หน้า ๒๖๔–๒๗๐ สารบัญ
ฝ่ายฮั่นเอ๋งซึ่งเป็นนายด่านฮำจุยก๋วนแจ้งกิตติศัพท์ว่า บุนอ๋องได้เกียงจูแหยไปไว้ ก็มีหนังสือบอกไปถึงปิกัน ปิกันก็เข้าไปกราบทูลพระเจ้าติวอ๋องตามหนังสือฮันเอ๋งทุกประการ แล้วว่า เกียงจูแหยเป็นคนมีปัญญา ใจกล้าหาญ เห็นจะคิดกบฏทำศึกใหญ่ ซ่องเฮกเฮ้าก็คิดกบฏอยู่เมืองตังลู้ งกจกฮูก็ยกทหารมารบอยู่ที่ด่านลำสาน ครั้งนี้ เห็นบ้านเมืองจะวุ่นวายมาก ทั้งฝนฟ้าก็ไม่ตก ไพร่บ้านพลเมืองขัดสนด้วยเสบียงอาหาร ได้ความยากแค้น เงินทองในท้องพระคลังก็เบาบาง บุนไท้สือซึ่งยกไปปราบข้าศึกฝ่ายเหนือนั้นการศึกก็ยังติดพันกันอยู่ ขอให้ทรงคิดตรึกตรองจงหนัก พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังแล้วตรัสว่า เราจะปรึกษาด้วยขุนนางผู้ใหญ่ดูก่อน
ขณะนั้น ซ่องเฮ่าเฮ้าซึ่งทำการลกไต๋ พระที่นั่งเย็น เร่งทำทั้งกลางคืนกลางวัน สองปีกับสี่เดือน การลกไต๋นั้นแล้วเสร็จ จึงกราบทูลพระเจ้าติวอ๋อง พระเจ้าติวอ๋องก็ดีพระทัย แล้วตรัสสรรเสริญซ่องเฮ่าเฮ้าว่า ผิดจากท่านแล้ว ไม่เห็นใครจะทำการลกไต๋ให้แล้วเร็วเหมือนท่านได้ พระเจ้าติวอ๋องจึงเอาความในหนังสือบอกฮั่นเอ๋งนั้นปรึกษาซ่องเฮ่าเฮ้าว่า เกียงจูแหยหนีไปอยู่เมืองไซรกี บุนอ๋องชุบเลี้ยงให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ ซ่องเฮ่าเฮ้าจึงทูลว่า บุนอ๋องกับเกียงจูแหยอุปมาเหมือนหิ่งห้อย จะรัศมีสว่างสักเท่าใด ไม่ช้านานก็จะมืดหายแสง ถ้าจะให้ยกกองทัพใหญ่ไปจับบุนอ๋องครั้งนี้ ข้าพเจ้าเห็นชาวเมืองเขาจะหัวเราะเล่น อย่าได้ทรงคิดวิตกเป็นพระราชธุระอยู่เลย ขอเชิญเสด็จไปชมพระที่นั่งเย็นให้สบายพระทัยเถิด พระเจ้าติวอ๋องทรงพระสรวลแล้วตรัสว่า เราจะพานางขันกีออกไปด้วย จึงสั่งให้เตรียมรถพร้อมด้วยขุนนางแห่แหนเป็นอันมาก พระเจ้าติวอ๋องกับนางขันกีขึ้นนั่งในรถเดียวกัน พระสนมทั้งปวงก็ตามเสด็จไปทอดพระเนตรพระที่นั่งเย็นงามประหนึ่งวิมานฟ้า แล้วเสด็จขึ้นบนพระที่นั่งเย็น พระเจ้าติวอ๋องพระราชทานสุราให้ ปิกันกับซ่องเฮ่าเฮ้ากินสุราสนุกสบาย แล้วขุนนางทั้งสองก็กราบถวายบังคมลาลงจากลกไต๋ไปบ้าน
