ประชุมพงศาวดาร/ภาคที่ 7/เรื่องที่ 2


คำให้การเถ้าสา เรื่อง หนังราชสีห์

 ข้าพระพุทธเจ้า เถ้าสา อายุได้ ๘๕ ปี ให้การว่า เดิมเมื่อครั้งพระที่นั่งสุริยามรินทร์ ข้าพระพุทธเจ้าอยู่กับนายอู ผัวข้าพระพุทธเจ้า ณป่าทองในกรุงเก่า ผัวข้าพระพุทธเจ้าเปนขุนหมื่นอยู่ในกรมรักษาพระองค์ ครั้นพม่าล้อมเมือง เอาไฟเผาเมือง ผัวข้าพระพุทธเจ้ากับข้าพระพุทธเจ้าเข้าไปอยู่ในพระราชวัง ที่นั่งสุริยามรินทร์ กับพระเจ้าลูกเธอ เจ้าชาย ๓ เจ้าหญิง ๑ สี่พระองค์ ข้าพระพุทธเจ้าจำพระนามหาได้ไม่ เสด็จออกมา ข้าพระพุทธเจ้ากับผัวข้าพระพุทธเจ้าก็ตามเสด็จออกมาด้วย ครั้นถึงประตูดิน ผัวข้าพระพุทธเจ้าจึงส่งหนังอันนี้ให้ข้าพระพุทธเจ้า เห็นกระดาษห่ออยู่ข้างนอกหลายชั้น ผัวข้าพระพุทธเจ้าบอกข้าพระพุทธเจ้าว่า เมื่อเสด็จพระราชดำเนินออกมาจากพระมหาปราสาทนั้น ที่นั่งสุริยามรินทร์ส่งหนังอันนี้ให้แล้วตรัสว่า หนังราชสีห์นี้เก็บไว้ให้ดี อย่าให้พม่าเอาไปได้ ข้าพระพุทธเจ้าก็รับเอาหนังราชสีห์อันนี้ห่อผ้าซ่อนไว้กับตัวข้าพระพุทธเจ้า ผัวข้าพระพุทธเจ้าจึงเอาบาตรเหล็กซึ่งใส่เครื่องทรงไปซ่อนไว้ในกอไผ่หลังวัดน่าพระเมรุ ผัวข้าพระพุทธเจ้าก็กลับมาถึงข้าพระพุทธเจ้า พออ้ายพม่าจับเอาที่นั่งสุริยามรินทร์ไป จึงตรัสเรียกผัวข้าพระพุทธเจ้าไปด้วย ข้าพระพุทธเจ้า กับพี่น้องข้าพระพุทธเจ้า ๕ คน หนีเข้าซ่อนอยู่ในโบถวัดขุนเมืองใจประมาณ ๙ วัน ๑๐ วัน ครั้นเพลาค่ำ พี่น้องข้าพระพุทธเจ้าเอาเรือมารับที่ประตูดิน ข้าพระพุทธเจ้าก็พากันลงเรือหนีลงมาอยู่กับเถ้าอินณวัดปากนาบางหลวง ข้าพระพุทธเจ้าจึงแก้กระดาษออกดู เห็นสักกระหลาดห่อหนังราชสีห์ ข้าพระพุทธเจ้าก็คลี่ดู เห็นแล้วข้าพระพุทธเจ้าก็ห่อเข้าไว้ดังเก่า ข้าพระพุทธเจ้าอยู่ประมาณปี ๑ พอผัวข้าพระพุทธเจ้าตามมาพบข้าพระพุทธเจ้าที่วัดปากน้ำ ผัวข้าพระพุทธเจ้าถามข้าพระพุทธเจ้าว่า หนังราชสีห์ซึ่งให้ไว้ยังดีอยู่ฤๅ ข้าพระพุทธเจ้าบอกว่า อยู่ดีอยู่ดอก อยู่ประมาณ ๓ ปี ๔ ปี ผัวข้าพระพุทธเจ้าศรัทธาบวชเปนภิกขุอยู่ณวัดปากน้ำพอถึงแก่กรรมตาย อยู่ประมาณ ๑๑ ปี ๑๒ ปี ฝนตกรั่วถูกหีบที่ใส่ของไว้ ข้าพระพุทธเจ้ารฦกขึ้นได้ จึงเปิดหีบดูของ แล้วข้าพระพุทธเจ้าจึงเอาหนังอันนี้ออกตากแดด พอสมีม่วงเดินลงมาเห็นหนังข้าพระพุทธเจ้าตากอยู่ ถามข้าพระพุทธเจ้าว่า หนังอะไรตากแดดอยู่นั้น ข้าพระพุทธเจ้าบอกว่า หนังราชสีห์ สมีม่วงจึงว่า ดีแล้ว ข้าจะช่วยเก็บไว้ให้ แล้วข้าจะเลี้ยงยายให้ทานกินไปกว่าจะตาย ข้าพระพุทธเจ้าก็เอาหนังราชสีห์อันนี้ส่งให้แก่สมีม่วง ๆ ก็รับเอาไว้ประมาณ ๙ วัน ๑๐ วันสมีม่วงหาให้ทานเข้าปลาข้าพระพุทธเจ้ากินไม่ ข้าพระพุทธเจ้าโกรธ ข้าพระพุทธเจ้าจึงทวงเอาหนังราชสีห์ของข้าพระพุทธเจ้า ๒ ครั้ง ๓ ครั้ง สมีม่วงก็หาให้ข้าพระพุทธเจ้าไม่ ข้าพระพุทธเจ้าจึงไปต่อว่าสมีม่วง ๆ ก็ให้หนังอันนี้มาแก่นายสัง ๆ จึงเอามาให้แก่ข้าพระพุทธเจ้า

ณวัน ๖ เดือน ๘ แรม ๕ ค่ำ ปีรกา เบญจศก จุลศักราช ๑๑๗๕ (ในรัชกาลที่ ๒) เถ้าสา เถ้าอิน เอาหนังมาณเรือนนายฤทธิรณรงค์ หาพบตัวนายฤทธิไม่ มาเข้าเวรอยู่ในพระราชวัง พบแต่บิดานายฤทธิ ๆ จึงว่า หนังอันนี้เห็นปลาด เกลือกจะเป็นของต้องพระราชประสงค์ เพลาเช้า นายฤทธิจึงจะลงไปเอาหนังอันนี้ขึ้นมาทูลเกล้าฯ ถวาย เถ้าสา เถ้าอิน ก็พาเอาหนังอันนี้กลับไปให้พระสมุห์ดู นายสังจึงมาบอกแก่หลวงอนุรักษ์ภูเบศร์ ๆ ก็ข้ามไปดูหนังอันนี้ เห็นปลาดอยู่ ให้งดไว้ก่อน เพลาเช้า พบนายฤทธิพร้อมกันที่วัดปากน้ำ จึงจะนำตัวข้าพระพุทธเจ้ากับหนังขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ครั้นรุ่งเช้า นายฤทธิรณรงค์กับหลวงอนุรักษ์ภูเบศร์ไปหาข้าพระพุทธเจ้า เอาหนังกับตัวข้าพระพุทธเจ้าขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย เปนความ (สัตย์จริงของ) ข้าพระพุทธเจ้าเท่านี้ ขอเดชะ ๚

อธิบาย เรื่อง หนังราชสีห์

หนังที่กล่าวถึงในคำให้การนี้ ไม่ปรากฎว่า แล้วไปอยู่ที่ไหนต่อมา แต่ไม่ได้ใช้ในราชการ จึงเข้าใจว่า เมื่อถามคำให้การแล้ว จะไม่ทรงเชื่อถือว่า เปนหนังราชสีห์ แลไม่เชื่อคำให้การเถ้าสาว่า เปนความจริงด้วย เพราะที่เรียกกว่า หนังราชสีห์ นั้น แต่ก่อนมาถือกันว่า รูปร่างอย่างที่เขียนกันไว้แต่โบราณ เช่นเขียนในดวงตราพระราชสีห์เปนต้น เห็นเปนของไม่มีจริง ฤๅที่ยอมรับว่า มี คนก็เชื่อว่า มีในป่าพระหิมพานต์ อันมนุษย์จะพบเห็นได้ด้วยยาก มีเรื่องราวหนังสือพงษาวดารเหนือว่า ขุนสิงหฬสาครไปได้หนังราชสีห์มาครั้งหนึ่ง ก็เปนเรื่องพิฦกกึกกือน่ากลัวอันตรายมาก พ้นวิไสยที่ใครจะไปทำอย่างขุนสิงหฬสาครได้อิก คติความคิดที่มาถืออย่างประเทศอื่นว่า ไลออน ฤๅ สิงโต นี้เองคือราชสีห์ฉนี้ พึ่งมาปรากฎต่อเมื่อในรัชกาลที่ ๔ แต่มีความปลาดอยู่ในเรื่องพระราชพงษาวดารว่า เมื่อในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเอกทัศ ที่เรียก พระที่นั่งสุริยามรินทร นั้น แขกฤาฝรั่งชื่อ อะลังกะปูนี ได้เอาสิงโตเข้ามาถวาย ถ้าหากเกิดความเชื่อถือในครั้งนั้นว่า สิงโต ฤา ไลออน เปนอย่างเดียวกับราชสีห์ หนังราชสีห์ที่มีในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าเอกทัศก็เห็นจะเปนหนังสิงโตตัวนั้นเอง แต่ที่เถ้าสาว่า ตัวไปได้มาอย่างไรนั้น เปนคนละเรื่อง เหลือวินิจฉัย. ๚