แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๒๒๕–๒๓๔ สารบัญ



อยู่มาวันหนึ่ง กองจู๊เปกอิบโค้รำลึกถึงกีเซียงผู้บิดา จึงเรียกซันงีเสงมาปรึกษาว่า ตั้งแต่บิดาเราไปเป็นโทษติดตรุลำบากอยู่ในเมืองหลวงถึงเจ็ดปีแล้ว เรามิได้ปฏิบัติบิดาเลย เราคิดว่า จะไปเมืองจิวโก๋ จะเข้าอยู่ในตรุรับโทษแทนบิดาเรา ท่านจะเห็นประการใด ซันงีเสงจึงว่า เมื่อบิดาท่านจะไปเมืองหลวง สั่งไว้ว่า ถ้าครบเจ็ดปีแล้วจึงจะพ้นเคราะห์ได้คืนมาเมือง บัดนี้ จวนจะครบกำหนดอยู่แล้ว ท่านอย่าไปเลย ถ้าขืนไปก็จะผิดกับคำกีเซียงสั่ง ทุกวันนี้ พระเจ้าติวอ๋องก็ลุ่มหลงเชื่อถ้อยคำนางขันกี ถ้าท่านไป เห็นจะมีอันตรายเป็นมั่นคง ขอท่านแต่งคนสนิทให้ไปสอดแนมฟังดูก่อน กองจู๊เปกอิบโค้จึงว่า บิดเรามีบุตรชายถึงเก้าสิบเก้าคน เลี้ยงมาจนโตใหญ่ บัดนี้ บิดาได้ความทุกข์ยาก เราผู้เป็นบุตรที่หนึ่งจะนิ่งเสียไม่ได้ไปติดตาม เหมือนหนึ่งหามีกตัญญูไม่ ท่านอย่าห้ามเราเลย คงจะตามไปให้ได้ เรามีของดีอยู่สามสิ่ง จะเอาไปถวายพระเจ้าติวอ๋อง ทูลขอบิดาเราให้พ้นโทษที่ผิด กองจู๊เปกอิบโค้ก็เข้าไปลานางไทกีผู้เป็นมารดา บอกว่า จะไปตามบิดา ณ เมืองจิวโก๋ นางไทกีจึงว่า เจ้าจะไป แล้วใครจะว่าราชการเมืองแทนเล่า กองจู๊เปกอิบโค้จึงว่า ข้าพเจ้าจะให้กีฮวดผู้น้องว่าแทน และการข้างนอกนั้นไว้กับเสี้ยงไต้หูซันงีเสง ถ้าการศึกไว้กับหลำจงกวด นายทหารเอก มารดาอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะขอลาไป นางไทกีเห็นจะห้ามมิฟังก็ยอมให้ไป แล้วว่า เจ้าจงไปดีมาดี ระวังตัวอย่าให้มีอันตรายได้ กองจู๊เปกอิบโค้ก้คำนับลามารดา แล้วสั่งกีฮวดผู้น้องว่า เจ้าจงอยู่ว่าราชการบ้านเมือง อย่าถือแก่งแย่งกันกับพี่น้องและขุนนางทั้งปวง พี่ไปไม่ช้านัก ในสองสามเดือนจะกลับมา กองจู๊เปกอิบโค้ก็จัดแจงข้าวของผู้คนพร้อม ถึงวันดีก็ออกจากเมือง กีฮวดผู้น้องกับขุนนางทั้งปวงก็ตามไปส่งประมาณหนทางสิบโยชน์แล้วกลับมาเมือง กองจู๊เปกอิบโค้ก็ให้ทหารถือธงทวนแห่เดินประทับรอนแรมมาตามทาง ชาวด่านออกมาคำนับรับทุกตำบลจนถึงเมืองจิวโก๋ หยุดประทับอยู่ ณ กงก๋วนห้าวัน ก็เข้าหาไจเสียงปิกัน ปิกันจึงถามว่า เจ้ามาแต่ไหน กองจู๊เปกอิบโค้คำนับแล้วก็เล่าความทั้งปวงให้ปิกันฟัง ปิกันครั้นได้ฟังก็ลุกออกมาจูงมือกองจู๊เปกอิบโค้ให้เข้าไปนั่งเก้าอี้ด้วยกัน กองจู๊เปกอิบโค้จึงว่า บิดาข้าพเจ้ามาต้องโทษจำอยู่ในตรุช้านาน ข้าพเจ้าขอบุญท่านเป็นที่พึ่ง