หน้า ๒๑๕–๒๒๕ สารบัญ
อยู่มาวันหนึ่ง นางขันกีคิดจะฆ่าเกียงจูแหยซึ่งเป็นที่แหไต้หูสีเทียนก้าม จึงเขียนแผนที่พระที่นั่งลกไต๋เข้าไปถวายให้ทอดพระเนตร แล้วทูลว่า พระที่นั่งลกไต๋นี้เสาทำด้วยแก้ว บานพระแกลฝาผนังทำด้วยมรกต และไพฑูรย์ ศิลา ทอง แก้วต่าง ๆ ถ้าพระองค์สร้างขึ้นไว้ จะได้ลือชาปรากฏแก่ราษฎรหัวเมืองทั้งปวง ถึงวันดีคืนดีจะได้ขึ้นไปทำสักการบูชาแก่เทพยดา เทพยดาก็จะมาเที่ยวเล่นชมปราสาทและให้พรพระองค์ พระองค์ก็จะจำเริญมีพระชันษาได้พันปี พระเจ้าติวอ๋องจึงว่า เจ้าคิดนี้ดีนัก จะได้ผู้ใดเป็นนายช่างตกแต่งทำลกไต๋ดี นางขันกีจึงทูลว่า ซึ่งผู้จะทำได้นั้นเห็นแต่เกียงจูแหยซึ่งโปรดให้เป็นที่แหไต้หูสีเทียนก้ามผู้เดียวจะทำได้ จึงรับสั่งให้หาเกียงจูแหย ผู้รับสั่งไปพบเกียงจูแหยอยู่ ณ บ้านปิกัน จึงเข้าไปคำนับบอกว่า มีรับสั่งให้หาท่านแหไต้หูสีเทียนก้าม ปิกันได้ฟังคิดสงสัยว่า จะให้หาเกียงจูแหยเข้าไปด้วยราชการสิ่งใด เกียงจูแหยจึงว่า วันนี้ กรรมมาถึงข้าพเจ้าแล้ว จะขอลาท่านไป บุญคุณท่านมีอยู่กับข้าพเจ้ามากนักหนา เมื่อใดจะได้กลับมาแทนคุณท่าน ตั้งแต่นี้ นานจะได้พบกัน ปิกันจึงว่า ท่านรู้ความอย่างนั้น จงอย่าเพ่อเข้าไปเฝ้า จงยับยั้งฟังดีร้ายอยู่สักเวลาก่อนจะเป็นไร เกียงจูแหยจึงว่า ถึงจะยับยั้งอยู่ก็เห็นไม่พ้นภัย เมื่อกรรมชาติก่อนได้ทำมา ก็จะก้มหน้าไปตามกรรม เกียงจูแหยจึงเขียนหนังสือฉบับหนึ่ง เอาหินฝนหมึกทับไว้บนโต๊ะที่ไว้พระ แล้วว่ากับปิกันว่า ถ้าท่านมีกิจสุขทุกข์ไปเมื่อหน้า จงเปิดดูทำตามหนังสือเถิด ว่าแล้วก็คำนับลาไป ปิกันก็ยุดมืดไว้แล้วว่า ข้าพเจ้าจะไปด้วย ถ้าขัดข้องสิ่งใดจะได้แก้ไขกัน เกียงจูแหยจึงว่า ท่านอย่าเป็นกังวลกับข้าพเจ้าเลย จงอยู่รักษาบุตรภรรยาเถิด ว่าแล้วเกียงจูแหยก็เข้าไปเฝ้ากับผู้รับสั่ง ณ พระที่นั่งเตียะแซเหลา พระเจ้าติวอ๋องก็ให้ดูแผนที่อย่างที่นั่งลกไต๋ จึงตรัสว่า เราจะให้ท่านเป็นนายช่างทำลกไต๋นี้ สักกี่เดือนจึงจะแล้ว เกียงจูแหยจึงคิดว่า บ้านเมืองนี้นานไปเบื้องหน้าก็จะเป็นจลาจล ที่ไหนกูจะได้อยู่ในเมืองนี้ จะรับทำหาต้องการไม่ คิดแล้วจึงแกล้งทูลว่า อันอย่างพระที่นั่งลกไต๋นี้ยากนัก ทำสามสิบห้าปีจึงจะแล้ว พระเจ้าติวอ๋องได้ทรงฟังจึงผินพระพักตร์มาตรัสกับนางขันกีว่า เจ้าได้ยินหรือไม่ เกียงจูแหยเขาว่า ทำลกไต๋กว่าจะแล้วถึงสามสิบห้าปี คนเราทุกวันนี้อายุจะยืนไปสักกี่มากน้อย กว่าพระที่นั่งลกไต๋จะแล้ว เราก็จะตายเสีย ปลูกขึ้นไว้ทำไม ไม่ต้องการ นางขันกีจึงทูลว่า เกียงจูแหยแกล้งบิดพลิ้ว หาสามิภักดิ์ต่อพระองค์ไม่ พูดจาขัดรับสั่งดูถูกพระเจ้าแผ่นดิน ขอให้ลงพระราชอาญาตามโทษเถิด พระเจ้าติวอ๋องจึงว่า ชอบแล้ว จึงให้บูซูจับตัวเกียงจูแหยไว้ เกียงจูแหยจึงว่า ข้าพเจ้าจะขอกราบทูลที่ขัดข้องเสียให้ทราบก่อน ซึ่งพระองค์จะให้สร้างพระที่นั่งลกไต๋นี้เป็นการใหญ่โตนัก ไพร่บ้านพลเมืองจะได้ความยากแค้นหามีความสุขไม่ ข้าพเจ้าจึงได้ทูลขัด และพระองค์จะมาหลงด้วยสตรี เสวยแต่สุรา มิได้เสด็จออกว่าราชการ ขุนนางผู้ที่สัตย์ซื่อจะเพ็ดทูลเตือนพระสติ พระองค์ก็มิได้เชื่อฟัง หลงเชื่อแต่คนพาลพูดสอพลอคอยยุยง พระองค์หารู้ว่าจะมีอันตรายต่อพระองค์ไม่ ใช่จะเป็นกษัตริย์ได้แต่พระองค์เดียว ผู้อื่นที่มีบุญก็จะเป็นกษัตริย์ได้เหมือนกัน ข้าพเจ้าสงสารแต่พระองค์ เห็นว่า จะครองราชสมบัติไปไม่ยืดยาวแล้ว
พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็ทรงพระโกรธ ด่าว่า อ้ายคนนี้พูดจาหยาบช้านัก บูซูจงจับตัวเอามีดแหวะปากเชือดลิ้นเสียให้ลำบาก บูซูก็พากันเข้าจับตัวเกียงจูแหย เกียงจูแหยก็สะบัดมือบูซูหลุดหนีลงจากที่เตียะแซเหลา พระเจ้าติวอ๋องก็ร้องสั่งให้เร่งจับตัวให้ได้ เกียงจูแหยวิ่งหนีมาถึงคลองน้ำสะพานข้ามแห่งหนึ่ง พอบูซูตามมาทันจะเข้าจับตัว เกียงจูแหยจึงว่า มึงอย่ามาจับกูเลย กูหากลัวไม่ ว่าแล้วก็ร่ายมนตร์โดดลงในน้ำประดาน้ำดำดินหนีไป บูซูก็เอาเนื้อความเข้ามากราบทูลว่า เกียงจูแหยโดดน้ำหนีไป จะเป็นตายประการใดหาทราบไม่ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า มันมีความรู้โดดน้ำหนีไปได้ก็ช่างมัน แล้วผันมาตรัสแก่นางขันกีว่า เราจะได้ผู้ใดทำลกไต๋เล่า นางขันกีจึงกราบทูลว่า ขอให้ซ่องเฮ่าเฮ้าทำเถิด เห็นจะได้ พระเจ้าติวอ๋องจึงสั่งให้ซินฮองถือหนังสือไปหาตัวซ่องเฮ่าเฮ้า ขุนนางฝ่ายทหาร ซิงฮองก็รับสั่งออกมาจากที่เฝ้า พอพบเอียวหยิมจึงบอกว่า บัดนี้ มีรับสั่งจะให้เราไปหาตัวซ่องเฮ่าเฮ้ามาทำพระที่นั่งลกไต๋ เอียวหยิมจึงว่า เพราะจะทำที่นั่งลกไต๋ เกียงจูแหยทูลทัดทานก็เป็นโทษจนต้องโจนน้ำตาย บัดนี้ จะให้หาซ่องเฮ่าเฮ้ามาทำอีกเล่า ท่านจงงดไว้ก่อน เราจะเข้าไปทูลห้ามไว้ ว่าแล้วเอียวหยิมก็เข้าไปในวัง ให้เจ้าพนักงานทูลว่า เอียวหยิมจะเข้าไปเฝ้า จึงมีรับสั่งโปรดให้เอียวหยิมเข้าไปเฝ้า ณ พระตำหนักเตียะแซเหลา เอียวหยิมจึงกราบทูลว่า ทุกวันนี้ พระองค์เชื่อถือนางขันกี ขุนนางผู้สัตย์ซื่อทูลเตือนพระสติจะให้ดี ก็กลับได้ความผิด ซึ่งจะให้ทำพระที่นั่งลกไต๋นั้น ไพร่บ้านพลเมืองจะได้ความเหน็จเหนื่อยลำบากนัก ถ้าพระองค์มิเชื่อข้าพเจ้า ขืนจะให้ทำพระที่นั่งลกไต๋ เห็นว่า พระองค์จะหาทันได้เสด็จอยู่ไม่ อนึ่ง พระราชทรัพย์ในท้องพระคลังและข้าวเปลือกในเมืองหลวงก็จะบกพร่องเบาบางหาเพิ่มเติมไม่ บุนไท้สือซึ่งเป็นแม่ทัพไปเมืองปักไฮนั้นกว่าสิบปีแล้วก็ยังไม่กลับมา จะดีร้ายประการใดก็มิได้รู้ พระองค์ยังคิดบ้างหรือไม่ ข้าพเจ้าคิดเสียดายแต่กษัตริย์เสวยราชสมบัติสืบพระวงศ์ได้หกร้อยปีเศษบ้านเมืองก็หาเป็นดังนี้ไม่ เห็นราชสมบัติจะเป็นของผู้อื่นไม่ช้าแล้ว พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็ทรงพระโกรธ จึงลุกขึ้นยืนร้องด่าว่า อ้ายเอียวหยิม มึงพูดจาหยาบช้าต่อกู แล้วสั่งบูซูให้ควักลูกตาเอียวหยิมเสีย ครั้นจะฆ่าให้มันตาย ก็คิดถึงความชอบซึ่งได้ทำไว้แต่ก่อน เอียวหยิมจึงทูลว่า ซึ่งจะให้ควักตาข้าพเจ้านั้น ถึงจะได้ลำบากอย่างไรก็ไม่คิด คิดกลัวแต่ว่า ขุนนางทั้งปวงจะติเตียนพระองค์ได้ บูซูก็เข้าควักตาเอียวหยิมเสียทั้งสองข้าง เอียวหยิมมิได้ย่อท้อ จึงร้องประกาศแก่เทวดาว่า ข้าพเจ้าเพ็ดทูลทั้งนี้โดยความสัตย์กตัญญู เดชบุญความสัตย์ของข้าพเจ้า เทวดาจงช่วยด้วย
