ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4/ภาค 1
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรุณวดี มีรับสั่งมายังหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนครว่า ในปีระกา พ.ศ. ๒๔๖๔ นี้ พระชนมายุเสมอด้วยพระชัณษาสมเด็จพระบรมชนกนารถ พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระประสงค์จะทรงพิมพ์หนังสือสักเรื่อง ๑ เนื่องในทักษิณานุปทานซึ่งทรงบำเพ็ญเพื่ออุทิศถวายพระราชกุศลสนองพระเดชพระคุณสมเด็จพระบรมชนกนารถฯ โปรดให้กรรมการช่วยเลือกเรื่องหนังสือในหอพระสมุดฯ ถวาย
หนังสือพิมพ์ในงานพระชนมายุสมะมงคลเช่นนี้ เคยพิมพ์เรื่องนับเนื่องในพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หนังสือเช่นนั้นมีอยู่ในหอพระสมุดฯ อิกเรื่อง ๑ ซึ่งเห็นสมควรพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรุณวดี จะทรงพิมพ์ในงานพระชนมายุสมะมงคลได้ คือ ประกาศในรัชกาลที่ ๔ ด้วยเปนหนังสือแสดงพระราชนิยมในพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แลทรงพระราชนิพนธ์เองโดยมาก แต่ทว่าเปนหนังสือเรื่องใหญ่อยู่ จำนวนประกาศแต่ที่รวบรวมได้ฉบับที่มีหอพระสมุดฯ เบ็ดเสร็จถึงราว ๔๐๐ เรื่อง มากเกินกว่าที่จะพิมพ์แจกในคราวเดียวทั้งหมด จึงคิดว่าควรจะแบ่งพิมพ์เป็นภาค ๆ เรียกว่าประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔ ทำนองเดียวกับหนังสือประชุมพงศาวดาร ซึ่งหอพระสมุดฯ ได้พิมพ์มา ได้กราบทูลหาฤๅพระองค์เจ้าอรุณวดี ทรงพระดำริห์เห็นชอบด้วย จึงได้รวมประกาศเฉพาะปีที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ในรัชกาลที่ ๔ คือ ตั้งแต่ปีกุญ พ.ศ. ๒๓๙๕ จนตลอดปีฉลู พ.ศ. ๒๓๙๖ จัดเปนประชุมประกาศรัชกาลที่ ๔ ภาคที่ ๑ ถวายพระองค์เจ้าอรุณวดีทรงพิมพ์ในสมุดเล่มนี้
โดยโอกาศที่ได้จัดการพิมพ์หนังสือถวายในงานพระชนมายุสมะมงคลนี้ กรรมการหอพระสมุดฯ ขอถวายพระพรแด่พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอรุณวดี ขอให้พระองค์ทรงเจริญพระชนมายุ วรรณะ ศุขะ พละ ปฏิภาณ คุณสารสมบัติ สรรพศิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลทุกประการเทอญฯ
ประเพณีประกาศพระราชกฤษฎีกาแต่โบราณ เมื่อสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินดำรัสสั่งให้ประกาศกิจการอันใด คือ เช่นตั้งพระราชบัญญัติเปนต้น โดยปรกติมักดำรัสสั่งให้อาลักษณ์เปนพนักงานเรียบเรียงข้อความที่จะประกาศลงเปนหนังสือ บางทีดำรัสให้ผู้อื่นรับพระราชโองการมาสั่งอาลักษณ์ให้เรียบเรียงประกาศก็มี ผู้รับสั่งมักเปนเจ้าน่าที่ซึ่งจะต้องอำนวยการที่ประกาศ แต่ที่มิใช่เปนเจ้าน่าที่เปนแต่ข้าเฝ้าคนใดคนหนึ่ง ดำรัสใช้ตามสดวกพระราชหฤไทยก็มี ลักษณที่อาลักษณ์เรียบเรียงประกาศนั้น ตั้งข้อความเปนหลัก ๕ อย่าง คือ (๑) วันเดือนปีที่สั่ง (๒) นามผู้สั่ง ถ้าสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินดำรัสสั่งเอง ก็อ้างแต่ว่ามีพระราชโองการ ถ้ามีผู้อื่นมาสั่ง ก็อ้างนามผู้นั้นรับพระราชโองการ (๓) กล่าวถึงคดีอันเปนมูลเหตุแห่งประกาศนั้น (๔) พระราชวินิจฉัย (๕) ข้อบัญญัติพระราชนิยมที่ให้ประกาศ เมื่ออาลักษณ์ร่างเสร็จแล้ว คงนำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายทรงตรวจแก้ก่อนจึงประกาศ แต่ข้อนี้หาได้กล่าวไว้ให้ปรากฎไม่ ลักษณที่ประกาศนั้นแต่โบราณเปนน่าที่กรมพระสุรัสวดี โดยเปนผู้ถือบาญชีกระทรวงทบวงการทั้งปวง ที่จะคัดสำเนาประกาศแจกจ่ายไปยังกรมต่าง ๆ ทุกกรม ส่วนหัวเมืองทั้งปวงนั้น เมื่อมหาดไทย กลาโหม กรมท่า อันเปนเจ้ากระทรวงบังคับบัญชาหัวเมือง ได้รับประกาศจากกรมพระสุรัสวดี ก็คัดสำเนาส่งไปยังหัวเมืองอันขึ้นอยู่ในกรมนั้น ๆ อิกชั้น ๑ ลักษณการที่จะประกาศให้ราษฎรทราบพระราชกฤษฎีกานั้น ประเพณีเดิม ในกรุงเทพฯ กรมเมืองให้นายอำเภอเปนเจ้าพนักงานไปเที่ยวอ่านประกาศตามตำบลที่ประชุมชน ส่วนหัวเมืองทั้งปวง เจ้าเมืองกรมการให้กำนันเปนพนักงานอ่านประกาศ เมื่อพนักงานจะอ่านประกาศที่ตำบลไหน ให้ตีฆ้องเปนสัญญาเรียกราษฎรมาประชุมกัน แล้วอ่านประกาศให้ฟังณที่นั้น วิธีประกาศเช่นว่ามานี้จึงเรียกกันเปนสามัญว่า “ตีฆ้องร้องป่าว” ส่วนต้นฉบับประกาศพระราชกฤษฎีกาทั้งปวงนั้น อาลักษณ์รักษาไว้ในหอหลวงฉบับ ๑ คัดส่งไปรักษาไว้ที่ศาลาลูกขุนอันเปนที่ประชุมเสนาบดีฉบับ ๑ แลส่งไปรักษาไว้ที่ศาลหลวงอันเปนที่ประชุมผู้พิพากษาด้วยอิกฉบับ ๑ ประเพณีเดิมมีลักษณดังว่ามานี้
หนังสือประกาศชั้นเดิม ต้นร่างแลสำเนามักเขียนในสมุดดำด้วยเส้นดินสอขาว ส่วนตัวประกาศที่ส่งไปณที่ต่าง ๆ มักใช้เขียนลงม้วนกระดาษข่อยด้วยดินสอดำ เพราะวิธีตีพิมพ์หนังสือไทยยังไม่เกิดขึ้นในชั้นนั้น มาจนในรัชกาลที่ ๓ พวกมัชชันนารีอเมริกันตั้งโรงพิมพ์หนังสือไทยขึ้น ความปรากฎว่า เมื่อปีกุญ พ.ศ. ๒๓๘๒ พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดให้โรงพิมพ์พวกอเมริกันพิมพ์หมายประกาศห้ามมิให้คนสูบฝิ่นแลค้าขายฝิ่น เปนหนังสือ ๙๐๐๐ ฉบับ นับเปนครั้งแรกที่ได้พิมพ์หมายประกาศ แต่พิมพ์ครั้งนั้นแล้วมิได้ปรากฎว่าพิมพ์ประกาศเรื่องอื่นต่อมาอิก ถึงรัชกาลที่ ๔ ในชั้นแรก ประกาศต่างๆ ก็ยังใช้เขียนแจกตามแบบเดิม ปรากฎแต่ว่า ทรงแก้ไขวิธีแจกประกาศ ซึ่งแต่เดิมกรมพระสุรัสวดีเปนพนักงานเขียนประกาศแจกจ่ายไปตามกระทรวงทบวงการต่าง ๆ นั้น โปรดฯ ให้กรมต่าง ๆ ไปคัดสำเนาหมายประกาศเองณหอหลวง ยังคงส่งสำเนาประกาศไปแต่ที่มหาดไทย กลาโหม แลกรมท่า สำหรับจะได้มีท้องตราประกาศออกไปตามหัวเมือง การที่แก้ไขชั้นนี้ก็พอเห็นเหตุได้ คงเปนเพราะการเขียนประกาศแจกจ่ายมาแต่ก่อน เปนการมากมายเหลือกำลังพนักงานกรมพระสุรัสวดี แจกไปไม่ทั่วถึงทุกกระทรวงทบวงการได้จริงดังที่กล่าวในลักษณประกาศ จึงได้โปรดฯ ให้กรมอื่น ๆ ไปคัดประกาศเอาเองณหอหลวง ต่อมาในรัชกาลที่ ๔ นั้น โปรดฯ ให้สร้างโรงพิมพ์หลวงขึ้นที่ในพระบรมมหาราชวัง ขนานนามว่าโรงอักษรพิมพการ (อยู่ตรงพระที่นั่งภาณุมาศจำรูญบัดนี้) เริ่มพิมพ์หมายประกาศเมื่อปีมเมีย พ.