ช่วยนำเฝ้าถวายของข้าพเจ้าได้มาสามสิ่งดีนัก จะขอไถ่โทษบิดากลับไปเมือง ครั้งนี้ ข้าพเจ้าหาที่พึ่งมิได้ เห็นแต่ท่านผู้เดียว จงสงเคราะห์ช่วยกราบทูลแก้ไขด้วย ถ้าสืบไปเมื่อหน้า ข้าพเจ้ามิตาย จะแทนคุณท่าน ปิกันจึงถามว่า เจ้าได้ของดีมาสามสิ่งนั้นคือสิ่งใด กองจู๊เปกอิบโค้จึงบอกว่า ข้าพเจ้าได้ซิกฮงกี คือ เจียมดีผืนหนึ่ง ลิงเผือกตัวหนึ่ง หญิงรูปงามสิบคน ปิกันจึงว่า เจียมปูนั่งถมไป เจ้าว่าเป็นของดีอย่างไร ไม่เห็นด้วย กองจู๊เปกอิบโค้จึงว่า เจียมผืนนี้วิเศษ เป็นของพระมหากษัตริย์มาแต่ก่อน ถ้าปูไว้บนรถ จะไปทิศใด รถก็ไปได้โดยไม่ต้องมีคนมีม้าชัก ถ้าคนเสพสุราเหลือขนาด เมาไม่รู้ตัว เอาเจียมผืนนี้ปูนั่งนอนแล้ว ก็สร่างหายโดยเร็ว ลิงเผือกตัวนี้ก็พูดภาษาคนรู้ ขับรำทำเพลงได้ ปิกันจึงว่า ของถวายเจ้าจัดมาดีชอบกลอยู่ เห็นจะพอพระทัยพระมหากษัตริย์ แต่ทุกวันนี้ พระองค์มิได้ออกว่าราชการ หลงใหลไปแต่เล่น ถ้าของถวายของเจ้าเข้าไป ก็จะยิ่งเพลิดเพลินสนุกหนักขึ้น แต่ตัวเจ้ามีกตัญญูจะช่วยบิดาให้พ้นโทษ เราคิดสงสาร จะพาเข้าไปกราบทูลถวายของให้ แล้วปิกันก็พากองจู๊เปกอิบโค้เข้าไปในวัง ให้ขันทีทูลเบิกเข้าไปเฝ้า กราบทูลว่า กองจู๊เปกอิบโค้ บุตรกีเซียง เอาเจียมวิเศษ ลิงเผือก หญิงรูปงามสิบคน มาถวาย จะขอรับประทานโทษบิดา พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า บิดาของตัวโทษถึงสิ้นชีวิต หากเราเอ็นดู จึงมิให้ตาย แต่จำไว้ จะมาขออีกเล่า กองจู๊เปกอิบโค้ทูลว่า ถึงพระองค์มิให้บิดาข้าพระองค์พ้นโทษก็ตาม แต่ขอให้ข้าพระองค์เข้ารับโทษแทนบิดาเถิด พระเจ้าติวอ๋องตรัสว่า ตัวมิได้มีโทษ จะรับโทษแทนกันได้หรือ นางขันกีนั่งอยู่ในมู่ลี่ ได้ยินพระเจ้าติวอ๋องตรัสอึ้งอยู่ จึงเผยมู่ลี่มองดู เห็นกองจู๊เปกอิบโค้รูปร่างงดงาม ก็คิดรัก แกล้งทำลับ ๆ ล่อ ๆ แลดูให้สบตากองจู๊เปกอิบโค้ แล้วก็เข้าไปส่งกระจกผัดหน้าแต่งตัวออกมาเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสบอกนางขันกีว่า กองจู๊เปกอิบโค้มาขอโทษกีเซียงผู้บิดา นางขันกีจึงทูลว่า ข้าพระองค์เมื่อยังอยู่กับบิดามารดานั้น เขาเลื่องลือกันว่า กองจู๊เปกอิบโค้คนนี้ดีดขิมดีหามีผู้ใดเสมอไม่ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสสั่งให้เอาขิมมาให้กองจู๊เปกอิบโค้ กองจู๊เปกอิบโค้จึงกราบทูลว่า บิดาข้าพระองค์อยู่ในโทษ ข้าพระองค์เป็นทุกข์อยู่ จะมาดีดขีมขับร้องหาควรไม่ พระเจ้าติวอ๋องตรัสว่า เราใช้ตัว จะมีใครนินทาเล่า จงดีดขิมขับไปเถิด ถ้าเพราะจริง เราจะยกโทษกีเซียงให้ กองจู๊เปกอิบโค้ได้ฟังก็ดีใจ จึงหยิบขิมมาดีดแล้วขับร้องขับย้ายลำนำถวาย พระเจ้าติวอ๋องได้ทรงฟัง เพลินพระทัยไป สั่งให้ยกโต๊ะกับสุรามาเสวยด้วยนางขันกี นางขันกีริมสุราพลางชม้อยดูกองจู๊เปกอิบโค้เนือง ๆ แล้วก็คิดว่า พระเจ้าติวอ๋องอายุก็เข้าเรือนห้าสิบแล้ว เนื้อหนังหน้าตาก็เหี่ยวแห้ง ดีแต่มีบุญมากเป็นกษัตริย์เท่านั้น ตัวกูก็กำลังเป็นสาว กองจู๊เปกอิบโค้ก็หนุ่ม ถ้าได้เป็นผัวเมียกันจึงจะสมควร คิดแล้วแสร้งอุบายทูลว่า พระองค์จะปล่อยกีเซียงให้พ้นโทษ พ่อลูกก็จะพากันไปบ้านเมือง ข้าพระองค์เสียดาย กีเซียงเป็นนักปราชญ์สารพัดรู้ กองจู๊เปกอิบโค้ก็ดีดขิมขับร้องดี คนอย่างนี้หายากนัก ถ้าปล่อยไปเสียแล้วจะได้คนที่ไหนมาใช้อีกเล่า ขอกองจู๊เปกอิบโค้ไว้ให้ฝึกสอนข้าพระองค์ให้ดีดขิมเถิด ถ้ารู้ดีแล้วจะได้ดีดถวาย พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็ทรงพระสรวล ตรัสว่า ตามใจเจ้าเถิด แล้วก็ตรัสสั่งให้กองจู๊เปกอิบโค้สอนให้นางขันกีดีดขิม

ฝ่ายนางขันกีครั้นได้ทีก็แกล้งรินสุราถวายให้เสวยเจ็ดจอกแปดจอก พระเจ้าติวอ๋องก็เมาจนลืมสติหาสมประดีไม่ พอเวลาค่ำ นางขันกีก็เรียกนางสนมให้ช่วยประคองเสด็จเข้าที่บรรทม แล้วนางก็เอาขิมมาสองอัน ส่งให้กองจู๊เปกอิบโค้อันหนึ่ง นางดีดอันหนึ่ง นางขันกีดีดพลาง พลางแลดูกองจู๊เปกอิบโค้ กองจู๊เปกอิบโค้จึงว่า การดีดขิมนี้ยากนัก ถ้าจะเรียนให้รู้จริง ๆ จงมีความเพียรตั้งจิตเป็นใจเดียว อย่าคิดการอื่นเป็นสองใจ นัยน์ตาให้ก้มดูขิมกับสายขิม อย่าเหลียวแลไปที่อื่น คนเสพสุราเมาก็ดีดขิมไม่ได้ นางขันกีก็รับว่าจะทำ ครั้นเห็นคนว่าง คิดจะใคร่ชวนกองจู๊เปกอิบโค้ร่วมรัก แต่ทำผุดลุกผุดนั่งขยับตัวให้ท่วงทีกองจู๊เปกอิบโค้ ครั้นเห็นไม่สมคิด จึงเรียกให้ยกโต๊ะกับสุรามา แล้วเรียกกองจู๊เปกอิบโค้ว่า มากินด้วยกัน กองจู๊เปกอิบโค้ก็คุกเข่าคำนับแล้วว่า ข้าพเจ้าเป็นลูกคนโทษ จะโปรดให้ข้าพเจ้าไปนั่งที่สูงกินโต๊ะร่วมนั้นหาควรไม่ นางขันกีจึงว่า เจ้าเป็นครู เราเป็นศิษย์ จะกินร่วมโต๊ะกันก็ได้ ไม่พอที่จะ แล้วดีดขิมก็นั่งห่างกันนัก เราดีดตามไม่ทัน จำเพลงไม่ได้ ขอขึ้นนั่งบนตักเจ้า เจ้าอุ้มเราจับมือสอน สักประเดี๋ยวก็จะรู้ กองจู๊เปกอิบโค้ได้ฟังก็ตกใจจนตัวสั่นแล้วว่า ถึงจะนั่งห่างกัน ถ้าตาดูหูฟังสังเกตอยู่แล้วก็จำได้ ซึ่งจะขึ้นนั่งบนตักให้จับมือสอนนั้น