ขณะนั้น พระเจ้าติวอ๋องเสวยสุรากับนางขันกี พลางถามว่า แต่ก่อนเจ้าบอกว่า ลกไต๋นี้จะมีเทพยดานางฟ้ามาเที่ยวเล่นนั้น จะมาจริงหรือ นางขันกีจึงทูลว่า วันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงเมื่อใด เทพยดาจะพานางฟ้ามาชมพระที่นั่งลกไต๋ และซึ่งนางขันกีทูลไว้แต่ก่อนนั้นหวังจะแก้แค้นแทนนางปีแป๋ จึงเขียนพระที่นั่งลกไต๋ถวาย แกล้งจะฆ่าเกียงจูแหยเสีย พระเจ้าติวอ๋องมิได้รู้กลนางขันกีก็เชื่อ จึงให้ทำลกไต๋เพื่อจะใคร่ชมนางฟ้า แต่วันนั้นมา พระเจ้าติวอ๋องก็เสด็จขึ้นเสวยสุราบนพระที่นั่งลกไต๋ทุกวัน ครั้นถึงเดือนสิบเอ็ด ขึ้นสิบสามค่ำ เวลาสามยาม นางขันกีเห็นพระเจ้าติวอ๋องบรรทมหลับสนิท จึงแปลงเพศเป็นปิศาจเสือปลาออกนอกกำแพงเมืองจิวก็ไปเที่ยวหาเพื่อนกัน พบฮิบี๋ ปิศาจไก่เก้าหัว ก็ดีใจ ฮิบี๋ปิศาจถามว่า พี่ไปอยู่ในพระราชวังสบายอยู่หรือ น้องอยู่ที่นี้หนาวเย็นลำบากนัก ปิศาจเสือปลาจึงว่า แต่พี่จากน้องไปอยู่ในวังกับพระเจ้าติวอ๋องก็เป็นสุขสบายอยู่ แต่คิดถึงน้องมิได้ขาด บัดนี้ พี่ทูลไว้กับพระเจ้าติวอ๋องว่า เทพยดาจะพานางฟ้าลงมาชมพระที่นั่งเย็น เจ้าจงพาพวกพ้องแปลงเป็นเทพยดาและนางฟ้าไปยังลกไต๋ จะได้กินเหล้ากับพระเจ้าติวอ๋องเล่นสนุกสบาย ปิศาจไก่เก้าหัวก็รับคำ จึงว่า ข้าจะชักชวนเพื่อนเข้าไปสามสิบเก้าคน ปิศาจเสือปลาสั่งกำชับแล้วก็กลับไปในพระราชวัง แปลงเป็นนางขันกีนอนแอบข้างพระเจ้าติวอ๋องอยู่จนสว่าง
ครั้นรุ่งเช้า พระเจ้าติวอ๋องตรัสกับนางขันกีว่า พรุ่งนี้เป็นวันสิบห้าค่ำ พระจันทร์เต็มดวง เห็นเทวดาจะพานางฟ้งลงมาหรือไม่ นางขันกีจึงทูลว่า เห็นจะมา ขอให้แต่งโต๊ะไว้เลี้ยงเทวดาสามสิบเก้าโต๊ะ พระองค์จะได้เสวยสุรากับเทวดา พระชันษาก็จะยืนนาน พระเจ้าติวอ๋องดีพระทัยนัก จึงถามว่า ถ้าเทวดาลงมา จะให้ขุนนางมากินโต๊ะด้วยหรือไม่ นางขันกีทูลว่า จะกินโต๊ะกับเทวดาได้แต่ขุนนางผู้ใหญ่ พระเจ้าติวอ๋องจึงให้หาปิกันไปที่นั่งลกไต๋แล้วตรัสว่า พรุ่งนี้ เชิญอามากินเหล้ากับพวกเทวดา ปิกันได้ฟังดังนั้นจึงคิดในใจว่า เหตุไรมนุษย์จะได้มากินเหล้ากับเทวดา ผิดนัก พระเจ้าติวอ๋องลุ่มหลงไปดังนี้ ก็ถอนใจใหญ่ แหงนหน้าดูฟ้า แล้วรำพึงว่า เห็นแผ่นดินจะไม่เป็นสุขแล้ว ปิกันก็กลับไปบ้าน
ครั้นรุ่งขึ้น วันสิบห้าค่ำ พระเจ้าติวอ๋องสั่งให้แต่งโต๊ะสามสิบเก้าตั้งไว้เป็นแถว แล้วรำพึงว่า เมื่อไรจะค่ำ จะได้ดูเทวดาเล่น ครั้นพลบค่ำ ปิกันก็แต่งตัวใส่เสื้อตามยศ เข้าไปคอยอยู่ใต้พระที่นั่ง พระเจ้าติวอ๋องเห็นพระจันทร์ขึ้นสว่าง ก็ดีพระทัยดังได้แก้วสารพัดนึก จูงมือนางขันกีเสด็จเที่ยวดูเครื่องโต๊ะ แล้วทรงนั่งคอยท่าเทวดาอยู่ นางขันกีจึงทูลว่า ถ้าเทวดาพานางฟ้าลงมาแล้ว อย่าไปเสด็จทอดพระเนตรให้ใกล้ เกลือกว่า เทวดาจะตกใจไม่มาอีก
ฝ่ายฮิบี๋กับพวกปิศาจเสือปลาก็ชวนกันแปลงเพศเป็นเทวดาและนางฟ้าพากันไปยังลกไต๋ บังเกิดเสียงดังลมพัด นางขันกีจึงกราบทูลว่า เทวดามาแล้ว พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตรเทวดานางฟ้าใส่เสื้อหมวกสีต่าง ๆ งามดังฤษี ชอบพระทัยนัก แล้วได้ยินพูดกันว่า พวกเราลงวันนี้ พระเจ้าติวอ๋องพระราชทานโต๊ะให้เรากินบนพระที่นั่งเย็นสบาย บ้านเมืองของพระองค์จงอยู่เย็นเป็นสุข ให้พระชนมายุยืนนานได้หมื่นปีเถิด
ฝ่ายนางขันกีจึงร้องสั่งให้ปิกันกินโต๊ะด้วยเทวดา ปิกันเห็นรูปโฉมเทวดาดูงาม ก็เข้าใจว่า เป็นเทวดานางฟ้าจริง จึงกระทำคำนับ ปิศาจเทวดาก็ถามปิกันว่า ท่านนี้เป็นขุนนางตำแหน่งไหน ปิกันก็บอกว่า เราเป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายพลเรือน รับสั่งให้มากินโต๊ะกับท่าน เทวดาปิศาจจึงว่า เราจะให้พรแก่ท่านให้อายุยืนพันหนึ่ง ปิกันยังมิทันตอบประการใด พอได้ยินเสียงข้างในร้องเตือนออกมาว่า ให้กินโต๊ะเลี้ยงกันเถิด ปิกันก็รินสุราเชิญเทวดาสามสิบเก้าโต๊ะ พอปิกันได้กลิ่นสาบเสือปลา จึงคิดว่า เทวดาจริงแล้วก็จะมีกลิ่นหอม นี่เหม็นสาบอยู่ เห็นจะมิใช่เทวดา ปิกันคิดแล้วถอนใจใหญ่ พอนางขันกีให้เอาสุรามาเติมลงเชิญให้กินอีก ปิกันก็เชิญเทวดากินสุราจนเมา ครั้นปิศาจเมาสุราแล้ว เพศก็กลับเป็นเสือปลา ปรากฏเห็นหางออกมาจากเสื้อ ปิกันเห็นหางเสือปลาก็รู้ว่า ปิศาจแปลงเพศมา คิดละอายใจนัก ตัวเราเสียแรงเป็นที่ขุนนางผู้ใหญ่ หารู้เท่าปิศาจไม่ จะใคร่ตายเสีย นางขันกีแอบอยู่ในมู่ลี่ เห็นปิกันยังไม่เมาสุรา พวกปิศาจเมาก่อน เกรงจะลืมตัวจะกลายเพศเป็นเสือปลาไป จึงสั่งให้ปิกันลงไปเสียจากพระที่นั่ง พวกปิศาจสามสิบเก้าครั้นกินอิ่มแล้วก็ไปสิ้น