ขณะนั้น ร้อนไปถึงโตเต๊กจินกุ๋น เทวดาซึ่งอยู่ ณ ภูเขาแซฮองซัว จึงใช้ฮุยกิ๋มเล็กซู เทวดาผู้น้อย ให้ทำเป็นลมพายุพัดผงคลีตระหลบมืดมนไป แล้วหอบเอาตัวเอียวหยิมไปยังภูเขาแซฮองซัว ครั้นเหือดพายุแล้ว บูซูหาเห็นเอียวหยิมไม่ จึงเข้าไปกราบทูลว่า เกิดลมพายุใหญ่พัดมาหอบเอาตัวเอียวหยิมหายไป พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังก็นิ่งตะลึงอยู่
ฝ่ายเอียวหยิม เมื่อลมหบอไปแซฮองซัว โตเต๊กจินกุ๋นจึงสั่งฮุนต๋องหยี เทวดาผู้น้อย เอายาสองเม็ดมาใส่ตาเอียวหยิมข้างละเม็ด แล้วเสกมนตร์เป่า ก็บังเกิดเป็นมือออกมาจากกระบอกตาชูยื่นขึ้นไปพ้นศีรษะ ลูกตานั้นอยู่ในฝ่ามือทั้งสองข้าง ข้างขวานั้นแลตลอดถึงสวรรค์ ข้างซ้ายนั้นเห็นตลอดถึงนรก เอียวหยิมแลไปเห็นโตเต๊กจินกุ๋นยืนอยู่หน้าถ้ำ เอียวหยิมจึงถามว่า ที่นี่เป็นเมืองนรกหรือสวรรค์ โตเต๊กจินกุ๋นจึงว่า เรามิใช่มนุษย์ เรเป็นเทวดา เห็นท่านสัตย์ซื่อมั่นคงและมีใจเมตตาแก่คนทั้งปวง เราเวทนา จึงให้ไปเอาตัวท่านมาให้ลูกตาใหม่ ไปเบื้องหน้าจะได้ช่วยจิวบุนอ๋องปราบศัตรูแผ่นดิน เอียวหยิมก็คำนับกราบเทวดาแล้วว่า ท่านโปรดข้าพเจ้าครั้งนี้ คุณหาที่สุดมิได้ จะขอเอาท่านเป็นครูเป็นที่พึ่งไปภายหน้า แต่นั้นมา เอียวหยิมก็อาศัยอยู่กับเทวดา ณ ถ้ำนั้น
ฝ่ายซ่องเฮ่าเฮ้า ครั้นมาถึงก็เข้าไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องตรัสสั่งให้ทำพระที่นั่งลกไต๋ ซ่องเฮ่าเฮ้าก็รับทำถวาย แล้วกราบทูลว่า จะทำพระที่นั่งลกไต๋ครั้งนี้การโตใหญ่นัก จะขอให้มีรับสั่งเกณฑ์ราษฎรชาวเมืองและหัวเมืองใหญ่ เอาตั้งแต่อายุสิบแปดปี มีผู้ชายอยู่เรือนหนึ่งสามคน เกณฑ์เอาสองคน ถ้ามีสองคน เกณฑ์เอาคนหนึ่ง ถ้าแต่ตัวคนเดียว ก็จะเกณฑ์เอามาใช้ให้ทำการ ที่เป็นผู้ดีมีเงินทอง ทำมิได้ ให้จ้างคนแทนตัว พระเจ้าติวอ๋องตรัสว่า ดีแล้ว ซ่องเฮ่าเฮ้าก็เขียนหมายรับสั่งให้เกณฑ์คนในเมือง นอกเมือง และหัวเมือง มิให้ผู้ใดว่างเปล่าได้ ขณะนั้น อาณาประชาราษฎรทั้งปวงไม่เป็นอันที่จะทำไร่นาหากิน บ้างพากันอพยพครอบครัวทิ้งบ้านเรือนหนีไป ที่ยากไร้ต้องตรากตรำทำการมิได้ขาด
ฝ่ายเกียงจูแหย เมื่อประดาน้ำหนีไป ครั้นลับตาคนแล้ว ก็ผุดขึ้นเดินมาบ้างซงอิหยิน นางแปสี ภรรยา ก็ออกมารับผัว เกียงจูแหยจึงบอกว่า บัดนี้ มีรับสั่งถอดเราออกจากที่ขุนนาง แล้วเล่าความให้ภรรยาฟัง อันพระเจ้าติวอ๋องนี้มิใช่เจ้านายของเรา เราพากันหนีไปอยู่เมืองไซรกีเถิด เดชบุญเราเป็นขุนนางมั่งมีไปเมื่อหน้า เจ้าก็จะได้ความสุขด้วย นางแปสีจึงว่า พระเจ้าติวอ๋องตั้งให้ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ มีรับสั่งให้ท่านทำพระที่ลกไต๋ได้ใช้คนทั้งเมือง ถึงจะเสียเงินทองก็เงินหลวง มิใช่ของเรา จะทุกข์ร้อนทำไม ไม่พอที่จะทูลทัดทานให้เคืองพระทัย อายุท่านก็ถึงเจ็ดสิบเศษแล้ว จะมีวาสนาเมื่อไรอีกเล่า จะเป็นได้ก็แต่หมอดูจ้างเขาเลี้ยงชีวิต ซึ่งท่านจะไปนั้น เราหายอมไปด้วยไม่ ท่านจงให้หนังสือหย่าเราเสียเถิด เราจะอยู่ตามบุญตามกรรมของเรา เกียงจูแหยจึงว่า เจ้าเป็นหญิง จะรู้อะไร ชวนให้ไปได้ดีสิไม่ไปเล่า ทั้งนี้ เพราะบุญเจ้าหามีไม่ นางแปสีจึงว่า ท่านไปหาเมียที่เขามีบุญเถิด เกียงจูแหยจึงว่า เจ้าเป็นภรรยาของเรา จะไม่จามใจเราจะได้หรือ เราหาฟังไม่ นางแปสีจึงว่า ถ้าท่านขืนน้ำใจเรา เราก็จะเข้าไปฟ้องกล่าวโทษท่านให้ทราบถึงพระเจ้าติวอ๋อง
ฝ่ายซงอิหยิน กับนางซุยสี ภรรยา นั่งอยู่ในเรือน ได้ยินผัวเมียเถียงทะเลากัน ก็ออกมาห้ามว่ากับเกียงจูแหยว่า เขาขอหนังสือหย่า ก็เขียนให้เขาเสีย หาเมียใหม่ ไม่ได้หรือ เกียงจูแหยจึงว่ากับภรรยาว่า เรายังรักเจ้า เจ้าไม่รักเราแล้วก็ตามเถิด ว่าแล้วก็เขียนหนังสือหย่าให้นางแปสี นางแปสีก็รับเอา เกียงจูแหยจึงว่า เรายังมีอาลัยรักเจ้าอยู่มาก อย่ามีผัวเลย ถ้ายังไม่ตาย ไปได้ดี จะกลับมาหาเจ้า นางแปสีมิได้ว่าประการใด ได้หนังสือหย่าแล้วก็เก็บข้าวของไปอาศัยอยู่กับพี่น้อง เกียงจูแหยก็ลาซงอิหยินรีบไปเมืองไซรกี ครั้นมาถึงด่านตงก๋วน พบหญิงชายชาวเมืองจิวโก๋พาบุตรภรรยาอพยพหนีเดินร้องไห้มาตามทาง เกียงจูแหยจึงถามว่า ท่านทั้งปวงจะพากันไปไหน ชาวเมืองบอกว่า มีรับสั่งให้ซ่องเฮ่าเฮ้าทำพระที่นั่งลกไต๋ เกณฑ์ให้ทำการ ข้าพเจ้าทั้งปวงได้ความเดือดร้อนนัก จึงพากันหนีออกจากเมืองมาพ้นด่านได้ห้าตำบล แล้วมาถึงด่านตงก๋วนนี้ นายด่านกักไว้จะจับส่งไปเมืองหลวง ก็จะต้องโทษตายสิ้น ข้าพเจ้าคิดถึงตัวและบุตรภรรยา จึงพากันร้องไห้ เกียงจูแหยจึงว่า ท่านทั้งปวงอย่าเป็นทุกข์เลย เราจะไปว่ากับนายด่านเอง แล้วเกียงจูแหยก็ใส่หมวกทำอย่างชาวบ้านเข้าไปหาเตียวฮอง นายด่าน นายด่านจึงถามว่า ท่านมาแต่ไหน เกียงจูแหยก็เล่าความของตัวแต่ต้นจนปลายให้เตียวฮองฟัง แล้วว่า ท่านจะส่งคนเหล่านี้เข้าไปในเมืองจิวโก๋ พระเจ้าติวอ๋องก็จะเอาไปทิ้งลงในเหวให้งูกินเสีย ท่านจงได้เอ็นดู อย่ากักขังไว้ ปล่อยให้เขาไปเอาบุญเถิด เตียวฮองได้ฟังก็โกรธ จึงว่า ตัวเป็นแต่หมอดู ได้เป็นขุนนาง หาคิดกตัญญูต่อพระมหากษัตริย์ไม่ กลับจะพูดให้เราปล่อยคนทั้งปวงให้ออกจากด่านอีกเล่า ถึงตัวท่านก็จะจับไว้อีก แต่เห็นว่า เป็นคนแก่ เวทนา ก็จะปล่อยให้ไปเอาบุญ ว่าแล้วก็ขับเกียงจูแหยออกไปเสีย เกียงจูแหยจึงออกมาบอกกับคนทั้งปวงว่า เราไปพูดกับนายด่านไม่ได้การ แต่ตัวเราเขาก็จะจับส่งเข้าไปด้วย คนทั้งปวงได้ฟังก็ร้องไห้ชวนกันยุดเกียงจูแหยไว้ อ้อนวอนว่า ท่านจงช่วยชีวิตข้าพเจ้าด้วย เกียงจูแหยจึงว่า ถ้าจะให้เราช่วยก็ฟังเรา เวลาค่ำวันนี้ ยามเศษ จงหลับตานิ่งอยู่ทุกคน ถ้าได้ยินเสียงลมพัดหนัก ใครตกใจลืมตาขึ้น อกจะแตกตาย เราไม่รู้ด้วย ครั้นถึงเวลายามเศษ เกียงจูแหยร่ายมนตร์เป็นลมพายุใหญ่พัดทั้งสี่ทิศ เตียวฮอง นายด่าน และผู้รักษาด่านทั้งปวง ต้องมนตร์ก็ง่วงหลับสิ้นทุกคน เกียงจูแหยจึงขับให้พวกหญิงชายทั้งปวงรีบออกจากด่านหนีไปจนถึงด่านกิจุยก๋วนชั้นนอก เป็นด่านน้อย ก็หามีผู้ใดห้ามปรามไม่ ก็ตรงไปเมืองไซรกี เห็นภูมิฐานบ้านเมืองสนุกสบาย และมีที่ไร่นาเรือกสวนที่ทำกินเป็นอันมาก ก็มีความยินดี จึงสืบถามว่า ท่านผู้ใดเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ครั้นได้รู้แน่ว่า ซันงีเสงเป็นผู้สำเร็จราชการ ต่างคนก็เข้าหาคำนับ แล้วแจ้งความว่า ข้าพเจ้าทั้งปวงหนีร้อนมาพึ่งเย็น จะขออาศัยอยู่ด้วย ซันงีเสงก็ไปบอกความแก่กองจู๊เปกอิบโค้ผู้รักษาเมืองซึ่งเป็นบุตรชายใหญ่กีเซียง กองจู๊เปกอิบโค้ก็ให้จัดแจงที่ทางให้อยู่ทำมาหากินเป็นสุขทุกคน ที่ตัวเปล่าไม่มีภรรยาก็หาให้ แล้วแจกเงิน ข้าว ให้ทุกเดือน