แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)

หน้า ๒๗๑–๒๘๐ สารบัญ



ฝ่ายนางขันกีนั่งอยู่ในมู่ลี่เห็นปิกันเอาหนังเฮาหลีปิศาจพวกพ้องทำเสื้อมาถวาย ก็มีความแค้นเคืองนัก จึงคิดว่า กูจะอุบายฆ่าปิกันเสียให้จงได้ ถ้าฆ่ามันมิได้ กูไม่ขออยู่ด้วยพระเจ้าติวอ๋องสืบไปเลย พระเจ้าติวอ๋องเสวยกับปิกัน ครั้นปิกันถวายบังคมลาไปแล้ว เสด็จเข้าในมู่ลี่ จึงตรัสบอกแก่นางขันกีว่า วันนี้หนาวนัก ปิกันเอาเสื้อขนมาให้ ขอบใจนักหนา นางขันกีจึงทูลว่า พระองค์เป็นกษัตริย์ หาควรจะมาทรงเสื้อของขุนนางไม่ พระเจ้าติวอ๋องก็เห็นด้วย จึงถอดให้เอาไว้ที่คลัง

อยู่มาวันหนึ่ง นางขันกีกินสุรากับพระเจ้าติวอ๋องบนพระที่นั่งลกไต๋ นางขันกีจึงสำแดงเพศทำมารยารื่นเริงหน้าชื่อดังดอกโบตั๋นอันบาน ทำจริตกิริยาแสดงกายให้งามขึ้นกว่าแต่ก่อน พระเจ้าติวอ๋องเสวยสุราพลางเขม้นดู นางขันกีจึงทูลว่า เหตุไรพระองค์จึงเขม้นดูข้าพเจ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า วันนี้ ข้าดูเจ้างามขึ้นกว่าแต่ก่อนนักหนา นางขันกีจึงทูลว่า ข้าพเจ้านี้ไม่งามนัก ยังมีน้องข้าพเจ้าอีกคนหนึ่งชื่อ นางฮิบี๋ บวชเรียนความรู้อยู่ที่วัดจี่เสี้ยวเก๋ง รูปร่างงามกว่าข้าพเจ้าสักร้อยส่วน พระเจ้าติวอ๋องมีความยินดีนัก จึงตรัสว่า ทำไมเราจะได้เห็น นางขันกีจึงทูลว่า น้องข้าพเจ้าคนนี้มีวิชาการมาก เมื่อจะจากกันไปนั้นได้สั่งว่า ถ้าคิดถึงให้จุดธูปเทียนขึ้น แล้วก็จะเหาะมาโดยเร็ว พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย แล้วตรัสสั่งพนักงานให้แต่งโต๊ะไว้คอยท่าในค่ำวันนี้ ครั้นเวลาสามยามเศษ พระเจ้าติวอ๋องบรรทมหลับเป็นเวลาสงัด นางขันกีก็กลายรูปเป็นเฮาหลี แปลว่า เสือปลา เที่ยวไปพบนางฮิบี๋ปิศาจ จึงอ้อนวอนว่า น้องอย่าอยู่ที่ซอกห้วยธารเขานี้เลย อดอยากนัก มาไปอยู่ในวังพระเจ้าติวอ๋องด้วยกันเถิด สารพัดจะบริบูรณ์ทุกประการ แล้วจะได้ช่วยกันคิดแก้แค้นปิกัน นางฮิบี๋ก็รับคำว่า ไปก่อนเถิด เวลาค่ำพรุ่งนี้เราจึงจะไป นางขันกีสั่งเสียทุกปรพการแล้วกลับมา ครั้นถึงในวัง ก็แปลงตัวเป็นคนเข้าไปนอนอยู่ด้วยพระเจ้าติวอ๋อง

ครั้นเวลารุ่งขึ้น พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสถามนางขันกีว่า น้องสาวเจ้านั้นมาหรือยัง นางขันกีจึงทูลว่า น้องข้าพเจ้าเป็นสาวเด็ก จะมากลางวันก็อายอยู่ ต่อเวลาค่ำจึงจะมาเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องแจ้งดังนั้น ตั้งพระทัยคอยรำพึงอยู่แต่เช้าจนเวลาเย็น แล้วตรัสบ่นว่า พระอาทิตย์เป็นไร มิรีบตกลงไปเลย พระจันทร์ขึ้นมา จะได้เห็นหน้านางฮิบี๋สำราญใจ ครั้นเวลาค่ำ ก็พานางขันกีเสด็จไปนั่งชมแสงเดือนเล่นบนพระที่นั่งลกไต๋ นางขันกีก็จุดธูปเทียนขึ้นตามคำที่ทูลไว้ ครั้นเวลาสามยามเศษ บังเกิดเป็นพายุกล้า เมฆหมอกมืดไปทั้งอากาศ เสียงดังประหลาด พระเจ้าติวอ๋องตรัสว่า เหตุไรจึงเป็นดังนี้เล่า นางขันกีจึงทูลว่า เหตุทั้งนี้เห็นว่า นางฮิบี๋ น้องข้าพเจ้า จะแผลงฤทธิ์ขี่เมฆมาทางอากาศ นางทูลยังมิทันจะขาดคำ ก็ดห็นนางฮิบี๋มาทางอากาศ จึงเชิญพระเจ้าติวอ๋องให้เสด็จเข้าในมู่ลี่ เมฆหมอกที่มืดมัวในอากาศก็หายไป แสงเพลิงในพระตำหนักก็สว่างเป็นปรกติ

ฝ่ายฮิบี๋ ครั้นมาถึงพระที่นั่งลกไต๋ ก็เข้าไปหานางขันกี นางขันกีก็ต้อนรับคำนับกัน แล้วนั่งรินน้ำชาสู่กันกิน ต่างพูดจาแย้มยิ้มโดยมารยา นางขันกีจึงว่า ข้าจะให้เจ้าเข้าไปเฝ้าพระเจ้าติวอ๋องในมู่ลี่ นางฮิบี๋ทำอายแล้วจึงว่า ข้าเป็นหญิง ทั้งรักษาศีลอยู่ จะให้ไปหาผู้ชายนั้นกลัวนัก ไปไม่ได้ นางขันกีจึงว่า เจ้าอย่ากลัวเลย พระเจ้าติวอ๋องเป็นผัวข้าก็เหมือนเป็นพี่ของเจ้า ซึ่งจะถือว่าเป็นหญิงไปหาชายนั้นไม่ชอบ นางฮิบี๋แสร้งทำนั่งก้มหน้ายิ้มอยู่ พระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่ในมู่ลี่ ทอดพระเนตรเห็นนางฮิบี๋ใส่เสื้อแดงดูงาม ดวงหน้าเป็นนวลดังดอกโบตั๋นอันบาน ลักษณะนางแต่ละสิ่งงามกว่าสตรีทั้งปวง แต่พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตรชมพลางแล้วนึกว่า แม้นเราได้นางฮิบี๋เป็นเมียสมความคิดแล้ว ถึงจะเป็นไพร่ ไม่ได้เป็นกษัตริย์ก็ตามเถิด นางขันกีชายตาดูเห็นพระเจ้าติวอ๋องแลตะลึงหลงรักรูปนางฮิบี๋สมคิดแล้ว จึงว่ากับนางฮิบี๋ว่า เจ้าจงนั่งอยู่ที่นี่ ข้าพจะไปผลัดเสื้อเสียสักประเดี๋ยวหนึ่งก่อน ว่าแล้วก็ลุกไป พระเจ้าติวอ๋องเสด็จออกมาจากมู่ลี่ นั่งลงใกล้นางฮิบี๋ รินสุราส่งให้ นางฮิบี๋รับสุรามากินแล้วจึงว่า พระองค์พระราชทานสุราให้ข้าพเจ้านี้ พระคุณหาที่สุดไม่ พระเจ้าติวอ๋องจึงสัพยอกยึดเอาข้อมือนางฮิบี๋ นางฮิบี๋ทำมารยาโดยเพศสตรี แต่มิได้ว่าประการใด พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวชมแสงเดือนเล่นข้างนอกด้วยกัน จะไปหรือไม่ นางฮิบี๋ก็รับว่าจะไป พระเจ้าติวอ๋องก็ยึดบ่านางฮิบี๋พาเดินเที่ยวชมแสงเดือนเล่นตามสบาย แล้วตรัสปราศรัยว่า เจ้ารักษาศีลทรมานกายอยู่ที่จี่เสี้ยวเก๋งทำไม จงมาอยู่ในวังกับนางขันกีเถิด ข้าจะเลี้ยงเจ้าเป็นมเหสีให้เป็นสุขยิ่งกว่าแต่ก่อน แล้วสัพยอกต่าง ๆ นางฮิบี๋ก็มิได้ว่าประการใด พระเจ้าติวอ๋องก็พานางฮิบี่เข้าที่บรรทม ฝ่ายนางขันกีทำเป็นโกรธ แกล้งเดินเข้าไปถึงในที่ แล้วว่ากับนางฮิบี๋ว่า เจ้ามาทำการดังนี้เห็นชอบแล้วหรือ นางฮิบี๋ก็ก้มหน้านิ่งอยู่ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เจ้าอย่าโกรธอื้ออึงไปเลย นางฮิบี๋เป็นน้องของเจ้า ข้าจะทำนุบำรุงเลี้ยงไว้อยู่เป็นเพื่อนกันกับเจ้าให้มีความสุขยิ่งกว่าแต่ก่อน แล้วสั่งให้ยกโต๊ะมาเสวย แล้วชวนนางขันกีกับนางฮิบี๋เข้ากินด้วยกัน แล้วก็บรรทมด้วย แต่พระเจ้าติวอ๋องมิได้เสด็จออกหลายวัน ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยถึงเวลามาเตรียมเฝ้าตามเคย ไม่เห็นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จออก ต่างคนจึงพูดกันว่า บัดนี้ เจ้านายก็หลงไปด้วยนางขันกี นางฮิบี๋ ไม่เสด็จออกว่าราชการเลย เราจะทำประการใดดี แต่เรามาเตรียมอยู่ทุกวันก็มิได้เฝ้า ราชการถ้อยความก็ค้างเกินเป็นอันมาก ปรึกษากันแล้วต่างคนก็กลับไปบ้าน

ฝ่ายบูเสงอ๋องผู้เป็นขุนนางผู้ใหญ่อยู่ในเมืองจิวโก๋ ครั้นรู้ว่า พระเจ้าติวอ๋องหลงอยู่ด้วยนางขันกี นางฮิบี๋ ปิศาจ ไม่ออกว่าราชการบ้านเมือง นานไปเห็นแผ่นดินจะไม่เป็นปรกติเหมือนแต่ก่อน ก็มีความวิตกนัก จึงคุมทหารสี่สิบแปดหมื่นพร้อมด้วยเครื่องศัสตราวุธ ก็ไปรักษาอยู่ ณ เมืองโตเสีย เป็นเมืองด่านใกล้เมืองจิวโก๋ ครั้นรู้ข่าวเกียงบุนฮวน เจ้าเมืองตะวันออก ยกทหารมาตั้งอยู่ ณ เขาแอหมาเนีย จะเข้าตีเอาตินตงก๋วน ด่านเมืองจิวโก๋ จึงสั่งอึ้งจงเบ๋งกับฬ่อหยงให้คุมทหารสิบหมื่นไปป้องกันรักษาอยู่ ณ ด่านตินตงก๋วน แล้วบูเสงอ๋องก็กลับมาเมืองจิวโก๋

ฝ่ายพระเจ้าติวอ๋องสาละวนแต่ชมเชยนางขันกี นางฮิบี๋ ทั้งกลางวันกลางคืน ลุ่มหลงไป มิได้เสด็จออกว่าราชการ วันหนึ่ง นางขันกีนั่งบอยู่กับพระเจ้าติวอ๋อง จึงแสร้งทำอุบายล้มลงแล้วนิ่งไป พระเจ้าติวอ๋องทอดพระเนตรเห็นก็ตกพระทัย พระเสโทไหลลงโซมองค์ พระพักตร์ซีดเผือดไป แล้วเสด็จนั่งริมตัวนางขันกี เห็นนางขันกีรากโลหิตออกมาก้อนหนึ่ง จึงตรัสว่า แต่นางขันกีอยู่กับเราก็นานแล้ว ไม่เคยเห็นเป็นโรคดังนี้เลย จะคิดอ่านรักษาประการใดดี นางฮิบี๋จึงทูลว่า แต่ก่อนนางขันกีเมื่ออยู่บ้านเมือง โรคเช่นนี้ก็เคยเป็น แต่ได้เตียวห้วน หมอซึ่งอยู่เมืองกีจิว มารักษา เอาตับมังกรต้มให้รับพระราชทาน จึงหายโรค พระเจ้าติวอ๋องตรัสว่า เราจะให้ไปเอาตัวเตียวห้วนมารักษา นางฮิบี๋จึงทูลว่า ซึ่งพระองค์จะให้ไปหาหมอถึงเมืองกีจิวนั้นเห็นไกลนัก ทางทั้งไปทั้งมาสักเดือนหนึ่งจึงจะได้รักษา ข้าพเจ้าเห็นว่า นางขันกีจะตายเสีย ข้าพเจ้าเห็นว่า หมอที่นี่ก็มีอยู่ ขอให้เอามารักษาก็เห็นจะได้ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า หมอที่เมืองนี้มีใครดี เจ้ารู้จักตัวหรือ นางฮิบี๋จึงว่า ข้าพเจ้ามีความรู้จะดูให้รู้จัก ถ้าเขาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ พระองค์จะให้หาเข้ามารักษาได้หรือ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า ถึงจะเป็นขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยอย่างไร ก็อยู่ในบังคับเราสิ้น จะเอาตัวมาให้ได้ นางฮิบี๋จึงแสร้งทำเป็นนับนิ้วมือดู แล้วทูลพระเจ้าติวอ๋องว่า หมอที่เมืองนี้ชื่อ ปิกัน ขุนนางผู้ใหญ่ มีตับมังกรอยู่ในท้อง พระองค์จะให้หาเข้ามาที่ไหนได้ พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า เราจะหาตัวมาเอาตับมังกรในท้องต้มให้นางขันกีกินจงได้ แล้วพระองค์ก็เขียนหนังสือให้ขันทีไปหาตัวปิกันเข้ามาเป็นการเร็ว

ฝ่ายปิกันนั่งอยู่ในตึก คิดวิตกถึงการบ้านเมืองอยู่ พอขันทีเอาหนังสือไปแจ้งว่า รับสั่งให้หาในทันใดนั้น แต่ขันทีถือหนังสือวิ่งซ้ำกันออกไปถึงหกคนบอกว่า รับสั่งเร่งนัก ปิกันเห็นผิดประหลาด จึงถามขันทีว่า ราชการร้อนรนอย่างไรหรือ จึงซ้ำกันมาถึงห้าคนหกคนดังนี้ จงบอกความแก่เราให้รู้ก่อน จึงจะไป ขันทีจึงบอกว่า ข้าพเจ้าได้ยินว่า นางขันกีป่วยรากโลหิต จะเอาตับมังกรที่ในท้องของท่านต้มให้กิน ปิกันรู้ดังนั้นก็ตกใจนัก ครั้นจะว่าไม่ไป ก็เกรงอาญาพระเจ้าติวอ๋อง จึงว่ากับตำรวจให้นั่งอยู่ท่าสักหน่อยหนึ่ง แล้วก็ลุกเข้าไปในห้อง จึงเรียกนางเบ๋ง ภรรยา มา แล้วบอกความว่า ข้าจะจากไปเดี๋ยวนี้ เห็นจะตาย จะไม่ได้กลับคืนมาเห็นหน้ากันต่อไปแล้ว เจ้าจงอยู่รักษาบุตร ผู้คน บ้านเรือนต่อไปจงดีเถิด นางเบ๋งได้ฟังผัวว่าดังนั้นก็ร้องไห้ แล้วว่า แต่ท่านทำราชการมาโดยสัตย์กตัญญูก็ช้านานแล้ว ไม่เคยได้ยินว่าดังนี้เลย ขอท่านจงหยุดอยู่ตรึกตรองดูให้ดีก่อน ปิกันจึงว่า บัดนี้ มีรับสั่งเร่งเป็นการเร็ว ไม่รู้ที่จะคิดประการใด ปิจู๊ซึ่งเป็นบุตรชายจึงว่าแก่ปิกันผู้บิดาว่า เมื่ออาจารย์เกียงจูแหยมาพิเคราะห์ดูราศีท่านครั้งก่อนนั้น ทายไว้ว่า เคราะห์ร้าย แล้วเขียนหนังสือบอกความรู้ไว้ว่า ถ้ามีเหตุการณ์ข้างหน้าอย่างไร ก็ให้ดูแก้ไขตามหนังสือนั้น ปิกันก็คิดขึ้นได้ มีความยินดี หยิบเอาหนังสือมาดู แล้วเขียนยันต์ลงที่กระดาษใส่น้ำกินเข้าไป แล้วก็ลุกเดินออกมาขึ้นขี่ม้าไปในวังด้วยขันที ครั้นมาถึงประตูพระราชวัง ก็ลงจากม้าจะเข้าไปเฝ้า บูเสงอ๋องวิ่งเข้ามาคำนับแล้วถามว่า ท่านจะเข้าไปเฝ้าด้วยราชการสิ่งไร ปิกันจึงบอกว่า ขันทีไปหาเรามา บอกว่า นางขันกีป่วย จะเอาตับมังกรในท้องเราทำยาให้นางขันกีกิน แล้วก็เดินไป บูเสงอ๋องได้ฟังปิกันบอกดังนั้นก็สงสัยนัก ก็เดินตามเข้ามาแอบฟังอยู่ริมพระที่นั่ง ปิกันเข้ามาถึงประตูชั้นห้า เห็นพระเจ้าติวอ๋องเสด็จอยู่บนพระที่นั่งลกไต๋ ก็เข้าไปเฝ้า พระเจ้าติวอ๋องจึงตรัสว่า บัดนี้ นางขันกีป่วยรากโลหิต จะต้องการตับมังกรต้มให้กิน จึงจะหายโรค จะให้ไปหาตับมังกรที่ไหนก็ไม่มี เขาว่า จำเพาะมีอยู่แต่ที่ในท้องท่าน ท่านจงทำคุณแก่เรา จงให้ตับมังกรที่อยู่ในท้องของท่านนั้นแก่เราเถิด ปิกันจึงทูลว่า ตับมังกรจะได้มีในท้องข้าพเจ้าหามิได้ แต่ปิศาจมันแกล้งทูลจะให้ข้าพเจ้าตาย พระองค์หลงเชื่อ ไม่ตรึกตรองดูให้ดีก่อน เสียแรงข้าพเจ้ามีความกตัญญูต่อพระองค์ ตั้งใจทำราชการโดยสัตย์ ช่วยรักษาแผ่นดินให้เป็นสุขมาช้านาน บัดนี้ ตัวข้าพเจ้าก็มิได้มีความผิด ก็เหมือนพระองค์จะแกล้งฆ่าข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าจะรู้ที่ไปพึ่งผู้ใดเล่า พระเจ้าติวอ๋องได้ฟังดังนั้นก็โกรธ จึงตรัสว่า เสียแรงเราทำนุบำรุงเลี้ยงท่านมาจนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ถึงเพียงนี้ ท่านยังไม่มีความรักเรา แต่จะต้องการของเท่านี้ยังขัดไม่ให้ ท่านนี้หาควรเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ไม่ ปิกันโกรธ ทูลว่า เมื่อพระองค์รักเมียมากกว่าชีวิตข้าพเจ้าแล้ว จะทำกระไรได้ พระองค์จงอยู่ให้เป็นสุขเถิด ข้าพเจ้าขอถวายบังคมลาตายในวันนี้แล้ว ปิกันก็ไปเอากระบี่ที่ทหารมาแหวะท้องของตัวออก ตัดตับและหัวใจออกโยนให้ แล้วเอาเสื้อปิดท้องเข้าไว้ เดชะด้วยคุณยันต์ของเกียงจูแหยที่กินเข้าไปไว้นั้น จึงยังไม่ตาย ลุกขึ้นแล้วก็เดินออกมาพบขุนนาง และผู้ใดจะทักถามอย่างไรก็มิได้พูด ขึ้นขี่ม้ารีบจะไปบ้าน พอมาถึงกลางทางที่สะพานมังกร พอพวกนางขันกีแปลงตัวเป็นผู้หญิงหิ้วตะกร้ายืนสกัดหน้าม้าไว้ แล้วถามว่า จะซื้อผักไม่มีหัวใจบ้างหรือ ปิกันได้ยินว่า เป็นคำตลาด จึงหยุดม้าไว้ แล้วถามว่า ผักไม่มีหัวใจนั้นเป็นอย่างไร ไม่รู้จัก หญิงนั้นจึงบอกว่า ผักไม่มีหัวใจนั้นก็เหมือนกันกับคนที่ไม่มีหัวใจ ปิกันจึงถามว่า คนไม่มีหัวใจนั้นจะเป็นอย่างไรเล่า หญิงนั้นก็บอกว่า ถ้าคนไม่มีหัวใจแล้วก็ตาย ปิกันได้ฟังดังนั้นก็ตัวสั่น พลัดจากหลังม้าลง โลหิตและไส้ไหลออกมา ปิกันตายในที่นั้น




ตอน ๒๕ ขึ้น ตอน ๒๗