ส่วนว่าปิกันลงจากพระที่นั่งลกไต๋เดินมาพ้นกำแพงห้าชั้น ก็ขึ้นม้ามีโคมคู่หนึ่งนำหน้าม้ากลับไปบ้าน พอพบอึ้งปวยฮอ อึ้งปวยฮอเห็นปิกันลงจากม้า เข้าไปคำนับแล้วถามว่า ท่านไปไหนมาป่านนี้ ปิกันถอนใจใหญ่แล้วว่า ในเมืองเรานี้ ผีปิศาจเข้ามาอยู่มากนัก แล้วเล่าความซึ่งไปกินโต๊ะบนลกไต๋กับด้วยปิศาจให้อึ้งปวยฮอฟังทุกประการ อึ้งปวยฮอจึงว่า ความทั้งนี้ข้าพเจ้าแจ้งอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจะแก้ไขเอง เชิญท่านกลับไปบ้านเถิด อึ้งปวยฮอจึงเรียกฮุยเบ๋ง อิวกี๋ เลงหวน เหงาเขียน มา แล้วให้คุมทหารยี่สิบคนไปเที่ยวลาดตระเวนดูทั้งสี่ทิศ อิวกี๋ไปพบพวกปิศาจเมาสุราเดินโซเซออกไปเวลากลางคืน บ้างเป็นรูปคนครึ่งหนึ่ง เป็นเสือปลาครึ่งหนึ่ง ไปลงที่หลุมฝังผีนอกเมือง นายทหารทั้งสี่คนก็มาบอกอึ้งปวยฮอ อึ้งปวยฮอจึงจัดแจงคนอีกสามร้อยให้เอาฟืนและฟางไปเผาหลุมซึ่งปิศาจอาศัยนั้นเสีย
ครั้นเวลารุ่งเช้า อึ้งปวยฮอจึงมาเชิญปิกันให้ออกไปดูที่หลุมฝังผี ปิกันก็เห็นเพลิงยังติดกรุ่นอยู่ แล้วให้เขี่ยซากปิศาจ เห็นเป็นเสือปลา ยังไม่ไหม้ก็เหม็นกลิ่น ที่ไหม้เป็นเถ้าแล้วก็ไม่มีกลิ่น ที่หนังยังดีอยู่นั้นปิกันก็ให้ลอกเอามาทำเสื้อไว้จะถวายตัวหนึ่ง ครั้นฤดูหนาว พระเจ้าติวอ๋องเสวยโต๊ะอยู่กับนางขันกีบนพระที่นั่งลกไต๋ พอบังเกิดเป็นพายุกล้า เมฆหมอกมืด ลูกเห็บตก พระเจ้าติวอ๋องชี้พระหัตถ์บอกให้นางขันกีดู ปิกันเข้าไปในวัง ให้ขันทีทูลว่า จะขอเข้าเฝ้า จึงมีรับสั่งโปรดให้เข้ามา ปิกันก็เข้าไปเฝ้า นางขันกีก็ลุกไปในมู่ลี่ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า วันนี้มืดมัวนัก ท่านมาด้วยราชการร้อนเป็นอย่างไรหรือ ปิกันจึงทูลว่า ข้าพเจ้าเห็นพระองค์เสด็จอยู่บนพระที่นั่งลกไต๋ที่สูงต้องลมหนาวนัก ข้าพเจ้าเอาเสื้อขนอย่างดีมาถวาย พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เป็นเทศกาลหนาว ท่านก็ชราแล้ว มีเสื้อดีไม่เอาไว้ใส่ เอามาให้เรา ขอบใจนัก ปิกันก็คลี่เสื้อออกคลุมพระองค์ให้ พระเจ้าติวอ๋องมีความยินดี จึงตรัสว่า ตั้งแต่ครองสมบัติมา เสื้ออย่างนี้ยังไม่เคยใส่เลย ความชอบของอาครั้งนี้ไม่มีใครเปรียบได้ แล้วชวนปิกันเสพสุราด้วยพระองค์