ศ. ๒๔๐๑ ในชั้นต้นโปรดเกล้าฯ ให้ทำเปนหนังสือพิมพ์ข่าวออกโดยระยะเวลา ขนานนามว่าหนังสือราชกิจจานุเบกษา บอกข่าวในราชสำนักแลเก็บความจากประกาศต่าง ๆ ซึ่งได้ออกในระยะนั้นบอกไว้ให้ทราบเพียงเนื้อความ หนังสือราชกิจจานุเบกษาซึ่งออกในรัชกาลที่ ๔ ครั้งนั้น พิเคราะห์ดูเรื่องที่พิมพ์เปนพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมาก เห็นจะไม่มีผู้อื่นกล้ารับผิดชอบเปนผู้แต่ง ครั้นต่อมาทรงติดพระราชธุระอื่นมากขึ้น ไม่มีเวลาพอจะทรงแต่งหนังสือราชกิจจานุเบกษา เพราะฉนั้น พิมพ์อยู่ได้สักปี ๑ จึงต้องหยุด แต่การที่พิมพ์หมายประกาศเห็นจะนิยมกันมาก เมื่อหยุดหนังสือราชกิจจานุเบกษาแล้ว จึงโปรดฯ ให้พิมพ์แต่หมายประกาศแลให้พิมพ์ตลอดเรื่อง ไม่คัดแต่เนื้อความเหมือนอย่างที่ลงพิมพ์ในหนังสือราชกิจจานุเบกษามาแต่ก่อน ทำเปนใบปลิวแจกตามกระทรวงทบวงการ แลจ่ายไปปิดไว้ตามที่ประชุมชนแทนป่าวร้อง เปนประเพณีสืบมาจนรัชกาลที่ ๕ จนกลับออกหนังสือราชกิจจานุเบกษาอิกเมื่อปีจอ พ.ศ. ๒๔๑๗ แต่นั้นบันดาประกาศจึงใช้ลงในหนังสือราชกิจจานุเบกษา แลเลิกวิธีแจกจ่ายหมายประกาศอย่างแต่ก่อนสืบมาจนตราบเท่าทุกวันนี้
เพราะเรื่องตำนานเปนดังแสดงมา ประกาศในรัชกาลที่ ๔ จึงมีสำเนาเปน ๒ ชนิด คือ ประกาศในชั้นต้นเมื่อยังมิได้ตั้งโรงพิมพ์หลวงนั้น มีแต่สำเนาเปนแต่หนังสือเขียน ประกาศตอนหลังเมื่อตั้งโรงพิมพ์หลวงแล้ว มีสำเนาเปนหนังสือพิมพ์ สำเนาประกาศชั้นที่เปนหนังสือเขียนมีฉบับน้อยมาแต่เดิม ยิ่งนานก็ยิ่งหายากขึ้นทุกที ประกาศที่มีฉบับพิมพ์หาง่ายกว่า จึงมีผู้รวบรวมไว้บ้าง แต่ก็ไม่ปรากฎว่ามีใครที่สามารถรวบรวมไว้ได้หมดทุกฉบับ เปนแต่มีกันมากบ้างน้อยบ้าง การที่รวบรวมประกาศรัชกาลที่ ๔ พิมพ์ขึ้นใหม่ให้เปนสาธารณประโยชน์ ได้จับทำเมื่อครั้งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงบดินทรไพศาลโสภณ ทรงบัญชาการโรงพิมพ์หลวง แลเปนผู้จัดการหนังสือราชกิจจานุเบกษาซึ่งกลับพิมพ์อิกในรัชกาลที่ ๕ นั้น ได้ทรงหาสำเนาประกาศครั้งรัชกาลที่ ๔ มาพิมพ์ไว้ในหนังสือราชกิจจานุเบกษาบ้าง เมื่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ ออกหนังสือพิมพ์ดรุโณวาท ก็ได้ทรงหาฉบับมาพิมพ์ไว้ในหนังสือดรุโณวาทอิกบ้าง ต่อมาเมื่อหอพระสมุดวชิรญาณออกหนังสือพิมพ์ กรรมการหอพระสมุดฯ ก็หาสำเนาประกาศรัชกาลที่ ๔ มาพิมพ์ไว้ในหนังสือวชิรญาณอิกบ้าง แต่ที่รวบรวมประกาศรัชกาลที่ ๔ พิมพ์เปนเล่มสมุดโดยเฉพาะ พึ่งมาพิมพ์เมื่อครั้งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธุ์ ทรงบัญชาการโรงพิมพ์หลวง ได้ทรงพยายายามหาฉบับแต่ที่ต่าง ๆ มารวบรวมพิมพ์ขึ้นเมื่อรัตนโกสินทรศก ๑๑๐ (พ.ศ. ๒๔๓๔) พิมพ์ได้ ๓ เล่มสมุด โรงอักษรพิมพการเลิก โรงพิมพ์อักษรนิติจึงพิมพ์ต่อมาอิกเล่ม ๑ รวมเปน ๔ เล่มด้วยกัน
