาบศิลา หอก ทวน ไม่ จะเอาไปข้างไหนข้าพเจ้า ไม่ทราบ กะปิตันให้ข้าพเจ้าพักอยู่ที่โรงเปนเพลาเย็น ข้าพเจ้า เอาของกำนัน ๘ โต๊ะตั้งไว้ที่โรง ข้าพเจ้าเห็นชาย ๓ หญิง ๒ นั่งอยู่ที่โรง กะปิตันเรียกหญิงที่อยู่ในโรงมา ๒ คน กะปิตันพูดกับหญิง ๒ คนเปนภาษาบาหลี จะพูดกันประการใดข้าพเจ้าไม่ทราบ หญิง ๒ คนก็เดินเข้าไปประตูชั้นใน ชาย ๓ คนจึง เอาเสื่อสานด้วยไม้ไผ่ กว้าง ๔ ศอก ยาว ๕ ศอกมาปูลงที่พื้นดิน น่าแคร่ ๔ ผืน ขุนนางนุ่งผ้าขาวคาดผ้าขาวไว้ผมมวยเหมือนพราหมณ์ปักดอกไม้สดที่มวยผม เหน็บกฤชฝักไม้ลายมานั่งอยู่ บนแคร่ขัดสมาธิ์ประสานมือไว้บนตัก เหมือนกับที่บ้านเจ้าเมืองรอง ทั้ง ๔ คน แล้วมีคนนุ่งผ้าตาโถงไว้ผมมวยเหน็บกฤช นั่งขัดสมาธิ์ประสานมืออยู่ที่พื้นดินข้างล่างน่าแคร่ ๓๐ คน แคร่นั้นยาว ๖ ศอก กว้าง ๔ ศอก ปูเสื่อหวาย มีเบาะผ้าแดงวางบนเสื่อหวายเบาะ ๑ อยู่ประมาณครู่ ๑ เจ้าเมืองกาล่งกงก็ออกมา ข้าพเจ้าเห็นนุ่งผ้าไหม ตาโถงตาโต ๔ นิ้ว ตาผ้ามีแต่สีขาวสีดำ นุ่งผ้าเอาชายข้าง ๑ เข้าข้างใน แล้วพันมาทับกันเหลือชายข้างหนึ่งประมาณ ๓ ศอก หยิบกลางมาเหน็บพก แล้วเอาผ้าไหมริ้วแดงริ้วดำยาวไปตามผืน พันเอวเข้า ๓ รอบ ชายผ้าเอาด้ายเข็ดขาวยาว ๔ ศอกต่อชายผ้า พันทับเข้าอิก ๓ รอบ เหน็บกฤชฝักทองคำด้ามงา ผมดอก กะทุ่มหามีผ้าโพกไม่ อายุประมาณ ๖๐ ปีเศษ ไว้หนวดริม ฝีปากข้างบนยาว ๓ นิ้ว มีหญิงสาวอายุ ๑๘ ปี ๑๙ ปี ๒๐ ปี ๒๐ปีเศษบ้าง ๗ คนตามออกมา ถือพานหมากทองคำสลักรูปรีเปนรูปไข่ปากกว้าง ๑๔ นิ้ว ๑๕ นิ้ว สูงคืบเศษ นั่งถือคนทีดินปากเลี่ยมทอง ฝาปิดเปนพุ่มดอกไม้ปิดทองคน ๑ ถือทวนภู่ไหมแดงฝักปิดทองคำทาดำยาวประมาณ ๔ ศอกเศษ ๒ คน เดินเปล่ามาด้วย ๓ คน นุ่งผ้า ริ้วแดง ริ้วเขียว ริ้วขาว ห่มผ้าคล้องฅอสีเหลืองสีแดงบ้าง เจ้าเมืองกาล่งกงเดินมาถึงโรงแล้วขึ้นนั่งบนแคร่ คนที่นั่งอยู่ข้างล่าง ๓๐ คน ยกมือขึ้นไหว้แล้วประสานมือบนตัก ผู้หญิงที่ตามออกมานั่งอยู่ ข้างแคร่ทั้ง ๗ คน ข้าพเจ้านั่งอยู่กับกะปิตันตรงน่าแคร่ออกมา ประมาณ ๕ ศอก เจ้าเมืองถามภาษาบาหลี กะปิตันแปลภาษาจีน กับข้าพเจ้าว่าเปนลูกค้ามาแต่ไหน ข้าพเจ้าบอกความเหมือนกับข้าพเจ้าบอกแก่เจ้าเมืองคนก่อน แล้วถามว่ามาทางไกลลำบาก นักฤๅ ข้าพเจ้าบอกว่ามาทางไกลข้ามทเลฦกคลื่นใหญ่ลมกล้ามา ๔ เดือนเศษจึงถึง ได้ความลำบากหนักหนา แล้วถามว่าที่ กรุงเทพ ฯ บ้านเมืองโตใหญ่มีผู้คนมากอยู่ฤๅ ข้าพเจ้าบอกว่าที่กรุงเทพ ฯ ไพร่บ้านพลเมืองมีหลายภาษา แต่ไทยภาษาเดียว ก็มากจะประมาณไม่ถูก ยังพวกจีนแต้จิ๋ว ฮกเกี้ยน ไหหลำ เข้ามาพึ่งพระเดชเดชานุภาพตั้งทำมาหากินอยู่ที่กรุงเทพ ฯ แลหัว เมืองขึ้นกับกรุงเทพ ฯ ก็หลายหมื่น ลาว มอญ พม่า ทวาย แขก ฝรั่ง ก็มีอยู่เปนอันมาก สนุกสบายมั่งคั่งบริบูรณ์ มีเรือรบ เรือไล่ปาก ๙ ศอก ๑๐ ศอก ยาว ๑๑ วา ๑๒ วา เปนอันมาก มี กำปั่นรบปากกว้าง ๓ วา ๔ วา ๕ วา ยาว ๑๔ วา ๑๕ วา ๒๐ วา มี ปืนกระสุน ๕ นิ้ว ๖ นิ้ว รายแคมลำหนึ่ง ๑๘ บอก ๒๐ บอกบ้าง ที่ลำใหญ่มีปืนรายแคม ๒ ชั้น ลำละ ๓๐ บอก ๓๔ บอกบ้าง ทั้งใหญ่ทั้งเล็ก ๒๐ ลำ ๓๐ ลำ สำหรับไปลาดตระเวนรักษาเขตรแดนจีนที่มีสติปัญญากว้างขวางก็โปรดเกล้า ฯ ตั้งให้เปนพระยาเปนพระ เปนหลวง เจ้าภาษีบ้าง เจ้าสัวบ้าง ที่เปนลูกค้ามีเงินทองก็มาก คนหนึ่งมีสำเภาไปค้าเมืองจีนบ้าง เรือตั้วแงไปค้าเมืองแขกข้าง ฝ่ายตวันตกบ้าง คนหนึ่ง ๔ ลำ ๕ ลำทั้งใหญ่ทั้งเล็กสัก ๑๔๐ ลำ ๑๕๐ ลำ ลูกค้าเมืองจีนแต่งสำเภาเข้าไปค้าขายปีหนึ่ง ๑๐๐ ลำ ๑๐๐ ลำเศษบ้าง กำปั่นแขก กำปั่นฝรั่งไปค้าขายปีหนึ่ง ๒๐ ลำ ๓๐ ลำบ้าง เรือลูกค้ามลายูไปค้าขายปีหนึ่ง ๔๐ ลำ ๕๐ ลำบ้าง แล้วถามว่าสำเภาโตฤๅเล็ก ข้าพเจ้าบอกว่าเรือที่ข้าพเจ้าออกมานี้ เปนอย่างกลาง จึงถามว่าเรือปากกว้างยาวเท่าไร ข้าพเจ้าบอกว่าปากกว้าง ๔ วา ยาว ๑๔ วา จึงถามว่าที่กรุงเทพ ฯ มีสินค้าสิ่งไร บ้าง ข้าพเจ้าบอกว่าสินค้าหยาบ ๆ ที่บรรทุกสำเภานั้น ฝาง ไม้ แดง เขา เปลือกโปลง พริกไทย เนื้อปลาต่าง ๆ แต่ของ เลอียดที่มีราคา รังนก กระวาน งาช้าง นอระมาด เร่ว น้ำตาลทราย ปีกนก ดีบุก ไหม ครั่ง เจ้าเมืองกาล่งกงจึงว่าที่เมืองบาหลีนี้ เปนเมืองเกาะหามีสินค้ามากไม่ มีแต่ เข้า ยาสูบ กาแฟ แล้ว เจ้าเมืองกาล่งกงจึงให้คนยกเข้ามา ให้ข้าพเจ้ากับกะปิตันปันตัด รับประทาน กับเข้าเหมือนกับปลัดเมืองทำมาให้ข้าพเจ้ารับประทาน ครั้นข้าพเจ้ารับประทานแล้วก็ลาเจ้าเมืองกาล่งกงจะกลับมาเรือ เจ้าเมืองจึงให้กะปิตันบอกข้าพเจ้าว่า อย่าเพ่อไปก่อนเลยค่ำมืดแล้ว นอนที่นี่สักคืนหนึ่งเถิด จะมีหนังให้ดู ข้าพเจ้าก็อยู่ ครั้นเพลาค่ำพวกบาหลีจึงเอาจอหนังมาตั้งที่น่าโรง จอหนังทำด้วยผ้าขาว กว้าง ๕ ศอก ๔ เหลี่ยม แล้วจุดตะเกียงแขวนไว้ข้างหลังจอมีกระดานบังลม ตัวหนังสูงคืบ ๑ จมูกผอม แขน เท้า ยาว ผอมกะดิกได้เหมือนหนังแขก มีกลองใบ ๑ ฆ้องโหม่งใบ ๑ ซอ คัน ๑ แล้วตีเกราะด้วย ตัวหนังเอาปักไว้กับหยวกกล้วย ๕ ท่อน ท่อนละ ๑๐ ตัวเปนหนัง ๕๐ ตัว เอาขึ้นเชิดทีละตัว ร้องภาษาบาหลี ตีฆ้องกลองสีซอ สิ้นบทแล้ววางหนังลงเสียเอาตัวอื่นขึ้นเชิดต่อไปกว่าจะสิ้นทั้ง ๕๐ ตัว เจ้าเมืองก็ดูอยู่ด้วยกับข้าพเจ้าเพลาสักยามหนึ่งเจ้าเมืองก็กลับเข้าไปข้างใน แต่คนพวกชาวบาหลีนั้นยังดูอยู่ทั้งหญิงทั้งชายประมาณ ๕๐ คน ๖๐ คน ดึกแล้วข้าพเจ้านอนอยู่ที่โรง หนังนั้นเล่นไปจนรุ่ง ครั้นเพลาเช้าเจ้าเมืองสั่งให้หาเข้ามาเลี้ยงกะปิตันกับข้าพเจ้ากับลูกเรือ เข้าแลกับเข้าเอามาให้กินก็เหมือนกับที่เอามาให้รับประทานครั้งก่อน หาแปลกออกไปไม่ ข้าพเจ้ารับประทานแล้วสักครู่ ๑ เจ้าเมืองออกมา ข้าพเจ้าเห็นเหมือนกับออกมาครั้งก่อน แต่ผ้านุ่งนั้นเปลี่ยนเปนผ้าตาเขียวแดง ข้าพเจ้าบอกให้กะปิตันลาจะกลับไปเรือ เจ้าเมืองจึงให้กะปิตันบอกข้าพเจ้าว่า อย่าเพ่อไปก่อน จะมีลครให้ดูข้าพเจ้าก็อยู่ เจ้าเมืองเรียกลครเล่น ข้าพเจ้าเห็นตัวลครชาย ๕ หญิง ๕ รวม ๑๐ คน ผู้ชายนุ่งผ้าตาโถงโจงกระเบนชาย ๑ เหน็บข้างน่าชาย ๑ ผ้าคาดเอวเหน็บกฤช ข้อมือสักผูกผ้าขาวทั้ง ๒ ข้าง ชายผ้าห้อยยาวสักคืบ ๑ ศีศะใส่หมวกใบลานเย็บข้างบนแบนเหมือนซองพลู แล้วเอาดอกไม้สด ดอกลั่นทม ดอกจำปาเหลือง ดอกจำปาขาว ดอกอัญชัน ดอกชบา เหน็บเข้ากับหมวกใส่คน ๑ สี่คนหาได้ใส่หมวกไม่ ผู้หญิงนุ่งผ้าแขก พันแล้วเอาแพรผังสีเชียสา สีเขียว สีแดง สีเหลือง สีคราม สีขาว เหน็บเอวข้าง ละ ๕ สี ห้อยลงมาทั้ง ๒ ข้าง ยาวข้างละศอกเศษ มีแพรแดงคาดนม เท้าใส่กำไลเงินกลม ข้อมือใส่กำไลแบนเปนน่ากระดานข้างละ ๒ เส้น ถือพัดด้ามจิ้วคลี่ทั้ง ๒ มือ ใส่หมวกใบลานประดับด้วยดอกไม้คน ๑ สี่คนไม่ได้ใส่หมวก ปี่พาทย์มีฆ้องหุ่ยแขวน ๓ ใบ กลองแขกใบ ๑ ขลุ่ยคัน ๑ ฆ้องราวราง ๑ รางทำเหมือนรางระนาด แต่หางอนไม่ ตรง เอาฆ้องผูกบนปากรางเรียงกัน ๔ ใบ ตีด้วยไม้ตีระนาด ๆ นั้นทำด้วยทองเหลือง หลังคลุ่มโต ๙ นิ้ว ยาวคืบ ๑ แล้วเอาไม้ไผ่ลำโตประมาณ ๒ กำ ตัดเปนกระบอกยาวปล้อง ๑ เท่ากัน ๔ กระบอก ตั้งเรียงกันบนกระ ดานมีหลัก ๒ ข้าง แล้วเอาไม้กระหนาบเรียงเข้ากับหลัก แล้วจึงเอาลูกระนาดวางบนปากกระบอก ตีด้วยไม้งอเหมือนไม้ตีระฆัง กลางโรงเอากิ่งไม้มาปักกิ่ง ๑ เก็บดอกไม้สดใส่ตะกร้า ๆ ๑ มาวางไว้ใต้กิ่งไม้ มีคนร้อง ๒ คน ผู้หญิงลุกขึ้นรำก่อน แล้วไปหยิบดอกไม้ในตะกร้ามาทิ้งผู้ชาย ๆ จึงลุกขึ้นรำคนหนึ่ง แล้วไปหยิบดอกไม้ในตะกร้าทิ้งผู้หญิงบ้าง แล้วผู้ชายผู้หญิงก็รำไปด้วยกันนาน ๆ จึงไปหยิบดอกไม้มาทิ้งกัน คนร้อง ๒ คน ก็ร้องไป รำล่อกันไป ๆ มา ๆ เหนื่อยแล้วก็นั่งลง คู่อื่นก็ลุกขึ้น รำหยิบดอกไม้ทิ้งกันรำทีละคู่ทั้ง ๕ คู่ เจ้าเมืองถามข้าพเจ้าว่างามฤๅไม่งาม ข้าพเจ้าบอกว่างาม ข้าพเจ้าจึงขอยืมเบี้ยอีแปะกะปิตันห้าพัน มาตกรางวัลให้คนละ ๕๐๐ เจ้าเมืองจึงถามข้าพเจ้าว่าที่กรุงเทพ ฯ มีหนังมีลครอย่างนี้ฤๅไม่ ข้าพเจ้าบอกว่าที่กรุงเทพ ฯ มีโขน หุ่น ละคร มีหนัง มีงิ้ว แล้วถามข้าพเจ้าว่าโขนหุ่นลครนั้น โรง ๑ มีคนสักกี่คน แต่งตัวอย่างไร ข้าพเจ้าบอกว่าโขนโรง ๑ ทั้งชายทั้งหญิง ๑๐๐ บ้าง ๑๐๐ เศษบ้าง แต่งตัวใส่สนับเพลานุ่งยกทองยกไหม โจงกระเบนไว้หางหงษ์ คาดเข็มขัด มีผ้าปักทอง ปักไหมห้อยน่าผืน ๑ ห้อยขาข้างขวาผืน ๑ ห้อยขาข้างซ้ายผืน ๑ ใส่เสื้อลายทองใส่ตาบ ใส่สังวาล ใส่กำไลทองคำที่ข้อมือ ข้างละ ๙ ข้างละ ๑๐ เส้น ทั้ง ๒ ข้าง นิ้วมือใส่แหวนทองคำประดับเพ็ชรพลอยต่าง ๆ นิ้วละวงข้างละ ๔ นิ้ว ทั้ง ๒ มือ ศีศะใส่หน้าโขนหน้าปิดทอง หน้าเขียนบ้างต่าง ๆ กัน มีมงกุฎรัดเกล้าปิดทองประดับเพ็ชรพลอย ปี่พาทย์มีกลองใหญ่กลองกลางกลองเล็ก ฆ้องวง ระนาด ตะโพน เปิงมาง ฉิ่ง ฉาบ โขนโรง ๑ ถ้าจะเล่นมีปี่พาทย์ ๒ สำรับ คนเจรจา ๔ คน ๕ คน หุ่นนั้นเอาไม้มาทำเปนรูปคนชายบ้างหญิงบ้าง รูปยักษ์บ้าง รูปลิงบ้าง รูปสัตว์ต่าง ๆ บ้าง สูงประมาณศอกคืบ มีคนชักสายกระดิกรำได้เหมือนคนโรงหนึ่ง ๔๐ ตัว ๕๐ ตัว คนเล่นประมาณ ๕๐ คน ๖๐ คน เครื่องแต่งตัวหุ่นก็มีเหมือนกับเครื่องแต่งตัวโขน ถ้าจะเล่นก็มีปี่พาทย์ ๒ สำรับ คนสำหรับเจรจา ๔ คน ๕ คน เหมือนกับโขน ลครโรง ๑ ทั้งหญิงทั้งชาย ๓๐ คน ๔๐ คน เครื่องแต่งตัวลครเหมือนกับเครื่องแต่งตัวโขนหุ่นเหมือนกัน เมื่อลครจะรำนั้น คนสำหรับตีกรับโรงละ ๔๐ คน ๕๐ คน มีปี่พาทย์สำรับ ๑ สิ้นบทรำก็หยุดร้องไปตามเรื่องหามีคนเจรจาแทนเหมือนโขนหุ่นไม่ แล้วเจ้าเมืองถามข้าพเจ้าว่าหนังนั้นทำอย่างไร ข้าพเจ้าบอกว่าเอาหนังโคทั้งผืนมาเขียนเปนรูปคนบ้าง รูปยักษ์บ้าง รูปลิงบ้าง รูปคนชายหญิงบ้าง เปนรูปช้าง รูปม้า รูปโค กระบือ รูปเนื้อ รูปเสือบ้าง ตัวโตเท่าคนรุ่น ๆ ทำท่าต่าง ๆ แล้วสลักเจาะเอาพื้นออกเสีย โรง ๑ มีหนัง ๑๐๐ ๑๐๐ เศษ จอทำด้วยผ้าขาวยาว ๖ วา กว้าง ๑๐ ศอกขึงขึ้น แล้วปลูกทำร้านไฟข้างหลังสูง ๓ ศอก กว้าง ๒ ศอก ยาว ๓ ศอก เอาดินรองแล้วกองไฟบนร้านแล้วเอาเสื่อใบวงบังลมข้างหลังจอ ข้างน่าจอเอาหนังเชิด มีกลองใหญ่ กลองกลาง กลองเล็ก ระนาด ฆ้องวง ตะโพน เปิงมาง ฉิ่ง,ฉาบ กรับโกร่ง ถ้าจะเล่นหนังตัว ๑ คนเชิดคน ๑ เชิดครั้ง ๑ หนัง ๙ ตัว ๑๐ ตัวบ้าง คนเชิดก็เท่ากับตัวหนัง พวกปี่พาทย์ก็ตีขึ้นพร้อมกัน คนสำหรับเล่นที่อยู่ในจอนั้นตีกรับโกร่งร้องไปตามเพลง สิ้นบทแล้ว คนเชิดหยุดยืนเชิดหนังอยู่น่าจอ คนสำหรับเจรจาก็เจรจาไปตามเรื่อง สิ้นบทแล้ว เอาหนังพวกนั้นกลับเข้าในจอ เอาหนังตัวอื่นมาเชิดต่อไปกว่าจะสิ้นตัวหนัง ๆ เชิดได้ทั้งข้างในจอข้างน่าจอ คนดูเห็น ๆ เหมือนกัน โรง ๑ มีคนเชิด ๓๐ คน ๔๐ คนบ้าง คนร้องคนเจรจา ๓ คนบ้าง ๔ คนบ้าง เจ้าเมืองกาล่งจงจึงว่าสร้างโขนหุ่นลครหนังโรง ๑ จะมิเปนเงินมากหนักหนาฤๅ ข้าพเจ้าบอกว่าสร้างโขนโรง ๑ เปนเงิน ๑๐๐ ชั่ง ๒๐๐ ชั่งบ้าง สร้างหุ่นโรงหนึ่งเปนเงิน ๖๐ ชั่งบ้าง ๗๐ ชั่งบ้าง สร้างลครโรง ๑ ๔๐ ชั่งบ้าง ๕๐ ชั่งบ้าง สร้างหนังโรง ๑ เปนเงิน ๒๐ ชั่งบ้าง ๓๐ ชั่งบ้าง เจ้าเมืองจึงถามว่าอย่างไรเรียกว่าชั่ง ๑ ข้าพเจ้าบอกว่าไทยชั่ง ๑ คิดข้างจีนเปน ๒ ชั่ง ถ้าจะคิดเปนเหรียญชั่งไทย ๑ เปนเงิน ๔๐ เหรียญ เจ้าเมืองจึงว่าที่กรุงเทพพระมหานครมั่งมีเงินมากจึงทำได้ แล้วข้าพเจ้าก็ลาจะมาเรือเจ้าเมืองจึงพาข้าพเจ้าไปดูเสือ ว่าเสือที่เมืองบาหลีนี้จะเหมือนเสือที่กรุงเทพพระมหานครฤๅไม่ แล้วเจ้าเมืองพาข้าพเจ้าออกมานอกกำแพงชั้นกลางมีโรงอยู่โรง ๑ กรงขังเสืออยู่ในโรง เสือตัวยาว ๓ ศอกคืบ สูง ๒ ศอก รูปร่างเหมือนเสือที่กรุงเทพฯ แล้วจึงพาข้าพเจ้าไปดูโรงตีเหล็ก ข้าพเจ้าเห็นมีคนตีเหล็กชาติมุกิดบ้าง บาหลีบ้าง สัก ๙ คน ๑๐ คน เห็นขันปืนอยู่บอก ๑ ตะไบแต่งตัวอยู่ ๒ บอก มีเตาตีเหล็ก ๒ เตา ใช้สูบยืนเหมือนสูบลาว ข้าพเจ้าเห็นมีคนอยู่ในกำแพงเมืองประมาณ ๓๐ คน ๔๐ คน แล้วเจ้าเมืองถามข้าพเจ้าว่าที่กรุงเทพ ฯ มีสัตว์สิ่งใดบ้าง ข้าพเจ้าบอกว่ามีสัตว์เปนอันมาก แต่ข้าพเจ้ารู้จักช้าง ม้า โค กระบือ แรด เสือ เนื้อ หมี กวาง ทราย เจ้าเมืองกาล่งกงจึงว่าบ้านเมืองโตใหญ่ ไพร่บ้านพลเมืองลูกค้าวานิชสัตวต่าง ๆ ก็มีมาก ที่เมืองบาหลีนี้เปนเมืองเกาะ มีแต่วัว ควาย ม้า เนื้อ หามีช้างไม่ รูปร่างอย่างไรไม่รู้จัก ได้เห็นแต่เขี้ยวช้างเล็ก ๆ ลูกค้าเมืองใหม่เอามาขายซื้อไว้ทำด้ามกฤชบ้าง ฝักกฤชบ้าง ถ้าแลจะได้มาค้าขายข้างน่าช่วยซื้อเขี้ยวช้างที่โต ๆ มาฝากสักอัน ๑ ฤๅ ๒ อัน ข้าพเจ้าว่าราคาซื้อขายกันที่เมืองใหม่หนักหาบหนึ่ง ๒๐๐ เหรียญ ๒๕๐ เหรียญก็มี ตามใหญ่ตามเล็ก เจ้าเมืองกาล่งกงจึงว่าจะเปนราคามากน้อยเท่าใด ก็ช่วยซื้อมาฝากให้ได้ ข้าพเจ้ารับคำแล้วก็ลาจะมาเรือ เจ้าเมืองกาล่งกงสั่งข้าพเจ้าว่าสินค้ามีมาในเรือนั้นชาวบาหลีจะมาซื้อก็ให้ขายเถิด ให้เขียนบาญชีชื่อไว้ เรือจะกลับไปทวงเงินไม่ได้เราจะช่วยชำระให้ ข้าพเจ้าก็มาเรือ เดินมาแต่บ้านเจ้าเมือง วัน ๔ ค่ำ ปีมเสงสัปตศกเพลาเที่ยง กะปิตันก็พาข้าพเจ้าออกมาถึงประตูชั้นนอกมีตลาดผู้ชายขายของอยู่ที่น่าบ้านเมือง ทั้งคนซื้อคนขายประมาณ ๒๐๐ คน ๓๐๐ คนเศษ มีผ้าแพร ร่ม ถ้วย ชาม ของกินบ้าง ตลาดผู้หญิงขายของตลาด ๑ ข้างกำแพงเมือง ไม่ให้ผู้ขายซื้อขาย ๆ กันแต่พวกผู้หญิง จะมีคนมากน้อยเท่าใดหาได้ไปดูไม่ ข้าพเจ้าเห็นหญิงเดินไปมา ตามทาง ศีศะทูนของเหมือนทวายเหมือนแขก ข้าพเจ้าถามกะปิตันว่าผู้ชายผู้หญิงจะซื้อจะขายด้วยกันไม่ได้ฤๅ กะปิตันบอกข้าพเจ้าว่าอย่างธรรมเนียมเมืองบาหลีนี้ ถ้าผู้หญิงจะออกเดินนอกบ้านไปซื้อขายก็ดี มิใช่บิดามารดาญาติพี่น้องผัวเมียกันจะไปถูกต้องตัวผู้หญิงไม่ได้ ถ้าผู้ชายมิใช่ญาติพี่น้องไปถูกต้องตัวผู้หญิงเข้า ผู้หญิงร้องขึ้นแล้วไปตีเกราะ พวกชายญาติพี่น้องข้างหญิงรู้ ชวนกันถือกฤชวิ่งออกมาจากบ้านหลายคน เอากฤชแทงชายที่ถูกตัวหญิงนั้นตายก็หามีโทษไม่ ข้าพเจ้าเห็นเกราะทำไว้ด้วยไม้แก่นโต ๓ กำ ๔ กำ ยาว ๓ ศอก ๔ ศอก แขวนไว้ที่ต้นมะม่วง ต้นมะขาม ต้นจำปา ต้นไทร ต้นกระดังงา ต้นขนุนบ้าง ตามถนนห่างกัน เส้น ๑ บ้าง ๓๐ วาบ้าง แต่บ้านเจ้าเมืองตลอดไปถึงท่าเรือจอด ข้าพเจ้าเดินมาถึงเรือเพลาบ่าย ๕ โมงเศษ ข้าพเจ้าจึงบอกกะปิตันว่า เพลาพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะเอาของขึ้นขาย รุ่งขึ้นวัน ๔ ค่ำ เพลาเช้า กะปิตันให้บุตรไปบอกกับปลัดเมืองว่า จีนกั๊กนายเรือจะเอาสินค้าขึ้นขาย ปลัดเมืองกับเจ้าเมืองรอง คนประมาณ ๓๐ เศษ พากันมาที่บ้านกะปิตัน ข้าพเจ้าจึงเอาตัวอย่างของขึ้นไปให้ดู แพรจีนเจาสีต่างกัน ๕ ม้วน แพรผังสี ๕ สี ๕ พับ ไหมทองหีบ ๑ จานพลชามพลสิ่งละซอง สีเสียดกระสอบ ๑ กะทะเล็กปากกว้างศอกเถา ๑ เจ้าเมืองซื้อแพรจีนเจา ๑๐ ม้วน ๆ ละ ๑๘๐๐๐ อีแปะ เงิน ๑๑ ตำลึง ๑ บาท แพรผังสี ๒๐ พับ ๆ ละ ๑๘๐๐ อีแปะ เงิน ๑ ตำลึง ๒ สลึง ไหมทอง ๒๐ หีบ ๆ ละ ๕๐๐๐ อีแปะ เงิน ๓ ตำลึง ๒ สลึง ปลัดเมืองซื้อ แพรจีนเจาขาว ๓ ม้วน ๆ ละ ๑๕๐๐๐ อีแปะ เงิน ๙ ตำลึง ๑ บาท ๒ สลึง ไหมทอง ๑๐ หีบ ๆ ละ ๕๐๐๐ อีแปะ เงิน ๓ ตำลึง ๒ สลึง แล้วเจ้าเมืองรอง ปลัดเมืองจึงว่ากับข้าพเจ้าว่าสินค้านอกนั้นผู้ใดจะซื้อก็ให้ขายเถิด ข้าพเจ้าก็ขายเหล็กฟากหาบละ ๕๐๐๐ เงิน ๓ ตำลึง ๒ สลึง กะทะเถาละ ๑๐๐๐ เงิน ๒ บาท ๒ สลึง สีเสียดหาบละ ๓๐๐๐ เงิน ๑ ตำลึง ๓ บาท ๒ สลึง จานใหญ่ ๑๐๐๐ ละ ๓๕๐๐๐ เงิน ๑ ชั่ง ๑ ตำลึง ๓ บาท ๒ สลึง ชามพล ๑๐๐๐ ละ ๖๐๐๐ เงิน ๓ ตำลึง ๓ บาท ไหมตะเภาหาบละ ๓ แสน เงิน ๙ ชั่ง ๗ ตำลึง ๒ บาท ข้าพเจ้าขายได้เงินเหรียญเงินอีแปะบ้าง ขายเชื่อบ้าง จนสินค้าในเรือ ที่ซื้อเชื่อยังไม่ให้เงินนั้น ข้าพเจ้าจดบาญชีผู้ซื้อของไว้ ข้าพเจ้าไปทวงเงินได้บ้างยังไม่ได้บ้าง แล้วข้าพเจ้าถามกะปิตันปันตัดว่าสินค้าที่เมืองบาหลีนี้มีฝาง มีกาแฟ มีเข้าสารอยู่ที่ไหน ข้าพเจ้าจะขอไปเที่ยวซื้อ กะปิตันบอกข้าพเจ้าว่า ฝางมีอยู่ป่า ชื่อหวนตุหลัน ผลกาแฟมีอยู่เมืองตัวปันหลัน เมืองมองงุย เข้าสารกับยาสูบมีอยู่ที่เมืองบาหลีนี้กะปิตันจึงว่ากับข้าพเจ้าว่าถ้าจะไปซื้อ ก็ให้ไปหาเจ้าเมืองรอง ขอหนังสือไปถึงเจ้าเมืองตัวปันหลัน เจ้าเมืองมองงุย จึงจะไปซื้อได้
ครั้นณวัน ฯ ๕ ค่ำ ปีมเมียอัฐศก ข้าพเจ้ากับจีนอู่ลูกเรือคน ๑ ไปหาเจ้าเมืองรอง บอกว่าข้าพเจ้าจะขอไปเที่ยวซื้อผลกาแฟที่เมืองปันหลัน เมืองมองงุย เจ้าเมืองจึงให้คนไปเอาใบลานทั้งก้านมาใบ ๑ แล้วเอาเหล็กแบน ๆ ยาวสักคืบ ๑ ลับให้แหลมเขียนลงกับใบลานเหมือนจานหนังสือ ตัวหนังสือคล้ายกับหนังสือขอม เขียนหนังสือแล้วจึงเอาตราเหล็กเปนรูปดอกไม้มาตีลงที่ใบลานส่งให้ข้าพเจ้า แล้วให้ล่ามบอกกับข้าพเจ้าว่าจะให้หญิงชาวบาหลีที่รู้จักภาษาแขกคน ๑ กับชาย ๔ คนไปด้วย กับม้า ๓ ม้า ทวน ๒ เล่ม พรุ่งนี้จะให้ไปรับที่ท่าเรือ ข้าพเจ้าจึงว่าจะขอเช่าม้าสัก ๒๐ ม้า บรรทุกอีแปะไปซื้อของ เจ้าเมืองก็รับว่าจะเช่าให้ ม้า ๑ ไปถึงเมืองมองงุยเปนราคาพันอีแปะคิดเปนเงิน ๒ บาท ๒ สลึง บรรทุกของกลับมาส่งถึงท่าเรือ คิดค่าเช่าอิกตัวละพันอีแปะ เพลารุ่งเช้าจึงจะให้ไปรับที่ท่าเรือ ข้าพเจ้าก็ลากลับมา ครั้นรุ่งเช้าหญิงคน ๑ ขี่ม้า ๆ หนึ่ง ชาย ๔ คนจูงม้ามา ๒ ม้า ๒ คน ถือทวนคนละเล่มกับม้า ๒๐ ม้า บรรทุกต่างหลังละ ๔ ต่าง คนสำหรับม้า ๆ ละคน เปนคน ๒๐ คน ลงมาที่ท่าเรือ ข้าพเจ้าเห็นต่างที่ใส่หลังม้าสานด้วยไม้ไผ่สูงศอกคืบปากกลมกว้างสัก ๑๗ นิ้ว ต่าง ๑ ใส่ได้เปนน้ำหนัก ๓๗ ชั่งเศษ ม้าหนึ่ง ๔ ต่าง เปนน้ำหนัก ๑๕๐ ชั่งจีน ข้าพเจ้าเอาอีแปะลงบรรทุกต่าง ๑๘ ม้า บรรทุกผ้าม้า ๑ เปนผ้าขาว ๒๐ พับ กับของกินเล็กน้อย บรรทุกกะทะม้า ๑ เปนกะทะ ๖ เถา ใหญ่เล็ก ๓๐ ใบ ล่ามหญิงจึงเอาม้าให้ข้าพเจ้าม้า ๑ จีนอู่ลูกเรือม้า ๑ หญิงล่ามขี่ม้า ๑ ม้าที่ขี่มีจั๋งถักเหมือนเบาะรองหลังม้าชั้น ๑ แล้วเอาเบาะผ้าปูทับจั๋งอิกชั้น ๑ มีรัดอกซองหาง รัดอกพานน่าผูกกับเบาะ บัง เหียนทำด้วยเหล็กเหมือนบังเหียนไทยหามีโกลนไม่ ผู้หญิงขี่ไม่คร่อมหลังม้าเหมือนผู้ชาย เอาเท้าห้อยข้างม้าข้างเดียวทั้ง ๒ เท้าขี่ควบก็ไม่ตก ม้าที่หญิงล่ามขี่นำทางไปน่าพาข้าพเจ้าเดินตามหาดทรายชายทเล ตั้งหน้าม้าไปทิศเหนือทางประมาณครึ่งวันสิ้นหาดทรายชายทเล ถึงทางกว้างประมาณ ๔ วา ๒ ข้างทางเปนสวนบ้างนาบ้าง ที่เปนสวนมีต้นทุเรียนต้นมังคุดต้นลางสาดต้นเงาะบ้าง น้อยหน่า ส้มโอ ส้มเกลี้ยง ส้มเปลือกบาง หมาก มะพร้าวสับปะรด แตงอุลิตไทย แตงกวาไทย ฟักทอง ฟักเขียว พริกเทศ มะเขือ ถั่วงา เข้าโพด หอม กะเทียม เผือก มัน แต่ที่นาทำที่ให้เสมอ แล้วทำคันกั้นน้ำกว้างประมาณเส้นบ้าง ๓๐ วาบ้าง ๒ เส้นบ้าง เปนชั้นๆ กันขึ้นไป มีทางน้ำไหลมาแต่บนเขาทำๆ นบด้วยศิลา กั้นไว้ให้น้ำไหลเข้านาต่อ ๆ กันไปได้ทั่วกัน นาทำได้ทั้งน่าแล้งน่าฝนไม่เปนฤดู เกี่ยวเข้าแล้วก็ดำต่อไปอิก พ้นจากที่นาที่สวนขึ้นไปเปนป่าไม้ใหญ่ ๆ ที่ข้าพเจ้ารู้จัก ต้นตาล ต้นจั๋ง ต้นมะขามป้อม ต้นสัก ต้นมะขาม กะดานบ้าง ต้นตะขบ หวายโป่ง หวายหินบ้าง ที่ข้าพเจ้าไม่รู้จักเปนอันมาก ข้าพเจ้าเดินไปแต่เชิงเขาวัน ๑ ถึงบ้านเหลื่อยหล้นพวกล่ามให้ข้าพเจ้าพักอยู่นั่น เอาหนังสือให้นายบ้านดู นายบ้านก็หาเข้ามาให้ข้าพเจ้ารับประทาน เอาโต๊ะไม้ใส่เข้ากองกลางโต๊ะ กับเข้ามีสุกรทอดน้ำมันถั่วน้ำมันเกลือ กองราย ๆ อยู่ในโต๊ะกับเข้าสุกด้วยกันมาให้รับประทาน พวกข้าพเจ้า ๒ คน หญิงล่ามคน ๑ เข้ากัน ๓ คนกินรวมกัน แต่ชาย ๔ คนนั้น ข้าพเจ้าให้เบี้ยคนละ ๒๐ อีแปะ ไปซื้อเข้าชาวบ้านรับประทาน รุ่งขึ้นเช้าข้าพเจ้าเห็นบ้านมีโรงอยู่ประมาณ ๑๐๐๐ หลังโรงเศษ พื้นฝาดินหลังคามุงแฝกเปนกระโจมเหมือนกันทั้งสิ้น คนชายหญิงใหญ่น้อยประมาณ ๔๐๐๐ เศษ ไปจากบ้านเหลื่อยหล้นเพลาเช้าประมาณ ๓ โมงเศษ ไปตามเนินเขาทางลาดเสมอขึ้นไป เพลาเช้ากลางวันถึงบ้านอิกแห่ง ๑ มีโรงเรือนประมาณ ๑๐๐ หลังโรง คนชายหญิงใหญ่น้อยประมาณ ๔๐๐ คน ตามข้างทางมีสวนบ้างนาบ้าง ข้าพเจ้าซื้อเข้ารับประทานแล้วเดินไปอิก จนเพลาเย็นถึงบ้านอำหมัด ๆ มีเจ้าเมืองปลัดเมือง ข้าพเจ้าพักนอนอยู่ที่บ้านอำหมัดคืน ๑ หาได้ไปหาเจ้าเมืองไม่ กำนันบ้านดูหนังสือแล้ว หาเข้ามาให้รับประทาน รุ่งขึ้นเพลาเช้าหาเข้ารับประทานแล้วหญิงล่ามก็พาข้าพเจ้าไปจากบ้านอำหมัด เดินไปตามทางมีสวนมีนาเปนป่าเปนบ้านบ้างเรี่ยรายกันไปแห่งละ ๕ โรงบ้าง ๖ โรงบ้าง ๙ โรงบ้าง ๑๐ โรงบ้าง ๒๐ โรงบ้าง ถึงเพลารับประทานแวะเข้าบ้านไหนเอาเบี้ยอีแปะซื้อเข้ารับประทานได้ทุกบ้าน ไปจนเพลาเย็นถึงบ้านกะนาซมเปนบ้านใหญ่ มีเจ้าเมืองปลัดเมืองผู้คนมาก ข้าพเจ้าหาได้ไปหาเจ้าเมืองไม่ เอาหนังสือเดินทางให้ดู กำนันก็หาเข้ามาให้รับประทานพักนอนอยู่คืน ๑ รุ่งขึ้นเช้าออกจากบ้านกะนาซมเดินไปตามทางบ้านราย ๆ กันแห่งละ ๗ โรงบ้าง ๘ โรงบ้าง ๙ โรงบ้าง ๑๐ โรงบ้าง จนเพลากลางวันซื้อเข้ารับประทานแล้วออกเดินหามีบ้านไม่ เปนป่าไม้ต่าง ๆ ตามทางเดินเปนศิลามากกว่าดินเพลาค่ำหยุดนอนอยู่ในป่าหามีบ้านผู้คนไม่ อดเข้าคืน ๑ ได้รับประทานแต่ของกินที่เอาบรรทุกหลังม้าไปบ้างเล็กน้อย รุ่งเช้าเดินไปอิกจนเพลาเที่ยงถึงสระใหญ่บนยอดเขา ข้าพเจ้าก็บอกกับล่ามให้หยุดพักอาบน้ำเสียก่อน แล้วปลงต่างปล่อยม้าให้กินหญ้า ข้าพเจ้าก็ลงอาบน้ำในลำธาร ทางน้ำไหลออกมาจากสระใหญ่ ๆ แห่ง ๆ หนึ่ง ปากช่องกว้างประมาณ ๓ วา กลางร่องฦก ๒ ศอก น้ำไหลเชี่ยว ยาวประมาณ ๔ วา ๕ วา แล้วกว้างออกไปประ มาณ ๑๐ วา ฦกคืบเศษ น้ำไหลหาเชี่ยวไม่ ไหลลงไปเชิงเขา น้ำจะไหลไปข้างไหนต่อไปอิกข้าพเจ้าหาทราบไม่ แล้วข้าพเจ้าเดินเลียบธารน้ำไปดูที่สระ สระกว้างใหญ่น้ำใสเย็น แลไปสุดสายตาหาเห็นขอบสระข้างโน้นไม่ ต้นไม้ในบริเวณสระก็หามีไม่ ไกลออกมาสัก ๙ เส้น ๑๐ เส้น จึงมีต้นไม้มีเขาติดอยู่กับขอบสระข้างตวันตกยอดหนึ่ง สูงแต่ขอบสระขึ้นไปประมาณเส้นเศษ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงตึง แล้วเปนควันพลุ่งขึ้นที่ยอดเขา ข้าพเจ้าตกใจข้าพเจ้าถามหญิงล่าม ๆ จึงบอกว่าเขานี้ดังเองนาน ๆ สักหม้อเข้าสุก ๑ ดังที ๑ เสมออยู่ทั้งตาปี ขอบสระข้างตวันออกก็มีเขา ๆ ๑ สูงเท่ากัน เพลากลางคืนแลเห็นเปนไฟติดอยู่บนยอดเขา เหมือนไฟเผาหญ้าที่กลางทุ่ง เปลวสูงประมาณ ๔ วา ๕ วา เทือกไฟโตประมาณ ๒๔ วา ๒๕ วา เพลากลางวันหาเห็นเปลวไฟไม่หญิงล่ามจึงบอกว่าผู้เถ้าผู้แก่แต่ก่อน เล่าให้ฟังว่าสระเปนกะทะจงโพ่หุงเข้า เขาที่ดังว่าน้ำเดือด เขาที่เปนไฟว่าเตาไฟ พวกข้าพเจ้าอาบน้ำแล้วไปอิกจนเพลาบ่าย ๔ โมงเศษถึงบ้านงัวตุดแวะเข้าเอาหนังสือให้นายบ้านดู นายบ้านหาเข้ามาให้ข้าพเจ้ารับประทาน ข้าพเจ้าพักนอนอยู่ที่บ้านงัวตุดคืน ๑ หนาวนักใส่เสื้อ ๓ ชั้นกับผ้าห่มผืน ๑ ก็ไม่อุ่น ชาวบ้านนอนบนร้านเอาไฟใส่ข้างล่าง เพลากลางคืนแสงไฟที่ยอดเขาสว่างมาถึงในบ้านจริงเหมือนหญิงล่ามบอก ครั้นเพลาเช้าข้าพเจ้าแลไปดูเห็นเปนแต่ต้นหญ้าแดง จึงถามหญิงล่ามว่าทำไมจึงไม่เห็นแสงไฟ หญิงล่ามบอกว่า กลางวันแลไม่เห็นแสงไฟ แลเห็นแต่กลางคืน ว่าเขาที่ดังตึงนั้นเพลาเช้าเย็นกลางคืนจึงดังแรง เพลากลางวันเสียงหาสู้ดังแรงไม่ ข้าพเจ้าเห็นบ้านมีโรงประมาณ ๖๐๐ หลัง โรงทำเหมือนกัน มีคนชายหญิงใหญ่น้อย ๓๐๐๐ นายบ้านหาเข้ามาให้ข้าพเจ้ารับประทาน ข้าพเจ้ารับประทานแล้วหญิงล่ามกับกำนันบอกว่ามีศาลเจ้าจงโพ่อยู่ที่เนินเขาไฟศาลหนึ่ง ว่าเดิมจีนมาแต่เมืองไอ้มุ่ยแซ่ตั๋นเปนจงโพ่มากับสำโปก๋ง ๆ ไปขึ้นอยู่เมืองสำปาหลัง จงโพ่ลาว่าจะกลับไปเมืองไอ้มุ่ย มาถึงเกาะบาหลีเรือเสียคนตายสิ้น เหลือแต่จงโพ่ขึ้นมาอยู่บนเขานี้ ได้คนป่าเปนภรรยามีลูกหลานสืบต่อ ๆ กันมาหาเปนจีนไม่ กลายเปนชาวบาหลีจนทุกวันนี้ มีเสื้อถักด้วยรกจั๋งตัว ๑ กับหมวกทำด้วยไม้ไผ่เปนซี่ ๆ เหมือนหมวกไหหลำวางอยู่บนเตียงศิลาด้วยกัน หญิงล่ามกับกำนันพาข้าพเจ้าไปดู เดินไปแต่บ้านกำนันทางประ มาณ ๒ เส้นถึงศาลเจ้า ๆ ก่ออิฐสุกถือปูนกว้างประมาณ ๓ วา ๔ เหลี่ยม หลังคาแหลมเหมือนกระโจมถือปูน ข้าพเจ้าไปดูเห็นมีแท่นศิลาสูง ๒ ศอกกว้าง ๒ ศอก ยาว ๓ ศอก เห็นมีเสื้อตัวหนึ่งถักด้วยรกจั๋ง หมวกใบ ๑ โตประมาณ ๒ ศอกวางไว้บนแท่นจริง ข้าพเจ้าเอากระดาษทองกระดาษเงินจุดไฟไหว้เจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจึงถามว่าเสื้อหมวกอยู่สักกี่ปีมาแล้ว หญิงล่ามกับกำนันบอกว่าแต่จงโพ่ตายถึงทุกวันนี้สักกี่ร้อยกี่ปีก็ไม่รู้ ที่เมืองบาหลีนี้ตั้งบ้านเมืองหารู้จักปีเดือนวันคืนไม่ เกิดมาปีใดเดือนใดอายุเท่าใดก็ไม่รู้ด้วยกันทุกคน แล้วกำนันว่าบรรดาคนบ้านงัวตุดนี้เปนลูกหลานจงโพ่ทั้งสิ้น ผู้ใดจะรับคนชายหญิงบ้านงัวตุดขายให้จีนแขกต่างเมืองไปก็ไม่ได้ ถ้าผู้ใดไม่ฟังซื้อเอาไปก็คงเปนอันตรายในกลางทเล พูดกันอยู่จนเพลากลางวันก็พากันกลับมาบ้านกำนัน แล้วหญิงล่ามพาข้าพเจ้าออกจากบ้านกำนันเพลาเที่ยงเดินมาประมาณสัก ๒๐ เส้นเศษเปนป่าไม้ต่าง ๆ บ้าง ต้นกาแฟโตกำ ๑ สองกำสูง ๕ ศอก ๖ ศอกบ้างรายกันไป แล้วมืดเปนน้ำค้างตกเหมือนฤดูเดือน ๑ เดือน ๒ ข้าพเจ้าถามหญิงล่าม ๆ ว่าเพลาเที่ยงแล้วเปนน้ำค้างลงอย่างนี้ทุกวัน เดินต่ำลงไปจนเพลาเย็นถึงเมืองมองงุยอาไศรยนอนอยู่บ้านกำนันคืน ๑ เพลาเช้าข้าพเจ้าให้กำนันพาไปหาเจ้าเมือง ข้าพเจ้าจัดได้สุรา ๒ ขวด ผ้าขาวพับ ๑ กะทะเถาหนึ่ง ๕ ใบไปให้เจ้าเมือง ๆ แต่งตัวนุ่งห่มมีผู้คนชายหญิงตามออกมาเหมือนกับเจ้าเมือง ๆ บาหลี ถามข้า พเจ้า ๆ บอกเหมือนกับบอกเจ้าเมืองบาหลี แล้วข้าพเจ้าว่าจะมาขอซื้อผลกาแฟหาบ ๑ เปนราคาเท่าไร เจ้าเมืองบอกว่าหาบ ๑ จะเอาราคา ๓๒๐๐ อีแปะเปนเงิน ๒ ตำลึง ๒ บาท เฟื้อง ๑ ข้าพเจ้าว่าจะซื้อ ๔๐๐ หาบ เจ้าเมืองว่าเดือน ๑ จึงจะได้กาแฟหนัก ๔๐๐ หาบ ข้าพเจ้าสัญญาว่าให้ไปส่งถึงท่าเรือหาบ ๑ จะเอาค่าจ้างเท่าไร เจ้าเมืองว่าหาบ ๑ จะเอาราคา ๖๕๐ อีแปะ ข้าพเจ้าค้างอยู่ที่เมืองมองงุย ๕ วัน ได้กาแฟหนัก ๑๐๐ หาบ ข้าพเจ้าเช่าม้าที่เมืองมองงุยอิก ๓๐ ม้า ราคาตัวละ ๑๐๐๐ อีแปะเหมือนกับที่เมืองบาหลีเหลง คนสำหรับม้า ๓๐ คน เข้ากันเปนม้าบรรทุกกาแฟ ๕๐ ม้า คน ๕๐ คน บรรทุกกาแฟแล้ว ข้าพเจ้าก็ลา กลับมา ล่ามพาข้าพเจ้าเดินมาหากลับมาทางเดิมไม่ มาทางใหม่ผินหน้าม้ามาทางตวันตก เดินมาอิกวัน ๑ ถึงเมืองกีอ้นเจียกหาได้แวะเข้าในเมืองไม่ ล่ามบอกว่าเมืองนี้เปนเมืองใหญ่ ผู้คนมากขึ้นกับเมืองบาหลี ข้าพเจ้าพักนอนอยู่กลางทุ่งคืน ๑ รุ่งขึ้น เพลาเช้าชาวบ้านเอาเข้าสุกกับเนื้อสุกรย่างจิ้มเกลือมาขาย ข้าพเจ้าซื้อเข้ารับประทานแล้ว ออกเดินมาแต่เพลาเช้า มีแต่พงแขม ไม่มีต้นไม้ใหญ่ ที่ไร่ที่นาก็ไม่มี มาจนเพลาเย็นถึงบ้านอาพอนหาได้เข้าในบ้านไม่ พักนอนอยู่กลางทุ่งคืน ๑ รุ่งขึ้นเพลาเช้าเดินมาจนเพลาเที่ยงถึงเมืองมองหลี เปนเมืองใหญ่ผู้คนมีมาก เมืองมองหลีนี้ผู้คนวิวาทกันหาได้ขึ้นกับเมืองบาหลีไม่ ถ้าแลคนข้างเมืองบาหลีมาข้างแดนเมืองมองหลี ชาวเมืองมองหลีจับริบเอาสิ่งของ ตัวคนก็เอาไปขายเสีย ถ้าชาวเมืองมองหลีไปข้างแดนเมืองบาหลี ชาวบาหลีมากกว่าก็จับริบเอาสิ่งของตัวคนไปขายเสียเหมือนกัน เมืองมองหลีมีเจ้าเมืองผู้คนมาก จะมีท่าเรือลูกค้าไปมาค้าขายถึงฤๅไม่มีประการใด ข้าพเจ้าหาได้ถามไม่ พวกข้าพเจ้าเดินมาถึงแขวงเมืองมองหลี ชาวเมืองมองหลีถือปืนบ้างหอกบ้าง ประมาณสัก ๑๐๐ คนเศษออกตีชิงแทงถูกชาวเมืองบาหลี ๓ คน ชิงเอาม้าบรรทุกกาแฟไปได้ ๕ ม้า พวกข้าพเจ้าหามีปืนหอกไม่ มีแต่กฤชสู้ไม่ได้ ก็ถอยมาบ้านอาพอน หญิงล่ามจึงให้คนบาหลีไปตีเกราะที่บ้านอาพอน ชาวบ้านอาพอนถือปืนถือหอกถือหลาวบ้างประมาณสัก ๒๐๐ คน วิ่งออกมาเห็นพวกข้าพเจ้าจึงถามว่าทำไมทะเลาะวิวาทกันอย่างไร หญิงล่ามบอกว่าจีนลูกค้าชาวกรุงเทพ ฯ ออกมาค้าขายที่เมืองบาหลี เจ้าเมืองบาหลีให้เราพาเที่ยวซื้อกาแฟที่เมืองมองงุยได้แล้ว จะกลับไปเมือง บาหลี มาถึงเมืองมองหลีชาวเมืองมองหลีออกตีชิงแทงถูกคนชาวเมืองบาหลีป่วย ๓ คน ชิงเอาม้าบรรทุกกาแฟไปได้ ๕ ม้า ให้เจ้าเมืองอาพอนไปส่งให้ถึงแขวงเมืองบาหลีด้วย นายบ้านจึงให้คนที่ถือปืนถือหอกถือหลาวออกมา ๒๐๐ คนนั้นป้องกันมาส่งพ้นแขวงเมืองมองหลีแล้วก็พากันกลับไป ข้าพเจ้าเดินมาจนเพลายามเศษถึงบ้านกะปิตัน ปลงของลงจากม้าแล้วเอาไว้ที่บ้านกะปิตัน ข้าพเจ้านอนอยู่ที่บ้านกะปิตันคืน ๑ รุ่งเช้าข้าพเจ้าให้เบี้ยอีแปะหญิงล่าม ๒๐๐๐ ชายคนละ ๑๐๐๐ เข้ากัน ๖๐๐๐ อีแปะกับค่าเช่าม้าให้เสร็จแล้ว หญิงล่ามแลชาย ๔ คนกับเจ้าของม้าก็พากันกลับไป ข้าพเจ้าก็ขนกาแฟลงบรรทุกเรือ อยู่ ๙ วัน ๑๐ วัน เจ้าเมืองมองงุยจึงเอาม้าต่างบรรทุกกาแฟมาส่งอิก ๓๐๐ หาบ ข้าพเจ้าคิดอีแปะให้แล้วชาวเมืองมองงุยก็กลับไป กะปิตันจึงเรียกเอาภาษีกาแฟกับข้าพเจ้าหาบหนึ่ง ๒๐๐ อีแปะ กาแฟหนัก ๔๐๐ หาบเปนอีแปะแปดหมื่น เปนเงิน ๒ ชั่ง ๑๐ ตำลึง ข้าพเจ้าถามกะปิตันว่าภาษีนี้ได้กับเจ้าเมืองฤๅ ๆ ได้กับผู้ใด กะปิตันบอกข้าพเจ้าว่าภาษีนี้ เจ้าเมืองยกให้สำหรับเลี้ยงพวกจีนมาอยู่ในเมืองบาหลี ข้าพเจ้าถามว่าจีนมาอยู่ในเมืองบาหลีสักเท่าไร กะ ปิตันบอกว่ามีจีนอยู่ประมาณ ๘๐ คน ๙๐ คนเศษ ข้าพเจ้าซื้อสินค้าอยู่สักเดือนครึ่ง ชาวเมืองบาหลีบรรทุกเข้ามาขายวันละ ๒ เกวียน ๓ เกวียนบ้าง ราคาทั้งภาษีหาบละ ๑๐๐๐ อีแปะ ถังละ ๒ สลึง เกวียนละ ๑๒ ตำลึง ๒ บาท ยาสูบหาบละ ๔๐๐๐ อีแปะ เงิน ๒ ตำลึง ๒ บาท เนื้อกระบือหาบละ ๒๐๐๐ อีแปะ เงิน ๑ ตำลึง ๑ บาท หนังกระบือหาบละ ๑๕๐๐ อีแปะ เงิน ๓ บาท ๓ สลึง น้ำมันมะพร้าวหาบละ ๓๐๐๐ อีแปะ เงิน ๑ ตำลึง ๓ บาท ๒ สลึง ข้าพเจ้าซื้อได้เข้าสารหนัก ๓๐๐๐ บาท เปนเข้า ยาสูบหนัก ๑๐๐ บาท เนื้อกระบือหนัก ๒๐๐ บาท หนังกระบือหนัก ๕๐ บาท น้ำมันมะพร้าวหนัก ๕๐ บาท ฝางข้าพเจ้าซื้อกับจีน ๆ จะเอาราคาหาบละ ๑๕๐ อีแปะ เงิน ๑ สลึง ๑ เฟื้อง ยังหาได้เอาฝางมาส่งไม่ อยู่ประมาณ ๙ วัน ๑๐ วัน
ณวัน ๖ ค่ำ ปีมเมียอัฐศก ข้าพเจ้าเห็นกะปิตันปันตัดแต่งงานบ่าวสาวบุตรชายขอหญิงสาวชาวเมืองบาหลี บิดาหญิงเปนจีน ชายบุตรกะปิตัน มารดาเปนชาวบาหลี เห็นปลูกโรง ๆ ๑ เหมือนโรงไทยเครื่องบนไม้ไผ่หลังคามุงแฝก ข้าพเจ้าเห็นชาวบาหลีเอาของมาช่วย ใส่โต๊ะไม้กลึง มีเรียงเล็ด กล้วย ส้ม เข้าต้มใส่กล้วย หมาก พลู คนละโต๊ะ ๑ บ้าง ๒ โต๊ะบ้าง ๓ โต๊ะบ้าง ประมาณสัก ๒๐๐ คน ครั้นถ่ายของแล้วข้างกะปิตันตอบแทนให้เข้าสุกกับเนื้อสุกรทอด เนื้อสุกรย่าง จังลอนทำด้วยเนื้อสุกร ใส่โต๊ะไม้กลึงให้ไปทุกคน ๆ เพลาเย็นจัดแจงขันหมากใส่โต๊ะไม้ เอาด้ายเข็ดมาต่อ ๆ กันเข้า ๓ เข็ดแล้ววงลงในโต๊ะไม้ เอาเข้าสารกองกลาง เอาหมากพลูรายทับบนเข้าสาร เอาดอกไม้ทองอังกฤษปักเปนรูปพุ่มโต๊ะ ๑ ใส่ส้ม กล้วย ขนมบ้าง ๕๐ โต๊ะ เอาผ้าเช็ดหน้าแขกคลุมทุกโต๊ะ คนที่นำน่าขันหมากแต่งตัวใส่กางเกงขาวคาดเอวผ้าลาย ผ้าเช็ดหน้าแขกโพกศีศะเอารูปนกยูง ทำด้วยไม้โตเท่าไก่ปิดทองทั้งตัวมีสายยูติดอยู่ที่หลังนกยูง ๒ สายยู เอาด้ายผูกที่สายยู แล้วเอามาตะพายแล่งรำไปข้างน่าขันหมาก มีปี่พาทย์เหมือนกับเล่นลครหามตีตามไปข้างหลัง ข้าพเจ้าก็ตามไปดูด้วย ไปถึงบ้านมีหญิงสาว ๆ ๙ คน ๑๐ คนออกมารับ แล้วร้องเพลงตามภาษาบาหลี คนที่ตะพายนกยูงก็รำสักครู่ ๑ ฝ่ายข้างพวกหญิงเอาเข้าสารคลุกขมิ้นซัดคนรำที่ตะพายนกยูง ๓ ที แล้วมีหญิงออกมาจูงเอาคนรำตะพายนกยูงเข้าไปในประตูบ้าน จึงปลดเอานกยูงรับเอาโต๊ะที่ใส่เข้าสาร หมากพลูปักพุ่มทองอังกฤษนั้นเข้าไปในเรือนบิดามารดาหญิง ของทั้งนั้นก็ถ่ายไว้สิ้น แล้วก็เลี้ยงน้ำกาแฟกับน้ำตาลโตนด ขนม กล้วย ส้มเสร็จแล้ว ฝ่ายข้างชายที่เอาขันหมากไปก็พากันกลับมาบ้าน เว้นอยู่ ๓ วัน ฝ่ายข้างบิดามารดาหญิงก็พาเอาตัวหญิงมาส่งบ้านชาย มีหญิงห้อมล้อมมาประมาณ ๒๐ คน ๓๐ คน เจ้าสาวแต่งตัวนุ่งผ้าริ้วทองอย่างแขก ห่มผ้ายกแขกมีกรวยเชิงสไบเฉียงศีศะคลุมผ้าเช็ดหน้าแขก มือใส่กำไลทองคำข้างละ ๓ เส้น เท้าใส่กำไลเงินทั้ง ๒ เท้า มาถึงบ้านชาย ข้างฝ่ายชายตีปี่พาทย์รับแล้วบิดามารดาพาเจ้าบ่าวมา เจ้าบ่าวเปิดผ้าที่คลุมศีศะหญิงออก บิดามารดาข้างชายก็จูงมือหญิงเข้าไปในเรือน พวกข้างหญิงที่มาส่งเจ้าสาวก็กลับไปบ้าน เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็อยู่กินด้วยกัน อยู่ประมาณ ๙ วัน ๑๐ วัน ข้าพเจ้าขึ้นไปที่ตึกบ้านกะปิตันเพลาบ่าย เจ้าเมืองกาล่งกงให้ล่ามเอาปืนคาบศิลาบอก ๑ หอกเล่ม ๑ คนทีใส่น้ำทำด้วยดินคนที ๑ ถ้วยแก้วเขียวใส่น้ำถ้วย ๑ มาที่บ้านกะปิตันว่าฝากข้าพเจ้าเข้ามาให้กับพระสวัสดิวารีเจ้าทรัพย์ ถ้าเห็นควรจะทูลเกล้าทูลกระหม่อม ถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ได้ก็ช่วยทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายด้วย ถ้าเห็นไม่ควรจะทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายก็ให้พระสวัสดิวารีเจ้าทรัพย์รับเอาไว้เปน ของพระสวัสดิวารีเถิด ข้าพเจ้ารับของไว้แล้วพวกล่ามก็พากันกลับไป ข้าพเจ้าถามกะปิตันว่า เกาะเมืองบาหลีนี้โตสักเท่าไร เจ้าเมืองบังคับบัญชาการงานบ้านเมืองอย่างไร คนมีมากฤๅน้อยกะปิตันจึงเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าเกาะนี้โตใหญ่ แล่นเรือไปลมดีวันหนึ่ง ๑๒ โยชน์ แล่นไป ๑๐ วันจึงรอบเกาะคิดได้ ๑๒๐ โยชน์ มีเมือง ๑๖ เมือง เมือง ๑ ชื่อบาหลีเลง ๑ เมืองกาหลงอาเสียม ๑ เมืองอาโบ ๑ เมืองอาหมัด ๑ เมืองกิอันเจียด ๑ เมืองมองงุย ๑ เมืองบาตอง ๑ เมืองอาตัด ๑ เข้ากัน ๘ เมือง เจ้าเมืองกาล่งกง เปนเจ้าใหญ่ สำหรับได้ว่ากล่าวเจ้าเมือง ๗ เมือง แต่เมืองฟากเขาข้างใต้ ๘ เมืองนั้น ข้าพเจ้าจำชื่อได้แต่เมืองมองหลีบาตอง ตัวปันหลัน ยังอีก ๕ เมืองข้าพเจ้าจำชื่อไม่ได้ เมือง ๘ เมืองนี้หาอยู่ในบังคับเจ้าเมืองกาล่งกงไม่ ถ้าคนแดนข้างเมืองกาล่งกง จะลงไปฟากเขาข้างใต้ถ้าพบพวกเมืองมองหลีมากกว่า พวกเมืองมองหลีก็จับเอาไว้ขายเสีย ถ้าพวกเมืองมองหลีข้ามฟากเข้ามาข้างเหนือพบพวกเมืองกาล่งกงมากกว่าก็จับเอาไว้ขายกินเหมือนกัน เมืองกาล่งกงมีท่าเรือลูกค้าจอดข้างตวันออก ชื่อ จูเล็กท่า ๑ ปาดังท่า ๑ โกชุนปาท่า ๑ อาแชท่า ๑ รวม ๔ ท่า ข้างตวันตกมีท่าเรือลูกค้าจอด ชื่อบาหลีเหลงท่า ๑ กาม่องกุฎท่า ๑ สุนสิดท่า ๑ รวม ๓ ท่า มีจีนเปนกะปิตันสำหรับซื้อสำหรับขายอยู่ทุกท่า ที่เมืองอยู่ฟากเขาข้างใต้ก็มีท่าเรือวิลันดามาตั้งห้าง รับซื้อขาย อยู่คน หนึ่ง กำปั่นวิลันดามาจัดซื้อผลกาแฟปีละลำ ๑ บ้าง ๒ ลำบ้าง ข้างเมืองบาหลี ก็มีกำปั่นวิลันดามาซื้อเข้าสารปีละลำ ๑ บ้าง ๒ ลำบ้าง ลูกค้าแขกจีนก็มาค้าขายปีหนึ่ง ๙ ลำบ้าง ๑๐ ลำบ้าง เจ้าเมืองเรียกเอาภาษีของหาบหนึ่ง ๒๐๐ อีแปะ สำหรับซื้อเข้าเลี้ยงจีนที่มาตั้งค้าขายอยู่ที่เมืองบาหลีให้กินวันละ ๓ เพลา มีคนชายฉกรรจ์ประมาณ ๘-๙ หมื่นเศษ เจ้าเมืองจะเรียกเอาค่านา ค่าอากรสวน ค่าตลาด สิ่งใดกับไพร่บ้านพลเมืองนั้น ข้าพเจ้าหาได้ถามไม่ แล้วกะปิตันเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า ถ้าขุนนางตายใส่โลงเหมือนกับไทย ไว้ศพเดือน ๑ บ้าง ๒ เดือนบ้าง ๓ เดือนบ้าง ๔ เดือนบ้าง ๕ เดือนบ้าง ปีหนึ่งบ้าง แล้วมีคนนุ่งขาวห่มขาวอยู่พวกหนึ่งหามีภรรยาไม่ มีอยู่ประมาณ ๕๐-๖๐ คน เจ้าเมืองเลี้ยงให้กิน จะเปนชาวบาหลีบวช ฤๅจะเปนชาติพราหมณ์อย่างไร กะปิตันหาทราบไม่ ถ้าเจ้าเมืองจะออกมาว่าการงาน คนนุ่งขาวห่มขาวพวกนี้ไปนั่งอยู่ด้วยเพลาละ ๒ คนบ้าง ๔ คนบ้างเปนที่ปฤกษาสำหรับเขียนหนังสือด้วย ถ้าเจ้าเมืองจะไปข้างไหน คนนุ่งขาวห่มขาวพวกนี้นำน่าไป ๒ คนบ้าง ๔ คนบ้างทุกครั้ง ถ้าขุนนาง แลไพร่บ้านพลเมืองตายก็ไปเรียกคนพวกนี้ มาสวดเพลา บ่ายวันละ ๒ คนเสมอทุกวัน แล้วบุตรภรรยาญาติพี่น้องผู้ตายเอากำยานไปเผาเอาดอกไม้ไปวางข้างโลง แล้วเอาเข้าไปเส้นเสมอทุกวันกว่าจะเผา เมื่อกำหนดจะเผานั้นบรรดาพวกญาติพี่น้องเอาไม้ไผ่มาทำเปนร้านม้าขึ้น ๓ ชั้น ๆ ล่างเอาผ้าขาวปิด ชั้น ๒ ชั้น ๓ เอาแผงกรุแล้วเอากระดาษสีปิดทับ เอาสำลีย้อมสีแดง สีเขียว สีเหลือง สีน้ำเงิน สีขาว ๕ สีกับทองอังกฤษมาติดทำเปนลายดอกไม้บ้าง ลายริ้วบ้าง ต่าง ๆ กัน หลังคาเปนหลังเจียดดาดผ้าขาวมีดอกไม้สดห้อย คล้าย ๆ กันกับเครื่องศพไทยโลงนั้นเอาผ้าขาวปิดมีปี่พาทย์เหมือนกับเล่นลคร ตีไปบนร้านม้าชั้นล่างมีคนหาม ถ้าร้านใหญ่คนหาม ๕๐-๖๐ คนบ้าง ถ้าร้านม้าเล็กหาม ๒๐-๓๐ คนบ้าง ดอกไม้ทำด้วยทองอังกฤษคนถือแห่น่าศพประมาณ ๒๐-๓๐ คน แล้วคนนุ่งขาวห่มขาว ๔ คน ถือขันเงินใส่เข้าตอกใส่ดอกไม้โปรยไปตามทาง บุตรภรรยาญาติพี่น้องตามไปข้างหลัง แต่ภรรยาที่จะตายด้วยผัวนั้นนุ่งขาวห่มขาวไปถึงที่เผาเปนที่ว่างเปล่า แล้วพูนดินขึ้นสูงศอกเศษ รื้อเอาเครื่องศพทำพื้น เผาแล้วขุดหลุมเคียงที่เผาศพยาว ๔ ศอก กว้าง ๔ ศอก ฦก ๓ ศอก ๔ เหลี่ยม เอาไม้ไผ่พันผ้าชุบน้ำมันมะ พร้าวใส่หลุมไว้ให้เต็มหลุม แล้วผู้ที่จะตายนั้นมีหนังสือไปบอกเจ้าเมืองใหญ่ว่าจะขอตายด้วยผัว เจ้าเมืองมีหนังสือห้ามมาว่าเขาตายแล้วก็แล้วไปเถิดอย่าตายตามเขาเลย ครั้ง ๑ สองครั้ง หญิงผู้จะตายนั้นไม่ฟังจึงมีหนังสือไปบอกอิกครั้ง ๑ เปน ๓ ครั้ง เจ้าเมืองจึงมีหนังสือมาว่าห้ามไม่ฟังแล้วมีน้ำใจรักใคร่ผัว จะตายกับผัวได้ก็ตายเถิด คนนุ่งขาวห่มขาวเหมือนพราหมณ์ ๔ คนจึงเอาไฟจุดเผาศพผู้ตายก่อนแล้วจึงจุดไฟในหลุมด้วย ญาติพี่น้องจึงเอาผ้าพันไม้บ้างด้ายพันไม้บ้างชุบน้ำมันมะพร้าว จุดไฟเผาติดพร้อมแล้ว หญิงภรรยาที่จะตายนั้น ลาบิดามารดาญาติพี่น้องแล้วก็โจนลงในหลุมตายไปด้วยกัน ดอกไม้ทองอังกฤษที่แห่ศพไปนั้น ก็ทิ้งเข้าไปในไฟเผาเสียด้วย รุ่งเช้าญาติพี่น้องชวนกันไปเก็บกระดูกใส่ขันเงินคนละขันทั้ง ๒ คนมาไว้ที่เรือน เส้น เช้า กลางวัน เย็น ๓ เพลาครบ ๓ เดือนแล้วจึงไปหาคนนุ่งขาวห่มขาว ๔ คนมาแห่เอากระดูกไปทิ้งเสียที่ทเล หญิงที่จะตายตามผัวได้นั้น ที่เปนภรรยาเจ้าเมือง ปลัดเมือง ถ้าผัวตายแล้วจะมีผัวอิกไม่ได้ ที่มีบุตรนั้นอยู่เลี้ยงบุตรไปกว่าจะโตกว่าจะแก่ จะมีผัวอิกนั้นไม่ได้ ถ้ามีผัวอิกญาติพี่น้องข้างผัวที่ตายไปร้องฟ้องแก่เจ้าเมือง ๆ ทำโทษ ลางทีฆ่าเสียบ้าง ขายเสียบ้าง ภรรยาที่ไม่มีบุตรนั้นจะมีผัวอิกก็ไม่ได้เหมือนกัน จึงต้องไปตายเสียกับผัวลางทีมีหนังสือไปบอกเจ้าเมืองว่าจะตายตามผัว เจ้าเมืองมีหนังสือห้ามครั้ง ๑ บ้าง ๒ ครั้งบ้าง ฟังคำเจ้าเมืองที่ไม่ตายตามผัวก็มีหญิงภรรยาไพร่บ้านพลเมืองนั้นไม่ต้องตายตามผัว ๆ ตายแล้วจะมีผัวใหม่อิกก็ได้ไม่มีโทษ ถ้าแลชายก็ดีหญิงก็ดีเปนผู้ร้ายลักของจับตัวได้ครั้ง ๑ เจ้าเมืองเอาไปชำระเอาของคืนให้เจ้าของ ห้ามปรามสั่งสอนแล้วปล่อยไป ถ้าไปลักเขาจับได้อิกครั้ง ๑ เจ้าเมืองเอาตัวมาทำโทษใส่กรงทำด้วยไม้จริงกว้าง ๔ ศอกยาว ๕ ศอก ๖ ศอก สูงศอก ๑ ใส่ในกรงให้นอน ลุกขึ้นนั่งไม่ได้ เพลาเช้า เพลาเย็นเอาออกให้กินเข้า ใส่กรงไว้เดือน ๑ บ้าง ๒ เดือนบ้าง ๓ เดือนบ้าง เห็นเข็ดหลาบแล้วปล่อยตัวไป ถ้าไปลักเขาอิก จับได้เปน ๓ ครั้ง เจ้าเมืองให้เอาตัวไปแทงเสีย ถ้าแลภรรยามีชู้ผัวจับได้เจ้าผัวแทงเสียทั้งหญิงทั้งชาย ถ้าจะแทงแต่ชายชู้ก็ไม่ได้ จะแทงแต่หญิงก็ไม่ได้มีโทษกับเจ้าผัว ต้องแทงเสียทั้ง ๒ คน ถ้าจับไม่ได้แต่รู้ว่าภรรยามีชู้เจ้าผัวขายภรรยาเสียได้ ถ้าแลลูกค้าผู้ใด ๆ ก็ดีไปซื้อคนชาวบาหลีต้องบอกกับกะปิตัน ๆ เรียกเอาภาษีคนละ ๑๐๐๐ อีแปะจึงเอาคนลงเรือได้ ถ้าแลไม่เสียค่าภาษีให้เอาคนมาไว้ในเรือซ่อนไว้ที่ไหนก็ดีมีผู้มาร้องฟ้อง เจ้าเมืองเอาตัวไปเสีย เงินที่ซื้อคนก็สูญเปล่า จะร้องฟ้องว่ากล่าวเอาเงินคืนไม่ได้
ครั้นณวัน ฯ๕ ข้างขึ้น ๆ กี่ค่ำจำไม่ได้ ปีมเมียอัฐศก ข้าพเจ้าเห็นกำปั่นลูกค้าเมืองสรียะบานายเรือเปนจีน ต้นหนเปนชาติวิลันดามาถึงเมืองบาหลีลำ ๑ ต้นหนวิลันดาถือหนังสือเจ้าเมืองไยกระตรามาถึงเจ้าเมืองบาหลีฉบับ ๑ ในหนังสือนั้นว่าให้เจ้าเมืองบาหลีปลูกเรือนไว้ เจ้าเมืองไยกระตราจะเอาคนมาไว้ที่เมืองบาหลีสักห้าพันคน เจ้าเมืองบาหลีเหลงจึงมีหนังสือให้ต้นหนวิลันดาถือไปถึงเจ้าเมืองไยกระตราว่า เมืองบาหลีเหลงนี้แต่ก่อนไม่เคยมีคนชาติวิลันดามาอยู่ ถ้าจะมาอยู่ให้ได้ก็มาเถิด เรือนที่จะให้คนอยู่นั้นเราปลูกไว้แล้ว อยู่ประมาณ ๙ วัน ๑๐ วันต้นหนวิลันดาก็ถือหนังสือกลับไปเมืองสรียะบา เจ้าเมืองบาหลีเหลงจึงเกณฑ์คนประมาณห้าพันคนมาทำสนามเพลาะเปนวงเดือน ที่ชาย ทเลท่าเรือจอดน่าบ้านกะปิตันปันตัด เอาไม้มะพร้าวปักเรียงกันห่างประมาณ ๓ ศอก สูง ๗ ศอก กว้าง ๗ ศอก ๒ แถวยาวประมาณ ๑๐ เส้น ใส่ขื่อชักบนปลายไม้มะพร้าวเปนคู่ ๆ กัน จึงเอาไม้ไผ่ทั้งลำมาวางเรียง ๆ กันกรุข้างใน แล้วเอาดินถม เอาน้ำรด เอาไม้กระทุ้งให้แน่น สูง ๗ ศอกถึงปลายไม้มะพร้าว
ครั้นณวัน ๖ ค่ำปีมเมียอัฐศก วิลันดาเอาเรือบดปาก กว้างประมาณ ๑๐ ศอก ๒ เสาคนในลำประมาณ ๒๐ คน มีปืนกระสุน ๔ นิ้ว ๒ บอกมาหยั่งน้ำที่อ่าวน่าเมืองบาหลีเหลงอยู่ ๒ วัน วันเดือน ๖ ขึ้น ๖ ค่ำก็กลับไป วัน ๖ ค่ำ ข้าพเจ้าเห็นเรือรบวิลันดากลับมาหยั่งน้ำอยู่อิก ๒ วัน วัน ๖ ค่ำก็กลับไป อยู่ณวัน ๗ ค่ำ ปีมเมียอัฐศก ข้าพเจ้าเห็นกำปั่นไฟลำ ๑ กำปั่นใหญ่ปืน ๒ ชั้นลำ ๑ มาทอดสมอลงที่อ่าวน่าเมืองบาหลีเหลงกำปั่นใหญ่ทอดใกล้เรือข้าพเจ้าประมาณ ๒๐ เส้นเศษ กำปั่นไฟมาทอดชิดเรือข้าพเจ้าประมาณ ๓ วา ๔ วา ข้าพเจ้าก็ลงเรือสำปั้นเอาสุกร ๒ ตัว เป็ด ๖ ตัว ลูกเรือ ๓ คนแจวเรือไปถึงท่ากำปั่นไฟ ข้าพเจ้าขึ้นไปบนกำปั่น ทหารวิลันดาถามข้าพเจ้าว่ามาแต่ไหน ข้าพเจ้าบอกว่าเปนลูกค้ากรุงเทพพระมหานครมาค้าขาย ทหารจึงลงไปบอกแก่นายทหารในท้องกำปั่น แล้วขึ้นมาพาข้าพเจ้าลงไปในท้องกำปั่น นายทหารวิลันดาจึงถามข้าพเจ้าว่าเปนลูกค้ามาแต่ไหน ข้าพเจ้าบอกว่ามาแต่กรุงเทพพระมหานคร นายทหารจึงว่าทำไมไม่รู้ฤๅ ว่าเราจะมาตีเมืองบาหลีเหลง ข้าพเจ้าบอกว่าไม่รู้ นายทหารจึงว่าเราได้มีหนังสือไปถึงเจ้าเมืองใหม่ว่าอย่าให้ลูกค้ามาค้าขายที่เมืองบาหลีเหลง ข้าพเจ้าตอบว่าข้าพเจ้าไปขอหนังสือเดินทางที่เมืองใหม่ ๆ ก็หาได้บอกแก่ข้าพเจ้าไม่ จึงได้มาค้าขายเมืองบาหลีเหลง นายทหารจึงบอกข้าพเจ้าว่าเจ้าเมืองไยกระตาบังคับมาว่า ถ้ากำปั่นมาถึงพร้อมกันแล้วให้รบเมืองบาหลีเหลงใน ๓ วัน ให้นายเรือเร่งทวงเงินให้เสร็จแล้วกลับไปเสียเร็ว ๆ ข้าพเจ้าจึงบอกว่าเงินขายของไว้ทวงได้แล้วสัก ๒ ส่วน ยังค้างอยู่กับชาวบาหลีเหลง ๒ ส่วน นายทหารจึงว่ากับข้าพเจ้าว่าให้เร่งทวงเงิน สินค้าซึ่งค้างอยู่นั้นขนลงบรรทุกเรือให้แล้วใน ๒ วัน ข้าพเจ้าจะลากลับมาเรือ นายทหารจึงว่าจะฝากหนังสือขึ้นไปให้เจ้าเมืองด้วยฉบับ ๑ แล้วเอาหนังสือมาให้ข้าพเจ้า ๆ จึงว่า ถ้าเจ้าเมืองบาหลีเหลงรับหนังสือไว้แล้ว ข้าพเจ้าจะกลับมาบอก ถ้าไม่รับไว้ข้าพเจ้าจะเอาหนังสือมาคืน ข้าพเจ้ารับเอาหนังสือ ลงเรือสำปั้นกลับไปขึ้นท่าเมืองบาหลีเหลง ข้าพเจ้าเอาหนังสือซ่อนเสียในเสื้อ ข้าพเจ้าจึงไปที่บ้านกะปิตัน ข้าพเจ้าเห็นเจ้าเมืองใหญ่เจ้าเมืองรองปลัดเมือง มาพร้อมกันอยู่ที่บ้านกะปิตัน ข้าพเจ้าหาได้เอาหนังสือออกให้ไม่ ข้าพเจ้าจึงบอกว่านายทหารวิลันดาอยู่ที่กำปั่นไฟหาตัวข้าพเจ้าไปที่กำปั่น จะให้ข้าพเจ้าเอาหนังสือขึ้นมาให้กับเจ้าเมือง ข้าพเจ้าหาอาจรับมาไม่ เจ้าเมืองจึงถามว่าเขาว่าอย่างไรบ้าง ข้าพเจ้าบอกกับนายทหารว่าเปนลูกค้ามาค้าขาย นายทหารว่าเปนลูกค้าก็ให้เร่งขนของทองเงินเสียให้เสร็จใน ๒ วัน ถ้ากำปั่นมาพร้อมกันเมื่อใดจะตีเมืองบาหลีเหลง เรือจะกีดทางปืน เจ้าเมืองจึงว่าไม่รับเอาหนังสือขึ้นมานั้นดีแล้ว ถ้าเขาจะมีหนังสือขึ้นมาให้เขาเอามาเอง เข้าของเบี้ยอีแปะซึ่งยังค้างอยู่กับผู้ใด เร่งขนลงบรรทุกเรือเสียเถิดเจ้าเมืองจึงให้คนไปตีเกราะที่ต้นทางจะขึ้นไปเมืองบาหลี บ้านตามทางก็ตีเกราะต่อ ๆ ตลอดกันไป ข้าพเจ้าดูอยู่ประมาณ ๓ บาท ๔ บาทนาฬิกา ข้าพเจ้าแลเห็นคนถือปืนถือหอกถือหลาว ที่บ้านไกล ๆ วิ่งลงมาหาเจ้าเมืองที่บ้านกะปิตันประมาณ ๑๕๐ คน ๑๖๐ คนเศษ แล้วข้าพเจ้าก็รีบลงเรือสำปั้นกลับมาที่กำปั่นไฟ เอาหนังสือคืนให้กับนายกำปั่น ๆ ถามว่าเจ้าเมืองว่ากะไร ข้าพเจ้าบอกว่าเจ้าเมืองว่าตัวเปนลูกค้าไปรับเอาหนังสือเขามาทำไม เมื่อจะมีหนังสือขึ้นมาก็ให้เขาเอาขึ้นมาเอง แล้วข้าพเจ้าก็ลานายทหารกลับมาเรือ ข้าพเจ้าให้ลูกเรือ เอาเรือสำปั้นขึ้นไปขนของที่ห้างกะปิตันลงมาบรรทุกเรือ
รุ่งขึ้น ณ วัน๗ ค่ำ เพลาเย็น ของก็ยังหาหมดไม่ ข้าพเจ้าเห็นกำปั่นมาทอดอยู่ราย ๆ กันประมาณ ๒๔ ลำ ๒๕ ลำ ข้าพเจ้าก็ลงสำปั้นไปหานายทหารที่กำปั่นไฟ ข้าพเจ้าขอทุเลากับนายทหารว่าขนของ ๒ วันแล้วขนได้ ๒ ส่วน ยังส่วน ๑ ขอทุเลาอิก ๓ วัน นายทหารจึงว่าเจ้าเมืองไยกระตาบังคับขาดมาว่ากำปั่นรบมาถึงพร้อมแล้วเมื่อใดก็ให้รบเมืองบาหลีเหลงใน ๓ วัน นายทหารจึงว่าข้าพเจ้าเปนลูกค้ากรุงเทพพระมหานครจะงดให้ อิก ๓ วัน ถ้าถึง ๓ วันแล้วเราจะยิงสนามเพลาะเมืองบาหลีเหลงให้ทลายให้สิ้น จะมาทุเลาอิกนั้นไม่ได้แล้ว ข้าพเจ้าก็กลับมาเรือเร่งขนของอยู่ จนณวัน ๘ ค่ำ ข้าพเจ้ากับลูกเรือขึ้นไปขนของบนบ้านกะปิตัน มีลูกเรือเฝ้าเรือใหญ่อยู่ ๓ คน ข้าพเจ้าลงมาที่หาดทรายชายทเล แลไปเห็นกำปั่นใช้ใบมาแต่ไกลประ มาณสัก ๒๓ ลำ ๒๔ ลำ แล้วข้าพเจ้าเห็นฝรั่งที่กำปั่นไฟลงเรือช่วงประมาณ ๓๐ คน ไปที่เรือข้าพเจ้า ขึ้นบนเรือแล้วถอนสมอข้าพเจ้าก็เร่งลงเรือสำปั้นออกไปดู ข้าพเจ้าขึ้นบนเรือถามเปนภาษามลายูว่าจะถอยเรือข้าพเจ้าไปข้างไหน พวกทหารวิลันดาบอกว่าจะถอยไปทอดเสียให้พ้นทางต่อแหลมข้างใต้ กำปั่นรบมาถึงจะมาทอดที่นี่ พวกทหารกับลูกเรือก็ถอนสมอขึ้นใช้ใบไปทอดข้างต่อแหลมข้างใต้ พ้นที่เดิมออกไปประมาณสัก ๒๐ เส้น ทอดสมอลงแล้วพวกทหารก็กลับไปกำปั่นไฟ อยู่ประมาณโมง ๑ ข้าพเจ้าแลไปดูเห็นกำปั่นมาถึง ทอดอยู่ที่เรือข้าพเจ้าทอดอยู่ก่อนประมาณ ๒๓ ลำ ๒๔ ลำ
รุ่งขึ้นณวัน ๘ ค่ำ ข้าพเจ้าขึ้นไปขนของที่บ้านกะปิตัน ข้าพเจ้าเห็นพวกชาวบาหลีเหลงถอนเอาต้นเข้าในนาริที่ทำสนามเพลาะตามชายทเลมากองเปนคันสูง ๓ ศอก ยาวประมาณ ๒ เส้นเศษ ทั้ง ๒ ข้างต่อปีกกาออกไปบังตาไม่ให้เห็นคน แล้วขุดหลุมเปนฟันปลา ฦก ๒ ศอก กว้าง ๒ ศอกบ้าง ๓ ศอกบ้าง ข้างน่ารับปืนตรง ข้างหลังไถลลาดพอขึ้นได้ลงได้ง่าย ประมาณหลุมสุดปีกกาข้างเหนือสัก ๑๕๐ หลุม ข้างใต้สัก ๑๕๐ หลุม คนอยู่ในหลุม ๆ ละ ๒ คนบ้าง ๓ คนบ้าง ประมาณ ๖๐๐ คน ๗๐๐ คน ถือปืนบ้าง ถือหอกบ้าง ถือหลาวบ้าง ทุกคน แล้วเจ้าเมืองให้รื้อเรือนที่ใกล้ ๆ ทางปืนเสีย ให้พวกครัวขึ้นไปอยู่บนเนินเขาบ้านปลัดเมืองทั้งสิ้น เอาไว้รบแต่ชายฉกรรจ์ประมาณคน ๓๐๐๐ เศษ ข้าพเจ้าขนของเสร็จแล้ว ครั้นเพลาค่ำข้าพเจ้าก็กลับลงไปเรือสินค้าที่ข้าพเจ้าขายไว้กับชาวบาหลีเหลงที่ยังทวงไม่ได้ ประมาณเงินสัก ๑๗๐๐ เหรียญ ๑๘๐๐ เหรียญ ครั้นณวัน ๘ ค่ำ นายทหารจึงให้พวกสิป่ายมาบอกข้าพเจ้าว่าวัน ๘ ค่ำ จะตีเมืองบาหลีเหลง จะยิงปืนกระสุนปืนจะถูกเรือเข้า ให้นายเรือใช้ไปเสียให้พ้น ข้าพเจ้าบอกว่าต้นหนใหญ่กับจีนลูกเรือคนหนึ่งขึ้นไปซื้อผลกาแฟ ที่เมืองมองงุย ยังหากลับไม่ ข้าพเจ้าจะขอรอท่าอยู่ก่อน พวกสิป่ายก็กลับไป เพลาเย็นข้าพเจ้าเห็นกำปั่นใหญ่มาทอดสมอเรียงลำน่ากำปั่นอยู่ข้างเหนือ ข้างกำปั่นตรงน่าสนามเพลาะออกมาประมาณ ๕ เส้นเศษ ๒๐ ลำ แล้วเอาเรือบดปากกว้าง ๕ ศอก ๖ ศอกลงน้ำ เอาปืนใหญ่ใส่น่าเรือบดลำละบอก กระสุน จะโตเล็กประการใด ข้าพเจ้าแลดูแต่ไกลประมาณหาถูกไม่ แล้วเอาสมอเล็ก ๆ สายสมอเชือกน้ำมันไปทอดไว้ริมฝั่ง เอาหางเชือกมาผูกไว้กับกำปั่นทุกลำทั้ง ๒๐ ลำ กำปั่น ๒ เสาบ้าง ๓ เสาบ้าง มีปืนรายแคมชั้นเดียวจะเปนลำละกี่บอกข้าพเจ้าหาได้นับไม่ กำปั่นอิก ๒๐ ลำเศษ ทอดห่างออกไปประมาณ ๙ เส้น ๑๐ เส้น ข้าพเจ้าเห็นกำปั่นใหญ่ปืน ๒ ชั้นลำหนึ่ง กำปั่นไฟ ๒ ลำ กำปั่นใบ ๒๐ ลำ กำปั่นใหญ่ ๓ เสาปืน ๒ ชั้น มีคนในลำประมาณ ๓๐๐ เศษ กำปั่นไฟ ๒ ลำ ๆ หนึ่งคนประมาณ ๑๐๐ เศษ กำปั่นไฟ ๒ เสาบ้าง ๓ เสาบ้าง ๒๐ ลำ คนประมาณลำละ ๑๐๐ คนบ้าง ๑๒๐ คนบ้าง ๑๓๐ คนบ้าง เข้ากันเปนกำปั่น ๔๓ ลำ ครั้นเพลาเช้าโมงเศษ ข้าพเจ้าเห็นคนในลำกำปั่นใหญ่ที่มาทอดสมอเรียงกันอยู่ทั้ง ๒๐ ลำ ลงเรือบดลำละ ๑๕ คนบ้าง ๒๐ คนบ้าง ถือปืนคาบศิลาบ้าง ถือกระบี่บ้าง สาวเชือกน้ำมันสายสมอที่ไปทอดไว้ริมตลิ่งพร้อมกันทั้ง ๒๐ ลำ เรือบดเข้าไปใกล้สนามเพลาะประมาณ ๒ เส้นเศษเอาสายสมอผูกเรือบดแล้วก็ยิงปืนใหญ่ทุกลำ ๆ ไม่ได้หยุดเสียงปืนจนเพลาเที่ยงจึงหยุด ข้าพเจ้าแลไปเห็นกำปั่นใหญ่ที่ทอดเรียงกันอยู่ยิงปืนใหญ่ขึ้นไปอีก ๓ กระสุน ๆ ข้ามสนามเพลาะไปตกลงกลางบ้านที่โรงยังไม่ได้รื้อ ห่างสนามเพลาะเข้าไปประมาณห้าเส้น กระสุนแตกออกจะถูกคนตายบ้างอย่างไร ข้าพเจ้าไม่ทราบ เห็นไฟไหม้โรงอยู่ประมาณสัก ๕ บาท ๖ บาทนาฬิกา เปลวไฟดับลงแล้ว ข้าพเจ้าเอากล้องส่องไปดูเห็นสนามเพลาะที่กลางพังราบลงกว้างประมาณ ๒ เส้น ตึกกะปิตันปันตัดก็ทลายลงด้วย พวกวิลันดาที่ในเรือบดทั้ง ๒๐ ลำ สาวสายสมอเข้าไปจนถึงฝั่งแล้วก็ขึ้นบกถือปืนคาบศิลาบ้าง ถือกระบี่บ้าง พากันกรูเข้าไปในสนามเพลาะ พวกบาหลีเหลงขึ้นจากหลุมเอาปืนคาบศิลายิงเอาพวกวิลันดาถูกเห็นล้มลงตายบ้าง ลำบากบ้าง พวกวิลันดาก็เอาปืนยิงถูกพวกบาหลีเหลงบ้าง สิ้นคราวปืนพวกบาหลีเหลงวิ่งเอาหอกไล่แทงพวกวิลันดาตายเปนอันมาก ที่หลือตายก็วิ่งหนีลงเรือบด สาวสายสมอกลับมาขึ้นกำปั่นใหญ่ วิ ลันดาจะคิดอ่านประการใดต่อไปนั้นข้าพเจ้าไม่ทราบ เพลาบ่าย๓ โมงเศษข้าพเจ้าปฤกษากับต้นหนรองลูกเรือทั้งปวงว่า บ้านเมืองเขารบกันอยู่อย่างนี้ ที่ไหนต้นหนใหญ่กับจีนลูกเรือจะมาได้เราอย่าคอยเลย พากันไปเถิด เห็นพร้อมแล้วก็ฉ้อใบขึ้นตัดสมอทิ้งเสียตัวหนึ่ง ใช้ใบเรือมาแต่อ่าวเมืองบาหลีเหลง
ณวัน ๘ ค่ำ ปีมะเมียอัฐศกเพลาเย็น มาถูกทางบ้างผิดทางบ้าง เดือน ๑ กับ ๖ วัน ถึงเมืองใหม่ วัน ๙ ค่ำ ข้าพเจ้าเอาของเมืองบาหลีมาแลกของที่เมืองใหม่ ได้ผ้าขาว ๕๐ ศอก ๒๐๐ พับ ได้ด้ายขาวหนัก ๔๐ บาท ได้หมากแห้งหนัก ๒๐๐ บาท ได้หวายหินหนัก ๑๐๐ บาท หอยเบี้ยหนัก ๕๐๐ บาท วัน ๙ ค่ำ ปีมะเมียอัฐศก กำปั่นไฟมาแต่เมืองมะเกาถึงเมืองใหม่ลำหนึ่ง ข้าพเจ้าได้ยินชาวเมืองใหม่พูดกันว่าอังกฤษนายกำปั่นเล่าให้ฟังว่าเมื่อวัน ๘ ค่ำ เกิดห้องไถที่น่าเมืองกวางตุ้ง กำปั่นเสีย กำปั่นใบ ๒๒ กำปั่นไฟ ๑ รวม ๒๓ กับสำเภาจีน ๗ ลำ ครั้นณวัน ๙ ค่ำ ข้าพเจ้าไปขอหนังสือเบิกล่องกับเสมียนเจ้าเมืองใหม่ที่โรงความ ข้าพเจ้าได้ยินพวกจีนเปนความต้องขังอยู่ในตารางพูดกันว่า เจ้าเมืองใหม่ป่วยไปรักษาตัวอยู่เมืองเกาะหมาก เมื่อไรจะหายก็ไม่รู้เลย เจ้าเมืองหายแล้วกลับมาความจึงจะได้ว่ากัน ข้าพเจ้าหาได้ถามกับเสมียนไม่ ได้หนังสือแล้วกลับมาลงเรือจะใช้ใบเข้ามาณกรุงเทพพระมหานคร ต้นหนรองชาติมุกิดคน ๑ กับคนหุงเข้าของต้นหนรองคน ๑ เข้ากัน ๒ คน ขอโดยสานเข้ามาณกรุงเทพพระมหานครกับข้าพเจ้าชมบ้านชมเมืองด้วย ออกเรือจากเมืองใหม่ วัน ๙ ค่ำ ต้นหนจีนสำหรับเรือเดิม ใช้ใบมา ๑๙ วัน
วัน ๑๐ ค่ำ ถึงเมืองสมุทปราการ ๆ ถามข้าพเจ้าแล้วก็บอกส่งขึ้นมาณกรุงเทพพระมหานคร ข้าพเจ้าได้ทราบความแต่เท่านี้