ข้าพเจ้ากลัวพระราชอาญานัก นางขันกีเห็นกองจู๊เปกอิบโค้สัตย์ซื่อมั่นคง ครั้นจะดับไฟเสีย ก็กลัวกองจู๊เปกอิบโค้จะไม่ตามใจ ไม่เป็นอันดีดขิม ทำแต่มารยายิ้มแย้มให้ท่วงทีอยู่ กองจู๊เปกอิบโค้เห็นนางขันกีทำดังนั้นก็คิดว่า วันนี้เป็นกรรมของเราจะถึงที่ตายเหมือนปลาเข้าอยู่ในแหแล้ว จึงว่ากับนางขันกีว่า ทุกวันนี้ ขุนนางและราษฎรทั้งปวงย่อมคำนับกราบไหว้ท่านเป็นที่พึ่งที่นับถือ สรรเสริญว่า นางเทพธิดา จะจงใจให้ข้าพเจ้าทำดังนี้หาสมควรไม่ นางขันกีได้ฟังก็มีความอายยิ่งนัก จึงสั่งสาวใช้ให้บอกกองจู๊เปกอิบโค้ว่า ถอยออกไปเสียให้ห่าง แล้วแสร้งร้องว่า ไม่พอที่พระจันทร์จะมาส่องแสง ต้องน้ำตมน้ำครำ ทำให้คนดูถูกเล่น ว่าแล้วก็เข้าไปในที่บรรทมพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องครั้นสร่างเมาสุราตื่นบรรทมเห็นนางขันกี จึงถามว่า เจ้าเรียนดีดขิมได้บ้างแล้วหรือ นางขันกีกราบทูลว่า กองจู๊เปกอิบโค้หาได้ตั้งใจสอนข้าพระองค์ไม่ มีแต่พูดเกี้ยวพาน ข้าพระองค์ได้ความเจ็บอายนัก พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็ทรงพระโกรธ ครั้นเวลาเช้า เสด็จออก ให้หากองจู๊เปกอิบโค้เข้ามาเฝ้า จึงตรัสว่า เราสั่งให้สอนนางขันกีดีดขิม เหตุใดมิสั่งสอนโดยสุจริต คิดจะพูดเกี้ยวพานเล่น กองจู๊เปกอิบโค้จึงทูลว่า ข้าพระองค์จะได้พูดจาเกี้ยวนางหามิได้ ถ้ามีจริงดังนั้น ขอให้ลงโทษถึงสิ้นชีวิต และการดีดขิมนี้ยากที่จะรู้ได้โดยเร็ว ค่อยเรียนเพียรไปจึงจะรู้ พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็คิดเห็นว่า กองจู๊เปกอิบโค้เป็นคนสัตย์ซื่อ มาขอโทษบิดา จะทำดังนั้นยังสงสัยอยู่ นางขันกีเห็นพระเจ้าติวอ๋องยังไม่เอาโทษกองจู๊เปกอิบโค้ จึงกราบทูลว่า กองจู๊เปกอิบโค้ได้ลิงเผือกมาถวายว่า ขับรำทำเพลงได้ ขอให้เอามาดู พระเจ้าติวอ๋องก็สั่งให้เอาลิงเผือกเข้ามาขับรำถวาย นางขันกีเมื่อฟังลิงขับรำอยู่นั้นเคลิ้มสติม่อยหลับไป เฮาหลีปิศาจซึ่งสิงอยู่ก็กลายเป็นเสือปลา คนทั้งปวงหาเห็นไม่ แต่ลิงเผือกแลเห็น ก็วิ่งขึ้นไปจะจับตัวเฮาหลี นางขันกีตกใจ หลบเข้าแอบหลังพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องเห็นดังนั้นก็เอาไม้กระบองตีลิงเผือกตาย

นางขันกีได้ทีจึงทูลว่า กองจู๊เปกอิบโค้แกล้งเอาลิงเผือกมาจะให้ฆ่าข้าพระองค์ หากพระองค์ช่วยทัน ข้าพระองค์จึงรอดจากความตาย พระเจ้าติวอ๋องก็ยิ่งทรงพระโกรธ ตรัสถามกองจู๊เปกอิบโค้ว่า เหตุใดตัวแกล้งปล่อยลิงขึ้นมาให้ทำร้ายนางขันกี กองจู๊เป๊กอิบโค้จึงทูลว่า ลิงเป็นชาติเดียรัจฉาน เห็นพระองค์เสวยผลไม้อยู่บนโต๊ะ ไม่รู้ว่าต่ำสูงก็เข้าไปหยิบกินเพราะความอยาก อนึ่ง มือลิงก็หามีอาวุธถือไม่ จะว่าฆ่าคนกระไรได้ พระเจ้าติวอ๋องก็ยิ่งทรงพระโกรธ ตรัสว่า อ้ายเจ้าสำนวน เมื่อสอนให้นางขันกีดีดขิมก็พูดจาหยิกหยอก กูนิ่งเสียครั้งหนึ่งแล้ว กลับปล่อยลิงขึ้นมาจนกูเห็นแก่ตายังไม่รับ แต่แรกกูคิดว่า ดีมีกตัญญู มิรู้ ก็หาดีไม่ กองจู๊เปกอิบโค้ได้ฟังดังนั้นคิดว่า วันนี้ ที่ไหนกูจะรอดชีวิต คิดแล้วจึงด่านางขันกี อีคนพยาบาทน้ำใจพาล ไม่พอที่จะมาใส่โทษกู ว่าแล้วก็ฉวยขิมขว้างเอานางขันกี ขิมนั้นไปตกถูกโต๊ะที่เสวย ถ้วยจานแตกกระจายสิ้น พระเจ้าติวอ๋องก็ทรงพระโกรธยิ่งนัก ตรัสสั่งบูซูให้จับกองจู๊เปกอิบโค้ไปทิ้งลงในเหวให้งูกิน นางขันกีทูลว่า โทษของกองจู๊เปกอิบโค้ทำดังนี้ อย่าทิ้งลงในเหวเลย ให้เอาตะปูตอกตรึงมือตรึงเท้า แล้วเชือดเนื้อทำไส้ขนมเปี๊ยะไปให้กีเซียงกิน ถ้ากีเซียงเป็นนักปราชญ์เหมือนคำคนเลื่องลือก็จะรู้ว่า เนื้อกองจู๊เปกอิบโค้ผู้บุตร หากินไม่ จึงให้ฆ่ากีเซียงเสียด้วย ถ้ากีเซียงกินเนื้อลูก ก็เห็นว่า เป็นคนโง่ หาต้องการที่จะฆ่าไม่ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เจ้าว่านี้เหมือนข้าคิดดีนัก จึงสั่งให้ทำตามคำนางขันกีว่า แล้วสั่งให้ขุนนางกับบูซูกำกับกันเอาขนมเปี๊ยะไปให้กีเซียงกิน

ฝ่ายกีเซียงวันนั้นเอาขิมมาดีดเล่น เสียงไม่เพราะเหมือนแต่ก่อน ก็รู้ว่า กองจู๊เปกอิบโค้ผู้บุตรถึงแก่ความตาย จึงว่า เพราะลูกเราไม่ฟังคำเรา ขืนมาให้เขาฆ่าตายลำบาก บัดนี้ นางขันกีจะเอาเนื้อลูกมาให้เรากิน ถ้าเราไม่กินก็จะฆ่าเสีย กีเซียงคิดแล้วก็ร้องไห้ พวกพ้องบ่าวไพร่เห็นดังนั้นจึงถามว่า ท่านนั่งดีดขิมอยู่ดี ๆ เหตุใดจึงร้องไห้ กีเซียงก็มิได้บอกประการใด พอบูซูเอาขนมเปี๊ยะมาให้ บอกว่า เสด็จไปเล่นป่าได้เนื้อกวางเนื้อหมีมาทำขนมเปี๊ยะ รับสั่งให้เราเอามาประทาน กีเซียงกราบลงแล้วแลดูรู้ว่า เนื้อกองจู๊เปกอิบโค้ผู้บุตร จึงทำเป็นว่า รับสั่งเอาของมาพระราชทานเรานี้ หาพระคุณที่สุดมิได้ แล้วหยิบเอาขนมเปี๊ยะมากินสิ้นทั้งสามอัน กินแล้วกีเซียงก็หัวเราะ แล้วว่ากับบูซูว่า ท่านช่วยพิดทูลให้ดีด้วย ถ้ามิตายจะแทนคุณท่าน ครั้นขุนนาง บูซู ไปแล้ว กีเซียงก็ร้องไห้ทุกข์ร้อนถึงกองจู๊เปกอิบโค้ผู้บุตร หาเป็นกินเป็นนอนไม่




ตอน ๑๘ ขึ้น ตอน ๒๐