เมื่อตั้งหอพระสมุดสำหรับพระนคร กรรมการได้รวบรวมประกาศรัชกาลที่ ๔ บันดามีอยู่ในหนังสือต่าง ๆ ที่กล่าวมา แลหาฉบับได้เพิ่มเติมมาแต่ที่อื่นอิก คือ ได้ฉบับซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพรหมวรานุรักษ์ ได้ทรงรวบรวมไว้ประทานมาราย ๑ ได้สำเนาประกาศรัชกาลที่ ๔ ในจำพวกหนังสือซึ่งหอพระสมุดฯ หาได้จากที่ต่าง ๆ แห่งละเรื่องสองเรื่องก็มีหลายราย แต่ที่สำคัญนั้นคือได้ในสำเนาหมายรับสั่งกระทรวงมหาดไทยซึ่งส่งมายังหอพระสมุดฯ มีสำเนาหมายประกาศรัชกาลที่ ๔ ปรากฎอยู่ในจดหมายรายวันของกรมมหาดไทยหลายเรื่อง ล้วนเปนประกาศในชั้นที่ยังมิได้มีการพิมพ์ เริ่มแต่ปีกุญ พ.ศ. ๒๓๙๔ อันเปนปีแรกพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเปนต้นมา กรรมการจึงเห็นว่า สมควรจะพิมพ์ประกาศรัชกาลที่ ๔ ซึ่งมีฉบับอยู่ในหอพระสมุดฯ ให้เปนสาธารณะประโยชน์ได้
แต่ประกาศรัชกาลที่ ๔ ซึ่งมีฉบับอยู่ในหอพระสมุดฯ เปนประกาศพระราชนิยมก็มี เปนประกาศพระราชบัญญัติก็มี ความที่ประกาศยังคงใช้เปนกฎหมายแลประเพณีอยู่ก็มี ยกเลิกเสียแล้วก็มี การที่หอพระสมุดฯ พิมพ์ ประสงค์จะพิมพ์ประกาศรัชกาลที่ ๔ บันดามี ไม่เลือกว่าอย่างใดใด ความมุ่งหมายมีแต่จะให้ประโยชน์ในทางศึกษาโบราณคดีแลวรรณคดีเปนประมาณ จึงขอบอกไว้ให้ท่านผู้อ่านทราบว่า บันดาประกาศในฉบับซึ่งหอพระสมุดฯ พิมพ์นี้ มิใช่สำหรับจะเอาไปยกอ้างใช้ในทางอรรถคดีที่ใด ๆ เพราะความในประกาศเรื่องใดจะยังคงใช้อยู่ฤๅจะยกเลิกเสียแล้ว ข้อนี้กรรมการหอพระสมุดฯ มิได้เอาเปนธุระสอบสวน ประสงค์จะให้อ่านแต่เปนอย่างเปนจดหมายเหตุเก่าเท่านั้น
งานนี้ ปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เพราะลิขสิทธิ์ได้หมดอายุตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งระบุว่า
- ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดา
- ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
- ถ้ามีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์หมดอายุ
- เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย หรือ
- เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เคยโฆษณางานนั้นเลยก่อนที่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายจะถึงแก่ความตาย
- ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้สร้างสรรค์
- ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
- แต่ถ้าได้โฆษณางานนั้นในระหว่าง 50 ปีข้างต้น ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก